Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ควบคุมใจ (หนังสือ อนาลโยวาท)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2006, 3:46 pm
ควบคุมใจ
หลวงปู่ขาว อนาลโย
พระพุทธเจ้าว่าเราเป็นผู้แนะนำสั่งสอนทาง
ทางออกจากโลกก็ดี ทางไปสวรรค์ก็ดี ทางไปนิพพานก็ดี
เราตถาคตเป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้เท่านั้นแหละ
ตนนั่นแหละ พวกอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลายต้องทำเอาเอง
แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสาวกทั้งหลายก็ทำเอาเองทั้งนั้น
ตนแหละทำให้ตน ตนจะออกจากโลกก็แม่นตนตั้งอกตั้งใจทำใส่ตน
ตนจะติดอยู่ในโลกก็แม่นใจของตนไม่อยากไป เพราะหลงตนหลงตัว
ทางปฏิบัติน่ะ เราก็ได้ยินได้ฟังมาแล้ว
แล้วก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติเอา
พระพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอน หรือครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอน
ก็ไม่หนีจากกายคตา คือปัญจกรรมฐาน นี่แหละ
ต้องพิจารณา เราจะพิจารณานอกมันไป
ก็เป็นนอกไปเสีย ไกลไปเสีย
เพื่อให้จิตให้ใจนั่นแหละรู้จักสกนธ์กายอันนี้
รู้จักก้อนอันนี้ว่ามันเป็นอย่างหนึ่ง
มันเป็นของกลาง ไม่ใช่ของใครสักคน
เรานี้ได้สมบัติอย่างดี คือสกนธ์กายนี้
มีตา หู จมูก ลิ้น กายดี มีใจดี ได้สมบัติอันดีมาใช้
เราจะใช้สอยมัน เราจะเดินทางไปสวรรค์ก็ดี
จะเดินทางไปนิพพานก็ดี ต้องอาศัยอันนี้
จะมีแต่ดวงจิตอย่างเดียวก็ไม่สำเร็จอะไรหมดทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าได้เทศน์ไว้ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
ธรรมทั้งหลาย จะทำดีทำกุศลดี ก็ใจนี่แหละ เป็นผู้ถึงก่อน
เป็นผู้ถึงพร้อม จะทำบาปอกุศล ก็ใจนี่แหละ
จะผ่องแผ้วแจ่มใสเบิกบาน ก็ใจนี่แหละ
จะเศร้าหมองขุ่นมัว ก็ใจนี่แหละ
ใจเศร้าหมองขุ่นมัวแล้วก็ไม่มีความสุขอยู่ในโลก
จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข
ครั้นใจผ่องแผ้วละก็ พระพุทธเจ้าท่านว่า
มนสา เจ ปสนฺเนน
บุคคลผู้มีใจผ่องแผ้วดีแล้ว
แม้นจะพูดอยู่ก็มีความสุข แม้นจะทำอยู่ก็มีความสุข
ตโต นํ สุขมเนฺวติ
อยู่ที่ไหนๆ ก็มีความสุข
มีความสุขเหมือนกะเงาเทียมตนไป
ฉายาว อนุปายินี
เหมือนเงาเทียมตนไป
ไปสวรรค์ก็ดี มามนุษย์ก็ดี
เพราะเหตุนั้นแหละ ให้เราพากันตั้งใจอบรม ตั้งสติไว้ที่ใจ
ควบคุมใจให้มีสติสัมปชัญญะ
มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ การทำ การพูด การคิด
ก็อย่าให้มันผิด มันพลาดไป ควบคุมให้มันถูก
ครั้นมันผิดมันพลาด เราก็มีสติยั้งไว้ ละ ปล่อยวาง
ไม่เอามัน ทางผิดน่ะ
พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ทางไปนรก ทางไปสวรรค์
ทางไปพรหมโลก ทางไปพระนิพพาน พระองค์ก็บอกไว้แล้ว
ให้วางกายให้เป็นสุจริต วาจาให้บริสุทธิ์ ใจให้บริสุทธิ์
นี้ทางไปสวรรค์ ทางมามนุษย์
ทางไปพระนิพพานให้บริสุทธิ์อย่างนี้
ทางไปนรกนั่น เรียกว่าทุจริตนั้น
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ อันนี้ทางไปนรก
เราจะเว้นเสีย ไม่ไปละ
รู้จักแล้ว เราจะไปแต่ทางที่ราบรื่น ทางสบาย
การเดินก็ทางกาย วาจา ใจ เท่านั้นและ
ผู้ที่จะเที่ยวเอาภพ เอาชาติ นับกัปป์ นับกัลป์ไม่ได้
ตั้งแต่โลกเป็นโลกมา คือดวงจิตของเรานี่เอง
ดวงจิตของเรานี่เองเป็นผู้ก่อกรรมก่อเวรแล้วก่อเล่า
ไม่เบื่อสักที ก็แม่นดวงจิตของเรานี่แหละ
เพราะเหตุนั้น เราจึงต้องอบรมจิตใจของเราให้ดี
ให้ใจรู้เสีย ใจนี่แหละมันเป็นผู้หลง
จนนับภพนับชาติไม่ได้ ภพน้อย ภพใหญ่
เที่ยวอยู่ในสังสารจักร์นี่
จึงให้เข้าใจเสียว่า เจ้ากรรมนายเวรคือใจ
ตัวกรรมแม่นใจ ดวงใจอันเดียว
วิญญาณอันเดียวเป็นตัวกรรม
แต่งกรรมเสียแล้วให้เวียนตายเวียนเกิดที่นี่ ไม่เลิก
เรารู้จักแล้วเราต้องควบคุมใจ
แนะนำสั่งสอนใจ ทำใจของเราให้ผ่องแผ้ว
ว่าเอาย่อๆ นี่แหละ กว้างขวางก็ได้ยินมาพอแฮงแล้ว
เอาย่อๆ ควบคุมใจเท่านั้นและ
ใจนี้ เจ้าของนรกก็แม่นใจนี่แหละ ม่าง (เลิก, ทิ้ง) นรกก็แม่นใจนี่แหละ
ครั้นมันไม่ดีละก็ ร้อน เป็นทุกข์เหมือนใจจะขาด
ครั้นใจไม่ดีละก็ มันกลุ้ม เป็นทุกข์จนฆ่าตัวตายนี่แหละ
ถือว่าเราเป็นเรา นี่ก็เพราะใจนี่แหละ ไม่ใช่อื่นดอก
เพราะมันไม่รู้ ท่านเรียกว่าอวิชชา ตัวใจนี่แหละอวิชชา
เราจึงควรสดับตรับฟัง แล้วก็ค้นคว้าพิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล
ทุกข์มันมาจากไหน ให้พิจารณาทุกข์ก่อน
ทุกข์เป็นของจริงอันประเสริฐ
มันมาจากไหน ค้นขึ้นไปซิ
เห็นมาจากโง่นั่นแหละ ดวงจิตเป็นผู้โง่
มันต้องเป็น มันต้องเดือดร้อน มันถึงใคร่ มันถึงปรารถนา
มันถึงอยากเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่
เพราะเกลียด เพราะชัง มันชังมันก็ไม่อยากเป็น
แล้วก็หาของมาแก้ไข หาคิดอิหยังมาทา หนังเหี่ยวก็เอามาทา
ลอกหนังออก มันได้กี่วัน มันก็เหี่ยวอย่างเก่า นี่หาทางแก้ดู
ท่านว่า วิภวตัณหา มันเป็นกับดวงใจ เราสดับรับฟังอยู่ อบรมอยู่ทุกวันนี้
ทำความเพียรอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะอยากรู้จักใจของเรา
ครั้นรู้แล้ว ก็คุมเอาแต่ใจนี่ ขัดเกลาเอาแต่นี่ สั่งสอนเอาแต่นี่
ให้มันรู้เท่าสังขารนี่แหละ มันไม่รู้ เพราะมันโง่ว่าแม่นหมด
ทั้งก้อนนี้เป็นตัวเรา เป็นผู้หญิง ผู้ชาย ยึดถือไป ยึดถืออกไปรอบๆ แผ่นดิน
ยึดในตัวยังไม่พอ ยึดแผ่นดินออกไปอีก นี่แหละเพราะความหลง
ก็ยึด ทั้งการทำการงานทุกสิ่งทุกอย่าง เรียนวิชาศิลปะทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็เพื่อจะบำรุงบำเรอครอบครัวของตน บำรุงบำเรอตนให้เป็นสุข
บำรุงพระศาสนา ค้ำจุนพระศาสนาก็เป็นการดี
ขอให้รู้เท่าแล้ว อย่าไปยึดมันเท่านั้นแหละ
ใน
ปฏิจสมุปปบาท
ท่านว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร
สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
ท่านว่าให้ดับความโง่อันเดียวเท่านั้น ผลดับหมด
เพราะธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ
ธรรมทั้งหลายคือ ดีก็ดี ชั่วก็ดี ไหลมาแต่เหตุ คือความโง่ ความไม่เข้าใจ
คิดว่าเป็นตัวเป็นตน ก็ได้รับผลเป็นสุข เป็นทุกข์ สืบไป ท่านเรียกว่า
วัฏฏะ
การวน
วนไม่มีที่สิ้นสุด เราท่องเที่ยวอยู่นี่ ตั้งแต่แผ่นดินเป็นแผ่นดินมาแล้ว
ทุกคนนี่แหละ คุณหมอก็ดี คุณหญิงก็ดี
เกิดมาชาตินี้นับว่าบุญบารมีอันพวกท่านทั้งหลายได้อบรม ศีลห้า ศีลแปด รักษาอุโบสถ
รักษากรรมบถสิบ จึงเป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ เกิดมาก็ไม่เป็นผู้เกียจคร้าน
ไม่เป็นผู้มักหน่าย มีความพอใจแสวงหาวิชาศิลปะ จนได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นสูง
นี่ก็เพราะบุญกุศลของเราได้สร้างสมอบรมมา
จึงว่า
ปุ พฺเพ จ กตปุญฺญตา
คือบุญได้สร้างสมไว้แล้วแต่กาลก่อน
แล้วก็ได้เกิดในประเทศอันสมควร ประเทศอันสมควรก็หมายเอาสกนธ์กายอันนี้
หรือจะหมายเอาแผ่นดิน ฟ้า อากาศก็ได้
หรือจะหมายเอาประเทศที่มี่พระพุทธศาสนาตั้งมั่นถาวร และมีอาจารย์
นักปราชญ์แนะนำสั่งสอนได้ อันนี้ก็ว่าประเทศอันสมควร
ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา
พวกเราได้เคยอบรมสร้างสมบุญกุศลมาหลายภพหลายชาติแล้ว
จึงเป็นผู้บริบูรณ์สมบูรณ์ แล้วก็ได้เกิดในประเทศอันสมควร
ประเทศเราได้นับถือพระพุทธศาสนาตั้งแต่บรรพบุรุษจนตราบเท่าทุกวันนี้
เราก็ได้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็ได้ตั้งตนไว้ในที่ชอบ
คือตั้งตนไว้ในการสดับตรับฟัง ทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ในทางโลกก็ดี
เกื้อกูลอุดหนุนโลกให้เจริญ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำอัตตประโยชน์
ประโยชน์ของตนก็ได้แล้ว ประโยชน์ของผู้อื่น ของโลกก็ได้อยู่
นี่และชื่อว่าตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ แล้วก็ตั้งตนอยู่ในศีล ในการภาวนา
ตั้งตนอยู่ในการสดับรับฟัง นี่เรียกว่า
อตฺตสมฺมาปณิธิ
ตั้งตนในที่ชอบ
ท่านกล่าวว่าเป็นมงคลอันประเสริฐสุด ให้มีสติควบคุมใจของตน
อันนี้ก็ชื่อว่าตั้งตนไว้ในที่ชอบอย่างสูงสุด
นี่แหละ ให้ควบคุมดวงจิตของเราให้รู้จักเสีย
เจ้ากรรมนายเวรก็คือดวงจิตของเรานี่แหละ
ผีนรกก็เป็นดวงจิตอันนี้ สวรรค์ก็เป็นดวงจิตอันนี้ พรหมโลกก็ดวงจิตอันนี้
ครั้นรู้จักแล้ว ก็ทำความเพียรต่อไปจนเกิด
นิพพิทา
ความเบื่อหน่ายในอัตตภาพของตน ที่เป็นมาหลายภพหลายชาติ
การเกิดเวียนไปเวียนมาก็ไม่ได้อะไร มีแต่การสดับรับฟัง
มีแต่การบริจาคให้ทาน มีแต่ศีลของตนเท่านั้นเป็นอริยทรัพย์
ทรัพย์ภายในติดตามไปกับดวงจิตของเราทุกภพทุกชาติ
จิตเมื่อมันทำความชั่วไว้แล้วก็ไม่ลืม ใครไม่ต้องการสักคน หมดทั้งนั้น
ความชั่ว บาปกรรม ให้คิดดู แต่นักโทษเขาลัก เขาปล้นสดมภ์แล้ว
เขาก็หลบหนีไปซ่อนอยู่ตามป่าเขาตามถ้ำตามดง
เพราะเขาไม่ปรารถนาจะให้พวกตำรวจไปจับเขา
อันนั้นมันก็ไม่พ้นดอก บาปน่ะ ฉันใดก็ดี
ครั้นทำลงแล้ว ทำบาป อกุศลจิตก็เป็นผู้จำเอา
ไปตกนรกก็แม่นดวงจิตนั่นแหละเป็นผู้ไปตก
อัตตภาพ
คือ ร่างกายของเรานี้ มันก็นอนทับดิน
ส่วนดินมันก็เป็นดิน ส่วนน้ำมันก็เป็นน้ำ ส่วนลม ส่วนไฟ
มันก็เป็นลม เป็นไฟ ของเก่ามัน
ครั้นพ่นแล้วก็กลับมาถือเอาดิน เอาน้ำของเก่าอีกเท่านั้นแหละ
แล้วก็มาใช้ดิน น้ำ ไฟ ลม นี่แหละครบบริบูรณ์
เอามาใช้ในทางดีทางชอบ ก็เป็นเหตุให้ได้สำเร็จมรรคผลพระนิพพาน
พระพุทธเจ้าสร้างบารมีก็อาศัยดินอันนี้แหละ ประเทศอันสมควรอันนี้แหละ
สาวกจะไปพระนิพพานตามพระพุทธองค์ก็อาศัยอัตตภาพอันนี้
ครั้นไม่อาศัยอัตตภาพอันนี้ มีแต่ดวงจิตหรือมีแต่ร่างซื่อๆ
ก็ไม่สำเร็จอะไรหมดทั้งนั้น เหมือนกันทั้งนั้น
พวกเทพยดาได้ชมวิมานชมความสุขอยู่ตลอดชีวิต
ชมบุญ ชมกุศล ก็ทำเอามาแต่เมืองมนุษย์
ครั้นจุติแล้วก็ได้ไปเสวยบุญกุศลของตน
ครั้นหมดบุญแล้วก็ลงมาเมืองมนุษย์มาสร้างอีก แล้วแต่จะสร้างเอา
อันชอบบุญ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเอาบุญ อันชอบบาป ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเอาบาป
เหมือนพระเทวทัตนั่น ต่างคนต่างไปอย่างนั้น
อาตมาบอกไว้เท่านั้นว่า ให้มีสติคุมดวงจิต สัตว์นรกก็แม่นจิต สัตว์อเวจีก็แม่นจิต
พระอินทร์พระพรหมก็แม่นจิต ที่เข้าพระนิพพานก็แม่นจิต
ไม่ใช่ใคร จิตไม่มีตนมีตัว จิตเหมือนวอก (ลิง) นี่แหละ
แล้วแต่มันจะไป บังคับบัญชามันไม่ได้ แล้วแต่มันจะปรุงจะแต่ง
บอกไม่ได้ ไหว้ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าให้วางมันเสีย อย่าไปยึดถือมัน
ก็จิตนั่นแหละมันถือว่า
ตัวกู
อยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี เราถือว่าเราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้หญิง
ก็แม่นจิตนั่นแหละเป็นผู้ว่า มันไม่มีตนมีตัวดอก
แล้วพระพุทธเจ้าว่าให้วางเสีย ให้ดับวิญญาณเสีย
ครั้นดับวิญญาณแล้ว ไม่ไปก่อภพก่อชาติอีก ก็นั่นแหละพระนิพพานแหละ
แน่ะ พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้น มันไม่อยู่ที่อื่น
นรกมันก็อยู่นี่ พระนิพพานก็อยู่นี่ อย่าไปค้นที่อื่น อย่าไปพิจารณาที่อื่น
ให้ค้นที่สกนธ์กายของตน ให้มันเห็นเป็น
อสุภะอสุภัง
ให้เห็นเป็นของปฏิกูล
ให้เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายมันนั่นแหละ
แต่กี้มันเห็นว่าเป็นของสวยของงามของดี ดวงจิตนั่นเมื่อมีสติควบคุม
มีสัมปชัญญะ ค้นหาเหตุผล ใคร่ครวญอยู่ มันเลยรู้เห็นว่า
อัตตภาพร่างกายนี้เป็นของปฏิกูล ของเน่าเปื่อยผุพัง
แล้วมันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย จิตนั่นแหละเบื่อหน่าย
จิตเบื่อหน่าย จิตไม่ยึดมั่นแล้ว เรียกว่าจิตหลุดพ้นถึงวิมุตติ
วิมุตติ
คือความหลุดพ้นจากความยึดถือ หลุดพ้นจากอุปาทาน
ความยึดมั่นถือมั่น พ้นจากภพจากชาติ ตั้งใจทำเอา
หนังสือ อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย
ประวัติ ปฏิปทา และคำเทศนา หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู
กัณฑ์ที่ ๑ ควบคุมใจ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=49961
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ขาว อนาลโย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22390
รวมคำสอน หลวงปู่ขาว อนาลโย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43187
ประมวลภาพ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=21449
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th