Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ผลวิจัย เมตตาภาวนาทำให้สมองดี อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 4:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีผลการวิจัยที่นักวิจัยอเมริกาเคยศึกษาในพระภิกษุทิเบต เกี่ยวกับเรื่องนี้เคยลงใน

http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/articles/A43006-2005Jan2.html

ใครสนใจไปอ่านฉบับเต็มเอาเองเพราะยาวมาก.... แต่เขาใช้วิธีเมตตาภาวนาแบบทิเบต.... ไม่ใช่อานาปนสติแบบของเถรวาท แต่ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก

มีที่น่าสนใจมากตรงนี้ครับ....


".....Davidson said that the results unambiguously showed that meditation activated the trained minds of the monks in significantly different ways from those of the volunteers. Most important, the electrodes picked up much greater activation of fast-moving and unusually powerful gamma waves in the monks, and found that the movement of the waves through the brain was far better organized and coordinated than in the students. The meditation novices showed only a slight increase in gamma wave activity while meditating, but some of the monks produced gamma wave activity more powerful than any previously reported in a healthy person, Davidson said.

The monks who had spent the most years meditating had the highest levels of gamma waves, he added. This "dose response" -- where higher levels of a drug or activity have greater effect than lower levels -- is what researchers look for to assess cause and effect......"


นักวิจัยท่านนี้ท่านวิเคราะห์ว่า การฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอย่างถาวรกับสมองด้วย..... เพราะเขาพบว่าในกลุ่มพระทิเบตที่ฝึกสมาธิมานานจะมีระดับเบสไลน์ของแกมม่าเวฟสูงกว่าปกติมากแม้นแต่ในขณะที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สมาธิ.....(Davidson concludes from the research that meditation not only changes the workings of the brain in the short term, but also quite possibly produces permanent changes. That finding, he said, is based on the fact that the monks had considerably more gamma wave activity than the control group even before they started meditating. A researcher at the University of Massachusetts, Jon Kabat-Zinn, came to a similar conclusion several years ago. )

ตรงนี้อธิบายได้ว่าทำไมผู้ที่มีเมตตาจิตจากการภาวนา....จะมองโลกในแง่ดี....หลับก็ฝันดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม คลื่นแกมม่า เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่อยู่ในช่วงสูงสุด ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของสมองที่กำลังหลับ..... คลื่นแกมม่าเป็นคลื่นที่แสดงถึงทางบวกในการทำงานของสมอง

กลับมาเล่าขยายความเข้าใจเรื่องEEGแบบง่ายๆให้ฟัง เผื่อผู้ที่ยังไม่เข้าใจ....

EEG(ELECTRO-ENCEPHALOGRAM)เป็นวิธีการตรวจจับการทำงานของสมองโดยใช้หลักการที่ว่าสมองจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่..... โดยจะใช้ขั้วไฟฟ้าไปวางไว้ตามตำแหน่งต่างๆทั่วผิวหนังศรีษะ แล้วบันทึกกราฟของคลื่นที่ถูกปล่อยออกมาจากสมองส่วนต่างๆ

คลื่นสมองมีอยู่หลายชนิด ตามลำดับความถี่(FREQUENCY มีหน่วยเป็นHz) โดยเรียกชื่อตามย่านความถี่ต่างๆ เช่น แอลฟ่าเวฟ(8-13Hz) เบต้าเวฟ(14-26Hz) เธต้าเวฟ(4-7Hz) เดลต้าเวฟ(0.5-4Hz) และแกมม่าเวฟ(มากกว่า26Hz)..... สมองในขณะต่างๆจะมีคลื่นที่แตกต่างกัน เช่น คนตื่นจะเป็นแบบหนึ่ง คนนอนหลับตื้นจะเป็นแบบหนึ่ง คนนอนหลับลึกจะเป็นแบบหนึ่ง คนโคม่าจะเป็นแบบหนึ่ง ...... ทีนี้ผลการวิจัยนี้มันออกมาน่าสนใจว่า คลื่นสมองของผู้เจริญสมาธิต่อเนื่องจะมีคลื่นแกมม่าเวฟ(ความถี่สูงสุด)สูงกว่าคนปกติ ทั้งในขณะที่ไม่ได้เจริญสมาธิ ในขณะเจริญสมาธิ และภายหลังออกจากสมาธิแล้ว..... คลื่นแกมม่าเวฟนี้จะบ่งบอกถึงการทำงานเชิงบวกของสมอง เช่น ความสงบ ความอิ่มเอิบ การมองโลกในแง่ดี....... เลยแปรได้ว่าคนที่ฝึกสมาธิต่อเนื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงของสมองแบบถาวรในเชิงบวก

นี่เป็นจุดอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าทำไมสมาธิจึงทำให้ผู้ฝึกเป็นประจำมีสุขภาพจิตที่ดี......

ความจริงการศึกษาเรื่อง ผลของสมาธิกับการเรียนรู้นี้ในเมืองไทย เคยมีอาจารย์แพทย์ที่ศิริราชเคยทำไว้ ว่าช่วยให้การเรียนรู้ดีขึ้น...... และเคยมีผู้เปรียบเทียบการทดลองปลูกต้นไม้(ผมจำไม่ได้ว่าสถาบันใดทดลองนี้ แต่ทำมานานมากแล้ว)โดยกลุ่มหนึ่งให้คนที่ฝึกสมาธิต่อเนื่องไปแผ่เมตตาให้ต้นไม้เสมอ กับต้นไม้อีกกลุ่มหนึ่งที่ปลูกตามปกติแต่ไม่มีใครไปแผ่เมตตาให้ โดยที่ปัจจัยอย่างอื่น เช่น แสง น้ำ ความชื้น สายพันธ์ ของทั้งสองกลุ่มนี้เหมือนกันทุกอย่าง..... ปรากฏว่าต้นไม้ที่มีคนไปแผ่เมตตาให้เจริญงดงามกว่ากลุ่มที่ไม่มีใครไปแผ่เมตตาให้อย่างชัดเจน. มันเหมือนจะบอกได้ว่า เมตตาจิตสามารถแผ่ไปยังสัตว์และพืชที่อยู่นอกสมอง(ของเจ้าของ)ได้ด้วย..... ไม่ได้มีผลแต่เพียงต่อสมองของเจ้าของเท่านั้น.....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 4:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมาธิเป็น หนึ่งในไตรสิกขา...... สมาธิที่ดีย่อมทำให้จิตเข้มแข็ง สติผ่องแผ้ว และปัญญาเฉียบคม

การเจริญสมาธิ(หยุดความคิด) และการเจริญสติ(ควบคุมความคิด) มีความจำเป็นทั้งสองอย่าง..... แต่ในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ เรา-ท่านมักจะมีเวลาเจริญสมาธิกันน้อย แต่สามารถมีเวลาเจริญสติได้มากกว่า(ถ้าสนใจจะทำ)..... และก็มีปัญหาอีกข้อหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่าผู้เริ่มสนใจส่วนมากจะสงสัยกันก็คือว่า "เราสามารถเจริญสติในชีวิตประจำวันอย่างเดียวโดยไม่ต้องเจริญสมาธิเลยได้ไหม".... ลองฟัง ท่านอ.ชยสาโร ท่านตอบน่ะครับ.... (ผมนำมาจาก"หลับตาทำไม")

------------------------------------------------------------------------ --------------

".......การทำสมาธิจึงช่วยได้ตั้งแต่เรื่องธรรมดา ๆ หรือง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันตลอดจนถึงเรื่องสูงสุด คือการบรรลุมรรคผล นิพพาน การพ้นทุกข์ในระดับสูงเกิดจากปัญญาระดับวิปัสสนา ปัญญาระดับวิปัสสนานั้นเกิดจากจิตใจที่สงบ ไม่มีนิวรณ์ณ์ จิตใจที่พ้นนิวรณ์ คือจิตใจที่ได้รับการฝึกอบรมทางสมาธิภาวนา

ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม ควรสนใจการทำสมาธิภาวนา.....บางคนถามว่าเอาแต่เจริญสติในชีวิตประจำวันได้ไหม....ถ้าทำสติมีความรู้อยู่ทุกอิริยาบถไม่ทำสมาธิได้ไม? (คำตอบคือ)ไม่ได้ .....คือต้องทำ(สมาธิ)...... ถ้าไม่ทำ สติเราจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส และจิตใจจะไม่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธการสำออยของมัน จิตใจที่มีสมาธิย่อมมีกำลังมาก ......"

"......หลักการสำคัญที่ขอย้ำไว้ที่นี่ ก็คือ สมาธิเป็นเครื่องข่มกิเลสไว้ ไม่ใช่เป็นตัวทำลายกิเลส ...แต่ก็จำเป็น .....เพราะการข่มกิเลสไว้ทำให้ปัญญามีโอกาสทำงานคล่องแคล่ว... เหมือนหมอผ่าตัด ต้องวางยาสลบก่อนผ่า ไม่วางยาสลบจะผ่าตัดยากเพราะคนไข้เจ็บแล้วต้องดิ้น .....สมาธิเหมือนยาสลบ .....สิ่งที่สลบไปก็คือ ความรู้สึกยินดียินร้าย ความหลงใหลตามสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจิต ด้วยความพอใจและไม่พอใจ ....เมื่อจิตไม่เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการรับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็จะเห็นชัดขึ้นซึ่ง อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความบกพร่อง ความไม่สบบูรณ์ และ อนัตตา ความไม่มีเจ้าของหรือแก่นสารในสิ่งเกิดดับ...."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 5:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

........ สมาธิเป็นเพียง ข้อ2 ในทั้งหมด3ข้อ ของไตรสิกขาที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ให้แก่อนุชนคนรุ่นหลัง.......

น่าจะมีการศึกษาวิจัย เรื่องศีลที่เป็นลำดับแรก และปัญญาที่เป็นลำดับสุดท้ายด้วย ถึงจะสมบูรณ์...... อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยที่ออกมาก็บ่งบอกชัดเจนว่าการฝึกเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่องมีประโยชน์จริง...... ทำให้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะชาวตะวันตกเข้าใจเรื่องประโยชน์ของการฝึกเจริญสมาธิมากขึ้น .....

คำสอนของพระพุทธเจ้าคงทน ท้าทายต่อการพิสูจน์แม้นกาลเวลาจะล่วงเลยผ่านมาถึง2500กว่าปีแล้วก็ตาม......
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 5:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บางท่านอาจจะสงสัยว่า สมองแยกออกจากมโนวิญญาณ อย่างไร สงสัย

ผมสับสนมานานแล้ว..... สับสนจนเลิกสนใจไปเลยครับ


ที่ว่าเลิกสนใจคือ เลิกไปสนใจจุดที่ว่าสมองแยกกับมโนวิญญาณอย่างไร..... วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่พอจะเข้าใจครับ มันมีเส้นทางการรับรู้ผ่านทางระบบประสาทต่างๆ ที่แยกส่วนออกจากสมองแน่ๆ.... แต่พอมาถึงเรื่องระหว่าง มโนวิญญาณกับสมองแบ่งกันตรงไหน ตรงนี้ยากครับ..... ต้องอาศัยจิตตภาวนาชั้นสูงน่ะครับ ผมบอกเลย ระดับใช้"ความคิด"มาคิดเอานี้ไม่ได้แน่ๆ ความคิดมันเป็นสังขาร มีแต่สับสนอลหม่าน ..... มันต้องเป็นระดับความรู้หรือญาณที่ประจักษ์แจ้งโดยตรงน่ะครับ...... ต้องเป็นระดับ"รู้"ที่อยู่เหนือ"คิด". แต่ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจก็ข้ามไปก่อนได้ ไม่ว่ามโนวิญญาณกับสมองแยกกันตรงไหน ก็อาจจะไม่จำเป็นสักเท่าใดที่เราจะต้องไปรู้ลึกในรายละเอียดถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าถ้ารับรู้แล้วไม่ทุกข์เป็นใช้ได้ ถ้ารับรู้แล้วเป็นทุกข์ก็ต้องฝึกฝนให้สติคมขึ้น

บางท่านอาจจะยังไม่เคยพบกับครูบาอาจารย์ที่ท่านมีเจโตปริยญาณอ่านความคิดเราได้จริงๆน่ะครับ..... ผมและหลายๆท่านเคยเจอกันมาแล้วครับ..... ผมไม่ได้เจอครั้งเดียวน่ะครับ เจอบ่อยมากจนกลัวครูบาอาจารย์บางท่าน และกลัวไปกลัวมาจนหายกลัว ....นี่ก็แปลก เพราะสมองถ้าเป็นเพียงกลุ่มเซลล์ประสาทที่มารวมกัน(ตามความรู้ที่วิชาการปัจจุบันเข้าใจ)ท่านจะมาอ่านความคิดผู้อื่นได้อย่างไร.

หลวงปู่ชา สุภัทโท สาธุ ท่านมักจะสอนไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้น.ท่านเปรียบเหมือนเหล้าว่า เหล้าดียิ่งกินยิ่งเมา.....ท่านจะมุ่งเน้นเข้าสู่การทำให้ถึงที่สุดของทุกข์ .อ.หมอ อุทัย เจนพาณิชย์ ลูกศิษย์ฆราวาสคนหนึ่ง(ที่นิมนต์หลวงปู่ไปแสดงธรรมเรื่องบ้านที่แท้จริงให้คุณแม่ของอาจารย์ฟัง ) เคยแปลกใจในเรื่องเหล่านี้มาก พยายามจะเรียบเคียงถามว่ามันเป็นไปได้อย่างไร.........แต่ท่านก็จะพูดตัดบทไปเลยว่า"....อย่าไปสนใจเรื่องเหล่านี้เลย มันเป็นเพียงเรื่องของสมาธิไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไร..."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 5:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประเด็น ......จิตทั้งหมดมันก็คือการทำงานของสมองใช่ไหม....... สงสัย


ผมเห็นดังนี้น่ะครับ

1. ความรู้ในปัจจุบันนั้น เราทราบแล้วว่าพื้นที่บนสมองส่วนไหนที่ทำให้เกิดความคิดประเภทไหน แต่ยังไม่ทราบหมดทุกส่วน..... เพราะรอยโรคบนสมองบางส่วนทำให้เกิดความผิดปกติทางความคิดบางประเภทได้จริง แต่ความคิดของคนเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก แม้นแต่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้านนี้โดยตรงก็ยังไม่ทราบความซับซ้อนนี้ทั้งหมด. แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นสอนให้เรารู้วิธีของการรับรู้ว่า รับรู้อย่างไรแล้วไม่เป็นทุกข์ รับรู้อย่างไรแล้วเป็นทุกข์...... ในขณะที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังตอบสิ่งนี้ไม่ได้ อย่างมากก็อาจจะสามารถสังเคราะห์ยาคลายเครียดหรือยากล่อมประสาทมาช่วยบรรเทาความทุกข์ทางใจได้บ้าง แต่ก็อาจจะติดยาและมีผลข้างเคียงของการใช้ยาได้

2. อยากให้ลองอ่านเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างถาวรที่เกิดต่อสมองของพระภิกษุทิเบตที่เจริญเมตตาภาวนาจากลิ้งค์ข้างบนที่ผมทำไว้ให้...... ณ เวลาปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือสารสังเคราะห์ตัวไหนทำให้เกิดผลดีต่อสมองได้ชัดเจนอย่างนี้เลยน่ะครับ..... ดังนั้น ขออย่าลังเลเลยครับ ลงมือภาวนาเลยดีกว่า...... ความสงสัยก็ปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้นแหละ ภาวนาเลยดีกว่า.....

3.บางท่านอาจจะสงสัยว่า ถ้าจิตเป็นเพียงการทำงานของสมองแล้ว...... แล้วเรา-ท่านภาวนาและเรา-ท่านทำบุญกันอยู่นี้ทั้งหมดจะไม่หมดสิ้นเพียงตอนตายแล้วหรือ??? ความจริงนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ก็เห็นผลคือความทุกข์ทางใจลดลงกันเห็นๆเลยในปัจจุบันนี้น่ะครับ...... ส่วนเรื่องความสงสัยที่ว่า ตายแล้วจะไม่เกิดอีก เพราะจิตเป็นเพียงการทำงานของสมอง(ซึ่งจะหยุดตอนตาย)นั้น ไม่ต้องกังวลหรอกครับ..... ตายแล้วไม่เกิดซิครับ ดีที่สุด!!!..... เพราะถ้าเกิดอีก ก็ต้องตายอีกแน่ๆน่ะครับ..... ทั้งการเกิดและการตายเป็นทุกข์ทั้งนั้น คนทั่วไปไม่เห็นความจริงข้อนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านเห็นชัดเลยน่ะครับ.....บางท่านอาจจะกลัวว่าตายแล้วจะไม่ได้เกิด แต่ผู้ภาวนาแล้วเขาไม่กลัวเรื่องไม่เกิดกันหรอกน่ะครับ.
ความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในคืนวันตรัสรู้นั้น ท่านบรรลุวิชา3ประการ ท่านเห็นตั้งแต่การเวียนว่ายตายเกิดของพระองค์เอง(บุปเพนิวาสานุสตินญาณ คือวิชาที่1) การเกิดตายของหมู่สัตว์(จุตูปปาตญาณ คือวิชาที่2) และสุดท้ายก็คือรู้การดับทุกข์ทั้งหมด คือรู้ทั้งการหมดทุกข์ในปัจจุบัน(ถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)และตายไปแล้วไม่เกิดอีก(ดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ) ซึ่งก็คือ อาสาวักขยญาณ (คือวิชาที่3)ท่านทรงสอนไว้ว่าถ้าจะไม่เกิดก็ต้องดับกิลสในใจให้หมดเท่านั้น ถ้ากิเลสในใจไม่หมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเกิดอีกน่ะครับ.......
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2006, 5:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธวจนะที่ตรัสถึง เมตตาภาวนา นั้น สามารถยังผผลให้บุคคลสำเร็จถึงพระอนาคามีเลยทีเดียว สาธุ สาธุ สาธุ

จาก กรรมสูตรที่ ๓


".........ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนั้นนั่นแล เป็นผู้ปราศจากอภิชฌาปราศจากพยาบาท
ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่
ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง
แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหรคต
หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
อริยสาวกนั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า ในกาลก่อนแลจิตของเรานี้เป็นจิตเล็กน้อย เป็นจิตไม่ได้อบรมแล้ว แต่บัดนี้ จิตของ เรานี้ เป็นจิตหาประมาณมิได้ เป็นจิตอบรมดีแล้ว ก็กรรมที่ทำแล้วพอประมาณอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นย่อมไม่เหลืออยู่ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือ หากในเวลายังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญเมตตาเจโตวิมุติไซร้ พึงทำบาปกรรมบ้างหรือ ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมและหรือ ฯ
ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยว่าทุกข์จักถูกต้องบุคคลผู้ไม่
ทำบาปกรรมได้แต่ที่ไหน ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมตตาเจโตวิมุตินี้ อันสตรีหรือบุรุษ พึงเจริญแล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กายนี้มิได้มีส่วนอันสตรีหรือบุรุษจะพึงพาเอาไปได้ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้มีอัน
จะต้องตายเป็นสภาพนี้ เป็นผู้มีจิตเป็นเหตุ สัตว์นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่าบาปกรรมไรๆ ของเรา
อันกรัชกายนี้ทำแล้วในกาลก่อน บาปกรรมนั้นทั้งหมด เป็นกรรมอันเราพึงเสวยในอัตภาพนี้
จักไม่ติดตามไป ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอด วิมุติอันยิ่ง ในธรรมวินัยนี้อบรมแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็น
พระอนาคามี
...."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง