Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ทำไม ?...พุทธต้องไปแสวงบุญที่อินเดีย
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
พระพุทธเจ้า
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2006, 12:47 pm
ทำไม ?...พุทธต้องไปแสวงบุญที่อินเดีย
ปัจจุบันนี้ มีชาวพุทธผู้ศรัทธาเริ่มเดินทางไปกราบนมัสการพุทธสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียและเนปาล เพิ่มมากขึ้นทุกปี จึงมีคำถามตามมาว่าทำไมต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไหว้พระถึงประเทศอินเดีย
ซึ่งถ้าหากศรัทธาต่อคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่เห็นจะจำเป็นที่จะต้องไปไหว้พระถึงประเทศอินเดีย เพราะสถานที่ไหว้หรือทำบุญ มีอยู่ในประเทศไทยมากมาย ทำไมต้องไปถึงประเทศอินเดียให้เสียเงินเสียทองเสียเวลาเปล่าประโยชน์
พระมหา ดร.คมสรณ์ คุตตธัมโม
ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ได้ให้เหตุผลของการเดินทางไปไหว้พระแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย เพื่อจักให้ท่านผู้ศรัทธาได้พิจารณาถึงความเป็นจริงดังนี้
๑. เพราะอินเดียเป็นแผ่นดินที่ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา ซึ่งถ้าเราจะเปรียบเทียบการบำรุงต้นไม้ก็ต้องรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ก็ต้องรดน้ำที่ต้นที่ราก ต้นไม้จึงจะเจริญงอกงาม
การที่เราไปบำเพ็ญบุญ สร้างบารมี ถ้าจะให้มีพลังและบารมีจักเจริญงอกงามได้เต็มที่ ก็ต้องไปที่อินเดีย แดนชมพูทวีป อันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนานั่นเอง
ผู้ศรัทธาที่มีสิทธิเลือกจึงเลือกที่จะไปไหว้พระ ณ ที่กำเนิดของแท้ หรือสถานที่จริงให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
๒. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตระหว่างบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญบารมีในแผ่นดินชมพูทวีปแห่งนี้ การเดินทางไปที่อินเดียจึงเท่ากับว่าเป็นการได้เดินตามรอยพระพุทธเจ้า จะได้มีโอกาสสัมผัสถึงบรรยากาศการบำเพ็ญบารมีตามแบบอย่างพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ท่านเดินทางไปมาแล้วด้วยตนเอง
๓. การที่เราฟังพระเทศน์ก็ดี สวดมนต์ก็ดี การบรรยายก็ดี เรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องพระพุทธประวัติ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศอินเดียแทบทั้งสิ้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนักถ้าหากผู้ที่บรรยายเรื่องพระพุทธประวัติ เรื่องพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมบท ไม่เคยพบไม่เคยได้เห็นแดนดินถิ่นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา ได้แต่สร้างภาพและจินตนาการ ตามคัมภีร์และตำราที่เรียนรู้มา ซึ่งความเป็นจริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง
พระมหา ดร.คมสรณ์ บอกต่อไปอีกด้วยว่า การไปไหว้พระที่ประเทศอินเดีย มีการเข้าถึงเป็นประสบการณ์ตรง ดังนี้
๑. มาถึงตา
คือได้เห็นกับตาตนเอง เป็นพุทธสถานที่จริงๆ เช่นต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆ พระแท่นวัชรอาสน์ คือที่พระพุทธองค์ประทับนั่งบำเพ็ญธรรม จนได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ในขณะเดียวกัน ในเมืองไทยแม้จะมีพุทธสถานก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่สร้างและจำลองขึ้นมา
๒. มาถึงหู
คือได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ณ สถานที่นั้นๆ ดุจได้ย้อนเวลาในอดีต ทบทวนความรู้ จากที่ได้เคยได้ยินได้ฟัง ณ สถานที่จริงๆ เหมือนกับว่าได้กลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยตนเอง
๓. มาถึงที่
ได้มากราบมาไหว้สัมผัสด้วยตนเอง ซึ่งก็ไม่เหมือนกับที่ได้ดูจากภาพ จากสื่ออื่นๆ ซึ่งสามารถสัมผัส เข้าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ที่ได้ไปถึงด้วยความลึกซึ้ง
๔. มาถึงใจ
ได้สัมผัสความรู้สึกที่เกิดจากใจ ความรู้สึกที่มิอาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ บางท่านเกิดความเอิบอิ่มใจ เกิดปีติ น้ำตาไหลโดยไม่รู้สาเหตุ ความรู้สึกเหล่านี้เกิดจากใจ อันเป็นความรู้สึกจากภายใน ซึ่งความรู้สึกนี้จะเกิดก็ต่อเมื่อได้มาสัมผัสด้วยใจตนเอง ณ สถานที่จริงๆ เท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว พระมหา ดร.คมสรณ์ ยังยกเนื้อความในมหาปรินิพพานสูตร ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังสังเวชนียสถาน ๔ สถาน เหล่านั้นแล้วมีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่กายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ซึ่งเป็นพระดำรัสตรัสสั่งเสียฝากพุทธสถานให้พุทธศาสนิกชนผู้ระลึกถึงพระองค์ได้เดินทางมากราบสักการะสถานที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่ทรงแสดงปฐมเทศนาและที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน และทรงรับรองว่า
หากท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้มากราบสถานที่เหล่านี้ด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ย่อมมีสุคติ คือ โลกสวรรค์เป็นโลกเบื้องหน้า ก็เท่ากับว่าท่านที่เดินทางมาไหว้พระที่อินเดีย ได้สร้างหลักประกันให้กับตนคือ การประกันด้วยโลกสวรรค์เป็นภพเบื้องหน้าไว้ในจิตใจตนเองนั่นเอง
ดังนั้นผู้ที่มีโอกาส มีเวลาจึงไม่ควรรีรอที่จะไปไหว้พระ แสวงบุญ ณ ประเทศอินเดีย
เหตุที่นำพาไปในดินแดนพุทธภูมิ
๑. มีศรัทธาความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา สั่งสมบุญสร้างบารมี มีศรัทธามั่นคงต่อพระรัตนตรัย อย่างต่อเนื่อง จนระดับจิต ระดับศรัทธาหนุนนำให้อยากไปไหว้พระที่อินเดีย
๒. มีทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง
๓. มีเวลาคือสามารถจัดระเบียบชีวิตให้กับตนเอง จัดสรรเวลา วางธุรกิจเรื่องชีวิตความเป็นอยู่แบ่งให้ศาสนกิจด้านจิตใจไปไหว้พระที่อินเดีย
๔. มีสุขภาพดี คือความพร้อมทางด้านร่างกาย ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่มีโรคาพาธ
๕. มีผู้นำที่ให้คำแนะนำ และจัดโปรแกรมการเดินทาง เป็นภาระในการเดินทางให้
ความภาคภูมิใจในฐานะพุทธศาสนิกชนชาวไทย
๑. ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการนับถือพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม ที่ยังพร้อมด้วยหลักธรรม หลักวินัย หลักปฏิบัติ ที่คงไว้ซึ่งแก่นแท้ของความเป็นพุทธตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน
๒. เพราะเรามีบุญ เคยสร้างกุศล บำเพ็ญบารมีกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีตชาติ เมื่อมาชาตินี้บุญกุศลจึงส่งหนุนนำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองที่เมืองไทย และมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีโอกาสได้เดินทางไปถึงต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา คือที่อินเดีย หากว่าชาตินี้ไปเกิดที่อื่นๆ หรือแม้แต่ที่ประเทศอินเดียเอง ซึ่งอดีตพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรือง ปัจจุบันก็แทบจะไม่มีพระพุทธศาสนาให้รู้จัก
๓. เรามีความสงบร่มเย็น เป็นสุข ภายใต้องค์พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ เป็นเหตุให้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่บ้านพุทธเมืองไทย ตราบจนปัจจุบันนี้
๔. โลกปัจจุบันท่ามกลางการก่อการร้ายและภัยสงคราม โลกของเรากลายเป็นสภาพที่ไม่น่าอยู่และไม่ปลอดภัยต่อการดำรงชีวิต พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นดุจแสงทองแห่งความหวังของมวลมนุษย์และชาวโลกว่า พระธรรมจักรเป็นหลักนำสันติภาพมาแก่มนุษย์โลกได้ โลกตะวันตกกำลังหันมาให้ความสนใจพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทนับถือมานาน
ปัจจุบัน องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก เพื่อน้อมรำลึกนึกถึงองค์ศาสดาของชาวพุทธ และจักเป็นโอกาสแห่งการน้อมนำพระธรรมมาร่วมใจกันปฏิบัติ เพื่อความสงบร่มเย็น ดับความทุกข์เข็ญและความเดือดร้อนของชาวโลกสืบไป...
...........................................................
บทความจาก : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
ฉบับวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2549
เรื่องและภาพ ไตรเทพ สุทธิคุณ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
พระพุทธเจ้า
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th