Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เรื่องจริงที่อยากให้อ่านแล้วช่วยกันตีแผ่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
churace
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 21 ธ.ค. 2005
ตอบ: 27

ตอบตอบเมื่อ: 18 ก.ย. 2006, 8:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีเรื่องจริงที่เกิดกับครอบครัวๆ เราอยากจะฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอีกหลายๆ คน จะได้ไม่เกิดความสูญเสียเหมือนกับครอบครัวๆ นี้ และช่วยกันส่งต่อไปเพื่อเป็นบทเรียนให้กับครอบครัวอื่น

เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่ของข้าพเจ้าป่วยและได้เดินทางไปที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในวันที่ 19 กรกฏาคม 2545 แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่าไม่สามารถให้คุณแม่นอนรักษาตัวที่นี่ได้ เนื่องจากห้องไม่มี เตียงไม่ว่าง ถ้าต้องการนอนก็ต้องนอนรออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน ญาติก็นั่งตบยุงรออยู่ที่ข้างนอก (นี่เป็นคำพูดของหมอคนหนึ่ง ขนาดเขาทราบว่าน้องชายของข้าพเจ้ารับราชการมีตำแหน่งพอสมควร ยังได้รับคำตอบเช่นนี้ แล้วตาสีตาสาจะเป็นอย่างไร) ซึ่งสภาพในห้องนั้นแม้แต่คนธรรมดายังแย่เลย อย่าว่าแต่คนไข้ที่ป่วยหนักเลย ดังนั้น เราจึงตัดสินใจนำคุณแม่กลับบ้านก่อน (เนื่องจากไปที่โรงพยาบาลตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น. กว่าจะเสร็จปาเข้าไปตั้ง 18.00 น.) แล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่และในวันที่รุ่งขึ้นคือวันที่ 20 กค.45 คุณแม่มีอาการชักและปัสสาวะราด สักครู่ก็มีถ่ายออกมา ลักษณะคล้ายยางมะตูม เหมือนมีเลือดปนออกมาด้วย และเริ่มไม่รู้สึกตัว ข้าพเจ้าและคุณพ่อตกใจมาก จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด คือโรงพยาบาลศรีสยาม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน อยู่บนถนนสุขาภิบาล 1 เมื่อเข้าไปก็เข้าแบบฉุกเฉิน ทางโรงพยาบาลก็ได้ตรวจเช็คเบื้องต้นแล้ว แจ้งว่าต้องทำการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมอง ซึ่งทางเราก็ยินดี เมื่อทำครั้งแรกแจ้งว่าพบก้อนเนื้อแต่มองเห็นไม่ชัดเจน จึงขออนุญาตให้ฉีดสีเข้าไปเพื่อจะได้มองเห็นก้อนเนื้อนั้นชัดยิ่งขึ้น เราก็เซ็นยอมไป แล้วรอหมอถึง 20.30 น เมื่อหมอใหญ่ของโรงพยาบาล (ขอสงวนนาม) มาตรวจ แล้วเรียกญาติเข้าไปเมื่อได้คุยกับหมอจึงทราบว่ามีก้อนเนื้อเกิดขึ้นที่สมองน้อยของแม่ประมาณ 2 ซ.ม . (แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย) ก้อนเนื้อนี้ไปเบียดท่อระบายน้ำที่ไปเลี้ยงสมองทำให้ถุงน้ำโปร่งไปดันเส้นประสาทเลยทำให้ไม่สามารถขยับแขน และ ขา ข้างซ้าย ในขณะนั้น แม่ได้หมดสติไป หมอแจ้งว่าถ้าจะให้ช่วยชีวิตในขั้นแรกคือผ่าตัดสมองเพื่อใส่ท่อช่วยระบายน้ำ เพื่อให้ถุงน้ำยุบตัวไม่ไปดันเส้นประสาท พวกลูกๆ จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นตรงกันคือตกลงให้ผ่าตัด หมอปรับเลือดแม่อยู่ถึงเวลา 22.00 น. จึงได้นำเข้าห้องผ่าตัดเสร็จก็ประมาณ 00.20 น. ของวันใหม่ หลังผ่าตัดแม่มีอาการดีขึ้นแต่ยังไม่ค่อยรู้ตัว จะมีอาการไอ ตอบสนองอยู่ตลอดเวลา เราจึงกลับก่อนเพื่อให้คุณแม่ได้พักผ่อน เนื่องจากต้องอยู่ในห้อง ICU

พอตอนเช้าของวันที่ 21 กค.45 พวกเราก็รีบมาเยี่ยมคุณแม่ อาการของคุณแม่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พูดได้เหมือนปกติ แขนขา ข้างซ้ายสามารถขยับได้ตามปกติ พวกเรารู้สึกดีใจมาก และคิดว่าการตัดสินใจผ่าตัดในครั้งนี้ถูกต้อง และดีที่สุดสำหรับคุณแม่แล้ว และในวันนั้นประมาณเที่ยงวัน คุณหมอก็ได้อนุญาตให้คุณแม่ไปพักอยู่ในห้องปกติได้ คุณแม่ทานข้าวได้ แต่ความจำยังสับสนอยู่

ในวันที่ 22 กค.45 คุณแม่ก็ยังมีอาการเหมือนเดิม คือทานข้าวได้ ความจำยังสับสนอยู่ พอคุณหมอมาตรวจเราได้สอบถามคุณหมอเกี่ยวกับอาการของคุณแม่ที่มีถ่ายเป็นเลือด ซึ่งคุณหมอไม่ได้ให้ความสนใจในจุดนี้มากนัก

วันที่ 23 กค.45 คุณแม่เริ่มทานข้าวได้น้อยลง ซึมลง ไม่ค่อยพูด แต่คุณหมอก็ยังไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม และในตอนกลางคืน คืนนั้นคุณแม่ไม่นอนจนกระทั้งถึงประมาณ ตี 3 พยาบาลจึงมาฉีดยานอนหลับให้ ก็ยังไม่หลับจนถึงเช้า

วันที่ 24 กค.45 คุณแม่นอนตลอดวัน เรียกก็ไม่ตื่น ลืมตาแล้วก็หลับต่อ ทานข้าวไม่ได้เลย จนกระทั่งบ่ายเราก็เริ่มสงสัย ทำไมคุณแม่ทานข้าวไม่ได้ ไม่ตื่นเลย จนเวลาประมาณ 18.00 น. คุณหมอ มาตรวจ บอกว่าอาการไม่ค่อยดี ขอให้ลงไปอยู่ที่ ICU ดีกว่า พวกเราพยายามสอบถามคุณหมอว่าให้ยานอนหลับแรงไปหรือเปล่า คุณหมอก็บอกว่าให้ขนาดปกติ แต่คนไข้แต่ละคนมีปฏิกริยาตอบรับไม่เท่ากัน เมื่อลงมาจนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. คุณหมอก็ออกมาบอกพวกเราว่าอาการไม่ดี เนื่องจากคนไข้ติดเชื้อในกระเพราะอาหาร กระเพราะอาหารทะลุ คนไข้หัวใจเต้นช้าลง คงต้องทำการปั๊มหัวใจ ซึ่งพวกเราก็รออยู่อย่างกะวนกะวายใจ จนถึงเวลาประมา 21.00 น. คุณหมอบอกว่าคนไข้หยุดหายใจไปแล้วประมาณ 15- 20 นาที แต่สามารถปั๊มขึ้นมาได้ พวกเรารีบเข้าไปดูคุณแม่ แต่ท่านไม่มีอาการตอบสนอง ได้แต่นอนนิ่งๆ อย่างเดียว สายระโยงระยางเต็มตัวของคุณแม่ พวกเรารู้สึกสงสารคุณแม่มาก แต่ก็ต้องกลับบ้านเพราะโรงพยาบาลไม่ให้เฝ้า (ห้อง ICU)
วันที่ 25 กค.45 อาการของคุณแม่ก็ยังเหมือนเดิม คือกราฟหัวใจเต้น ความดันเลือดขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีอาการตอบสนองอื่นๆ เช่นไอ แต่ทางโรงพยาบาลบอกคุณแม่ซีดมาก จำเป็นต้องให้เลือดและเกล็ดเลือด พวกเรามาเยี่ยมคุณแม่เป็นระยะๆ ตามเวลาที่เขาให้เยี่ยมได้ แต่เรามีความรู้สึกว่าคุณแม่ไม่ดีขึ้นเลย สังเกตเห็นว่าขาแม่เย็นมาก มือแม่ก็เย็น ตามลำตัวของแม่เริ่มบวมและเริ่มซีด หมอบอกว่าเป็นปฎิกริยาของยาที่ให้ แล้วก็นำเลือดมาให้แม่อีก 2 ถุง เราเฝ้ากันจนหมดเวลาเยี่ยมจึงกลับบ้าน จึงคิดที่จะย้ายไปโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ติดตรงที่เป็นวันหยุดยาว (24 กค.วันอาสาฬหบูชา, 25 กค.วันเข้าพรรษา) เราจึงตั้งใจกันไว้ว่าวันที่ 26 กค.45 ต้องย้ายโรงพยาบาลให้ได้

วันที่ 26 กค.45 ทุกคนวิ่งเต้นเพื่อหาที่ย้ายโรงพยาบาลให้คุณแม่ ทั้งโรงพยาบาลจุฬา ,เลิดสิน,ศิริราช แต่คำตอบคือเป็นวันหยุดยาว หมอไปสัมมนาหมด จะกลับมาในวันที่ 27 กค.45 เราเริ่มหมดหวัง แต่แล้วที่ โรงพยาบาลจุฬาแจ้งว่าได้เตียงที่ ICU แล้ว แต่ไม่มีหมอเจ้าของไข้ สรุปย้ายไม่ได้ เพราะหาหมอเจ้าของไข้ไม่ได้ แม่เริ่มมีอาการไม่ดี ตัวบวมมากขึ้น พวกเรากังวลมาก

วันที่ 27 กค.45 เราก็ยังไม่เลิกคิดที่จะย้ายคุณแม่ แต่อาการคุณแม่ไม่ดีขึ้นเลยทางโรงพยาบาลได้เชิญหมอโรคไตมาจากโรงพยาบาลชลประทานเข้ามาตรวจเวลา 11.00 น. เราเข้าไปถามหมอๆ บอกว่าปอดติดเชื้อความดันโลหิตต่ำและไตวายเฉียบพลัน ต่อไปคือน้ำท่วมปอด ระบบการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ความดันโลหิตไม่สามารถจะวัดได้ เลือดเริ่มสร้างกรดขึ้นมาต่อต้าน ตัวคุณแม่เย็นมาก ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ให้ลูกๆ ทำใจได้ไม่น่าเกินคืนนี้เมื่อหมอออกไป คุณหมอที่โรงพยาบาลศรีสยามมากลับบอกเราว่าไม่มีปัญหา สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้อีกเป็นอาทิตย์ มีความหวัง 20 % พวกเราก็เลยไม่แน่ใจ ตกลงมันยังไง พอดีที่โรงพยาบาลเลิดสิน แจ้งมาว่าได้เตียงที่ ICU แล้ว แต่ยังขาดหมอเจ้าของไข้ ก็พยายามกันจนหาหมอรับเป็นเจ้าของไข้ได้ เราก็ได้ติดต่อกับที่โรงพยาบาลศรีสยาม ตอนแรกบอกย้ายไม่ได้ พอเราบอกว่าเราไม่มีเงินจ่าย เขาก็รีบเขียนส่งให้ย้ายได้ เราบอกให้รถไปก่อนเลย จะมีคนอยู่คอยเคลียร์เรื่องเงินให้ เขาก็ไม่ให้รถออกไป จนเราเคลียร์เรื่องเงินเสร็จแล้ว เขาโทรฯมาถามที่การเงิน พอดีเราได้ยินเขาบอกให้รถออกได้เลย เวลาตอนนั้นประมาณ 17.00 น พวกเราดีใจมากที่ได้ย้าย เพราะไม่รู้ว่าหมอคนไหนพูดจริงหรือหลอก เมื่อไปถึงที่เลิดสิน คุณหมอที่รับเป็นเจ้าของไข้ ก็บอกคนไข้อาการหนักมาก กระเพราะติดเชื้อแล้ว ไตวาย ความดันเลือดไม่สามารถวัดได้เลย ทำไมให้ย้าย แล้วใบสรุปที่เขียนส่งมาไม่ตรงกับอาการของคนไข้เลย คุณหมอแจ้งว่าปกติคนไข้ที่ปั๊มหัวใจ 15 20 นาที โอกาสรอดน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย แล้วทำไมที่โรงพยาบาลศรีสยาม ถึงให้ยากระตุนหัวใจที่แรงมากเมื่อหมอตรวจอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงลงความเห็นว่าที่หัวใจเต้น เพราะว่าหมอที่ศรีสยามใช้ยากระตุ้นหัวใจอย่างแรงและให้ตลอดเวลาเพื่อให้หัวใจเต้นและที่เห็นหายใจเพราะเครื่องช่วยหมอเปิดไว้สุดเพื่อให้เห็นว่ายังหายใจอยู่ หมอแจ้งว่านี่ถ้ายังอยู่ที่เก่าอีก 2 3 วันข้างในก็เน่าแล้วแม่ของคุณเสียตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค 45 แล้วตอนนี้หมอไม่สามารถช่วยได้ เลยปรึกษากันแล้วให้หมอตัดสินใจ หมอตัดสินใจเอายากระตุ้นหัวใจออก แล้ว คุณหมออธิบายว่า ถ้าคุณเอาชิ้นเนื้อหมูมาแล้วฉีดยาตัวนี้เข้าไป เนื้อจะเต้นตุบ ๆ ก็แสดงว่าคุณแม่ของพวกเราได้จากพวกเราไปตั้งแต่ วันที่ 24 กค.45 แล้ว แต่เราถูกโรงพยาบาลศรีสยาม หลอก เพื่อเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง คุณหมอที่เลิดสิน จึงแจ้งกับพวกเราว่า จะเปลี่ยนยาเป็นตัวปกติที่ใช้กัน พวกเราก็ตกลง ตอนนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. แล้วคุณแม่ก็จากเราไปอย่างสงบทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ เมื่อเวลาประมาณ 21.02 น. หลังจากให้ยาปกติ

พวกเรารู้สึกสงสารคุณแม่มาก ท่านเสียแล้วร่างกายของท่านยังถูกโรงพยาบาล เอาร่างกายของท่านมาเป็นเครื่องมือในการหาเงินเข้าโรงพยาบาล โดยไม่ได้นึกถึงคุณธรรม คิดถึงแต่ความอยู่รอดของโรงพยาบาล แล้วคิดถึงลูกหลานคนไข้บ้างหรือเปล่า สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เรานำคุณแม่มาสวดอภิธรรมศพที่วัดบางเตย และขอพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 3 สิงหาคม 2545 เวลา 16.00 น. พวกเราขอไว้อาลัยกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณแม่

อ่านแล้วช่วยส่งต่อๆ ไป เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้อื่นด้วย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
-K-
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2006, 7:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแสดงความเสียใจด้วยนะค่ะที่สูญเสียคุณแม่ไป
อ่านแล้วรู้สึกแย่กับการรักษาของแพทย์จังเลย ปรบมือ
 
พรเทพคนงาม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2006, 12:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็โดนครับ.......ตอนที่ผมหัวนมแตกพาน ไปหาหมอ หมอบอกต้องผ่าตัด แต่พอไปอีกโรงพยาบาลหมอบอกว่าไม่มีอะไรเป็นธรรมชาติของวัยรุ่น แล้วมาจนบัดนี้ผมก็ยังปกติดีอยู่โดยไม่ต้องผ่าอะไรเลย

ส่วนอีกรายเป็นลูกพี่ลูกน้องผม โดนหลอกให้ขริปปลายอวัยวะเพศเฉยๆโดยไม่มีอะไร
 
กระเทยเดียวดาย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2006, 4:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หมอเป็นอาชีพที่ประเสริฐมาก
รักษาคนไข้ ช่วยชีวิตคนไข้ ได้บุญหนาทั้งนั้น
นานๆ ทีจะได้ยินเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีหมอ
รู้สึกแย่ไปด้วยจริงๆ เศร้า
 
เห็นใจครับ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2006, 1:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนมีทั้งดีและเลว แต่หมอเป็นอาชีพที่คนทั่วไปมองว่าเป็นอาชีพที่เสียสละแต่ผมว่าจริงๆแล้วไม่เห็นจะเสียสละเท่าไหร่ รายได้ของหมอจากค่าตรวจก็ได้ ค่าผ่าตัดก็ได้ ความเหมาะสมของค่ารักษามีใครกล้าไปตรวจสอบหรือเปล่า บางคนเอาแต่ใจก็เท่านั้น ถามมากก็โดนด่า แต่หมอดีๆก็มีมากนะ แต่ที่เรียกได้ว่าเลวๆก็มีเยอะ เห็นเฉพาะประโยชน์ส่วนตัว สั่งยาไม่คำนึงถึงประเทศชาติเอาแต่จะให้บริษัทยาพาไปเที่ยวเมืองนอก ทำยอดอย่างเดียวไม่สนว่าคนไข้จะจำเป็นต้องใช้ยานั้นหรือเปล่า
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2006, 12:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแสดงความเสียใจและเศร้าใจกับความไม่ถูกต้องในครั้งนี้ด้วยครับ
 
ll
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ย. 2006, 1:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรบมือ เสียใจด้วยค่ะ ถ้าเป็นหมอแล้วหาผลประโยชน์จากประชาชนได้ไม่เยอะทุกคนคงไม่อยากเรียนหมอจนตัวซีดตัวสั่นหรอกค่ะ เหมือนคนที่อยากเป็นนักการเมืองไงคะ ผลประโยชน์ทั้งน้าน กรรมตามสนองแน่นอนค่ะ.
 
ปราง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ก.ย. 2006, 3:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ ถ้าเป็นเมืองนอก หมอถูกฟ้องเละไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ผลกรรมต้องตามสนองค่ะไม่ช้าก็เร็ว
 
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 04 ต.ค.2006, 11:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หมอ.... เหรอ ก็เป็นอาชีพที่ทำเงินบนความเจ็บปวดของคนไข้ที่ไม่มีใครอยากพิสูจน์ผลงาน
เพราะผลงานของหมอ ... ไปอยู่ที่ เมรุแล้ว
 

_________________
พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง