Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
สิ่งลี้ลับ (ท.เลียงพิบูลย์)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
ตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2004, 11:18 am
สิ่งลี้ลับ
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔
โลกเรานี้ยังมีสิ่งที่ประหลาดมหัศจรรย์ลี้ลับอีกมากมาย แม้ปัจจุบันนี้ความเจริญทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าเพียงไร แต่ความลี้ลับมหัศจรรย์ในเรื่องวิญญาณและอภินิหาร ก็ยังเหมือนม่านลี้ลับกั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณไม่ให้มีการติดต่อถึงกันได้สะดวก ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะหาหลักฐานในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อคลี่คลายให้เด็ดขาดลงไปว่า จะปฏิเสธหรือว่ามีจริง ยังคงทิ้งปัญหาไว้เหมือนเส้นผมบังภูเขา ข้าพเจ้าเองไม่เคยเจอในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลมาก่อน เพราะเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างลมๆ แล้งๆ หาหลักความจริงไม่ได้
เมื่อวัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือพวกเพื่อนเล่าเรื่องผีเรื่องสางให้ฟัง ข้าพเจ้าไม่เคยนึกเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจังอะไร ผิดกับพวกพี่น้อง เธอว่าผีมีจริงอย่างฝังหัว แต่เมื่อได้ประสบกับตัวเอง ครั้งแรกก็เกิดความสงสัยไม่แน่ใจว่า สิ่งลี้ลับในโลกมนุษย์เรานี้มีจริงหรือไม่ ยังไม่ควรจะตัดสินสิ่งใดง่ายๆ แต่เมื่อได้ประสบการณ์ซ้ำๆ กันหลายครั้ง จึงมาคิดดูว่าที่ไม่เชื่อนั้นก็ถูก เพราะยังไม่เคยประสบการณ์ ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประหลาดมหัศจรรย์มาก่อน และที่เชื่อก็ถูก เพราะได้ประสบมาด้วยตนเองซ้ำๆ หลายครั้ง ฉะนั้นการเชื่อหรือไม่เชื่อจึงเป็นธรรมดาที่ถูกทั้งสองฝ่าย ไม่เป็นปัญหาอะไรมากนัก
บัดนี้ ข้าพเจ้ามีความสนใจที่จะเรียนรู้ศึกษาในสิ่งลี้ลับ ซึ่งหาหลักวิชาไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงอยากรู้อยากเห็นอยากพิสูจน์ด้วยของจริง มีปัญญาชนหลายท่าน บางท่านก็มีตำแหน่งสูง บางท่านก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง แต่เมื่อได้ประสบการณ์ด้วยตนเองในปาฏิหาริย์ก็พูดไม่ออก ต้องเก็บความรู้สึกนิ่งไว้ในใจเพราะคนที่รู้เห็นประสบการณ์มีน้อย คงได้เล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนฝูง แม้แต่ในหมู่เพื่อนฝูงก็ต้องระวัง เพราะบางท่านก็ไม่สนใจ ซ้ำร้ายกลับขัดคอหาว่างมงาย ถอยหลังเข้าคลอง
ฉะนั้น การเล่าสู่กันฟังก็ต้องหลีกเลี่ยงการโต้คารมของผู้ไม่สนใจ ข้าพเจ้าจึงมีเพื่อนฝูงและท่านที่เคารพนับถือ คอยชักชวนให้ข้าพเจ้าได้ไปพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ บางครั้งก็ต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด บางครั้งกลางดึกก็โทรศัพท์มาชักชวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ติดตามไปด้วยใจสมัครอยากรู้อยากเห็น อยากศึกษา ยอมอดหลับอดนอนตลอดรุ่ง แต่ก็รู้สึกว่าได้รู้ได้เห็นเหดุการณ์คุ้มค่าของเวลาที่เสียไป นี่ก็เป็นเพราะข้าพเจ้าสนใจ จึงได้มีเพี่อนฝูงคอยชักนำให้พบเหตุการณ์อันสูงค่าตามความรู้สึกในชีวิต
และก็อดคิดไม่ได้ หากข้าพเจ้าไม่สนใจและคอยขัดคอเยาะเย้ยหาว่างมงาย ก็คงจะไม่มีเพื่อนฝูงคนใดเขาอยากจะมาชักชวนไปประสบในสิ่งประหลาดเหล่านี้เป็นแน่ และก็อดนึกไม่ได้ว่า เมื่อแม่บ้านของข้าพเจ้าได้เข้าไปฟังธรรมที่วัดวันพระ มีเพื่อนฝูงคอยชักจูงไปฟังธรรมที่นั้นที่นี่ไปนั่งวิปัสสนาอาจารย์นี้เป็นต้น ล้วนแต่ผู้มีศีลธรรมชักจูงไปในทางดีทั้งสิ้น
และมานึกดูหากว่า ข้าพเจ้ามีนิสัยเป็นอันธพาลมาชักชวนให้ไปประพฤติชั่วเช่นเดียวกัน และถ้าข้าพเจ้าเป็นโจรก็คงมีพวกโจรชักชวนแนะนำไปปล้น เพราะเห็นว่ามีนิสัยเหมือนกัน นี่ก็เห็นจะเข้าบทกฎแห่งกรรมได้ ข้าพเจ้าอยากจะเล่าเรื่องที่ได้ทราบมา บางทีท่านอาจพิจารณาดูด้วยใจเป็นกลางก็คงจะได้ความรู้ใน เรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย
บ่ายวันหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับท่านผู้สูงศักดิ์ สูงทั้งความรู้โบราณคดีในประวัติศาสตร์และทางโลก
บ่ายวันนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนากับท่าน ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้จากท่านอีกมากมาย จึงคิดว่าเมื่อได้พบกับท่านผู้มีคุณธรรมสูงนั้น ย่อมจะมีแต่ได้ผลกำไรในชีวิต ทำให้จิตใจมีความสบายขึ้น ตอนหนึ่งข้าพเจ้าได้ถามท่านถึงเรื่องโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ จะมีทางติดต่อกันได้ทางใด และข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องประสบการณ์ในชีวิตหลายครั้งให้ท่านฟัง ท่านก็กรุณาเล่าเรื่องชีวิตประสบการณ์ของท่านให้ทราบว่า
เมื่อครั้งท่านได้อยู่ในต่างประเทศพร้อมด้วยญาติ ต่อมาโลกกำลังตกอยู่ในยามวิกฤตกาล ชาติมหาอำนาจหลายประเทศอยู่ในความวิปริต ประชาชนชาวโลกต่างก็หวาดหวั่นภัยสงครามโลกจะเกิดขึ้น ยากที่จะหาผู้ใดที่มีจิตใจปกติ ไม่สะดุ้งสะเทือนในสถานการณ์ของโลกกำลังปั่นป่วนเช่นนี้ ท่านและญาติได้อยู่ห่างไกลจากประเทศชาติที่รัก ห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ยามปกติก็มีความคิดถึงมากพออยู่แล้ว แม้เมื่อยามโลกปั่นป่วนเช่นนี้ย่อมจะทวีความคิดถึงบ้านมากขึ้น ความเป็นห่วงประเทศชาติและญาติพี่น้อง ความว้าเหว่และความวิปโยคจะเกิดขึ้น เรื่องเช่นนี้ถ้าไม่ได้ประสบกับตัวเองแล้ว ก็ยากที่จะเข้าถึงในความรู้สึกในส่วนลึกของผู้อื่น
ท่านเล่าว่าตอนกลางคืนก่อนนอน ท่านได้สวดมนต์และขอให้วิญญาณบรรพบุรุษที่เคารพอย่างสูง ขอให้ช่วยป้องกันภัยภยันตราย อย่าให้เกิดขึ้นแก่พวกเราเลย คืนหนึ่งท่านฝันแปลกประหลาดมาก ท่านเห็นล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ ๖ เสด็จมายืนข้างเตียงซึ่งท่านนอนตะแคงดูด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ในหลวงรับสั่งว่า
ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องเหตุการณ์ของโลก แล้วจะดีไม่มีภัย ฉันไม่เคยบอกอะไรที่ไม่จริง
ท่านนอนตัวเเข็งขนลุกทั้งตัว เมื่อลืมตาขึ้นก็ยังเห็นพระองค์ในหลวงกำลังเสด็จออกจากที่นั้น ท่านมองดูด้วยความตะลึง เห็นทรงพระราชดำเนินห่างออกไป พระวรกายค่อยๆ โปร่งแสงค่อยๆ จางหายไป เวลานั้นเป็นเวลาสางๆ แสงเงินแสงทองจับท้องฟ้าสว่างพอที่จะมองเห็นลายมือ ท่านเห็นล้นเกล้าอย่างชัดเจนทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น จำติดตาว่าทรงฉลองพระองค์คอปิดกระดุมห้าเม็ดแบบไทย ทรงผ้าหางกระรอกพร้อมทั้งถุงน่องรองพระบาท แต่มิได้ทรงพระมาลา สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ก็คือ ท่านได้เห็นทั้งหลับและตื่นแล้ว
(มีต่อ)
new
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
ตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2004, 11:29 am
เช้าวันนั้นพ่อแม่ครัวกลับจากตลาด จึงไปถามว่าซื้อได้อะไรมาบ้าง เขาตอบว่าได้เครื่องในหมูมา จึงได้ขอเครื่องในส่วนหนึ่งแล้วปรุงเป็นโจ๊ก (อับโจ๊) เมื่อเสร็จแล้วใส่ปิ่นโตสามชั้น มีองุ่น แอปเปิ้ลใส่ภาชนะอะลูมิเนียมไปถวายท่านรัตน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ลังกาและอยู่ไม่ห่างไกลจากที่อยู่นัก พระสงฆ์ชาวลังกาองค์นี้ท่านเคร่งและปฏิบัติศาสนกิจด้วยความบริสุทธิ์เป็นที่น่าเคารพยิ่ง และให้คนนำไปถวาย
บอกกับท่านว่าขอให้อุทิศส่วนกุศลนี้ถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ของเมืองไทยด้วย เมื่อกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลแล้ว ก็ได้อธิษฐานจิตว่าหากทุกสิ่งที่เห็นทั้งหลับและตื่นเป็นความจริงแล้ว ขอให้เกิดนิมิตให้ประจักษ์เหตุการณ์ให้รู้ว่าโลกทั้งสองนี้เชื่อมโยงต่อกันได้ และการนิมิตนี้ขอให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นที่ไม่รู้ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลย เพื่อสิ้นสงสัยทีอาจจะเกิดอุปาทานนำเอาไปคิดว่าเป็นมายาภาพ
ฉะนั้นหากจะเกิดนิมิตใดๆ ขึ้นก็ขอให้เกิดภายใน ๓ วันนี้และท่านได้ทำใจให้ลืมเสีย หลังจากได้อธิษฐานจิตแล้ว ๓ วันต่อมาเวลาเช้า น้องสาวของท่านอยู่อีกตึกหนึ่งไม่รู้เรื่องเลย เที่ยวตามหา และบอกว่ามีเรื่องประหลาดมหัศจรรย์จะรีบเล่าให้ฟังเพราะกลัวช้าไปจนลืมเสีย คือ เมื่อเช้ามืดได้ฝันเห็นในหลวง รัชกาลที่ ๖ เสด็จลงมาจากในวังหลวงทางประตูต้นสน ทรงพระดำเนินมายังแพที่เราอยู่ หน้าตำหนักแพท่าราชวรดิษฐ์ เราเฝ้าอยู่ด้วยกันในแพนั้น
ในหลวงรับสั่งว่า ฉันหิว มีอะไรกินบ้าง ? น้องเหลือบเห็นปิ่นโตอาหารอะลูมิเนียมตั้งอยู่ข้างๆ แพ จึงหยิบมาเปิดดูเห็นเป็นโจ๊กเครื่องในหมู ก็ตักใส่ชามซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ พร้อมช้อนนำขึ้นไปถวาย เมื่อในหลวงได้เสวยหมดชามแล้วก็ยื่นชามคืนมารับสั่งว่า อร่อยดี ขออีกชาม น้องก็รีบตักถวายอีก ๑ ชาม เมื่อเสวยเสร็จก็รับสั่งว่า อยากรู้ไหมใครเป็นคนทำ คนนั้นแน่ะ เขาทำให้ฉันกิน ! พลางชี้พระหัตถ์มาที่พี่ซึ่งหมอบอยู่ห่างๆ
เมื่อน้องตื่นขึ้นมาก็ประหลาดใจ รีบติดตามมาแก้ฝันแต่เช้า เมื่อท่านได้ยินเช่นนั้นก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที นึกในใจว่าสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยังมีอยู่ในโลกนี้อีกมาก นี่ก็แสดงว่า โลกมนุษย์กับโลกของวิญญาณนั้นสามารถจะเชื่อมต่อกันได้ในบางครั้งบางคราวดอกกระมัง ? นี่เรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่ท่านได้กรุณาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง หากมีเวลาข้าพเจ้าคงจะหาโอกาสเขียนมาให้ท่านผู้สนใจจะได้อ่าน ได้คิดถึงโลกที่ยังมีความลี้ลับมหัศจรรย์อีกมากมาย ที่มนุษย์รุ่นวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ายังไม่ได้รู้
ในชีวิตของข้าพเจ้าเองก็เคยประสบการณ์ในสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ เริ่มครั้งแรกเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในวัยอายุยังไม่ครบยี่สิบ ครั้งนั้นจนบัดนี้ยังจำได้ติดหูติดตา หมายถึงได้ยินทั้งเสียงที่พูด ได้เห็นทั้งรูปร่าง และได้ถูกต้องด้วยการสัมผัส ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ขับขี่รถจักรยานหรือจะเรียกทับศัพท์ว่า ไบซิเคิลร์ ซึ่งสมัยนั้นหาคำไทยยังไม่เหมาะภายหลังเรียกว่า รถถีบ จำได้ว่าข้าพเจ้าขับขี่รถจักรยานออกจากถนนสี่พระยาเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญกรุง เวลานั้นห้างไวท์อาเว อยู่ตรงมุมถนนสี่พระยาเป็นตึกสองชั้น
พอหักแฮนด์เดิ้ลหรือมือเลี้ยวก็พอดีตะเกียบหน้าหักตรงโคนที่มีลูกปืนหลุดขาดไปพร้อมกับล้อหน้า ข้าพเจ้าเสียหลักคะมำหัวตำทิ่มลงมาแผ่อยู่บนพื้นถนนไม่ทันรู้ตัว เคราะห์ดีเมื่อถึงพื้นถนนไหล่ลงก่อนหัว เพราะมือเท้าลงไปก่อนจึงพ้นจากอุบัติเหตุคอหัก แต่ข้อมืองอไหล่เป็นแผลเลือดไหล ข้อมือขวาก็ไปครูดกับถนนซึ่งโรยด้วยอิฐด้วยหินเลือดไหลโทรม เสื้อผ้าขาดเปื้อนละอองฝุ่น ต้องนอนแผ่หลาอยู่กลางถนน ผู้คนแตกตื่นมามุงดู เพราะนานๆ จะพบคนนอนวัดถนนให้ดูสักครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวตลก ไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรถูก ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หัวเราะไม่ออก พยายามยืนตัวลุกขึ้นมอง เห็นแขนซ้ายตอนข้อมือโก่งงอก็ตกใจ พยายามจับนวดบีบให้มันเหยียดตรง ซึ่งก็ได้ผล แต่มันก็ไม่เจ็บเห็นจะยังชาอยู่เพราะเพิ่งจะถูกใหม่ๆ ข้าพเจ้าพยายามรวบรวมกำลัง เก็บล้อที่หลุดออกไปจากตัวรถมารวมกันแล้ว แข็งใจเรียกรถลากคันใหญ่ ให้เจ๊กลากรถ ช่วยเอาจักรยานหรือรถถีบใส่รถเจ๊ก
ไม่ต้องพูดถึงราคา อยากจะไปให้พ้นๆ ฝูงคนที่มุงดู เมื่อขึ้นรถเจ๊กได้ก็ให้รีบลากไปเร็วๆ เพราะนึกอายที่มาเป็นตัวตลกให้คนดูกลางถนน เคราะห์ดีที่สมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์มากมายเหมือนในปัจจุบันนี้ มิฉะนั้นก็คงไม่เป็นตัวเป็นตนอยู่จนบัดนี้เป็นแน่ เมื่อขึ้นรถลากรถเจ๊กมาถึงบ้าน พ่อแม่เห็นสารรูปแล้วตกใจ จัดแจงชำระบาดแผลใส่ยา
แต่แขนที่โก่งนั้นไม่สามารถจะดัดให้ตรงได้ แม่ได้ให้คนรีบไปตามหมอผันซึ่งเมื่อก่อนอยู่แถวบ้าน ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ทางถนนสุรวงศ์ หน้าบ้านเจ้าพระยาพิชัยญาติ ข้าพเจ้าเรียกแกว่า ลุงผัน แกเป็นหมอที่รักษาต่อแขนต่อกระดูกด้วยน้ำมันมนต์มีชื่อเสียงในทางไสยศาสตร์ผู้หนึ่งในสมัยนั้น เมื่อลุงผันได้รู้เรื่องก็รีบนั่งรถเจ๊กมาถึงบ้าน แล้วก็รีบตรวจดูแขนของข้าพเจ้าที่โก่งงอ แล้วใช้น้ำมันนวดและเป่าด้วยเวทมนตร์คาถาแขนที่โก่งก็ค่อยๆ เหยียดออกได้บ้างยังไม่ปกติเหมือนเดิม ลุงผันก็บอกว่า
นี้เป็นหลานชายนะ ลุงจึงได้มา ถ้าเป็นคนอื่น ลุงจะไม่มา เพราะลุงไม่สบายมาก ที่ลุงมานี่ก็ฝืนสังขารเพราะห่วงหลาน ลุงจะต้องรีบกลับแล้วจะมาใหม่ ลุงผันกราบลาผู้ใหญ่ของข้าพเจ้ากลับขึ้นรถลากไปทันที
คืนนั้นข้าพเจ้าหลับๆ ตื่นๆ เพราะปวดแผลที่ไหล่และที่ข้อมือ แต่แล้วพอตอนเช้ามืด ข้าพเจ้าก็เห็นลุงผันเปิดมุ้งโผล่หน้าเข้ามา แล้วถามว่า
เป็นยังไงบ้างหลานชาย ลุงเป็นห่วงจึงมาดู
ข้าพเจ้ายื่นแขนที่กำลังปวดตุบๆ ขอให้ลุงผัน แกบีบแขนที่ยังโก่งอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เป่าลมตั้งแต่ข้อศอกจดปลายนิ้ว ๓ ครั้ง การปวดตุบๆ ก็หาย แขนที่โก่งก็เกือบจะปกติอย่างเดิม ข้าพเจ้าดีใจมาก ลุงผันบอกว่า อีก ๒-๓ วันก็จะหายเป็นปกติ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตกใจ ลุงไปก่อนนะ
พูดแล้วลุงผันก็ผลุบหน้าออกจากมุ้งที่ข้าพเจ้านอน ข้าพเจ้านึกในใจว่าลุงผันนี่เก่งจริงๆ เป่าแล้วหายปวด แขนที่โก่งก็แทบดูไม่รู้ว่าโก่ง พอสว่างดีข้าพเจ้าก็นอนอยู่ไม่ได้ ลุกขึ้นล้างหน้า เช้าวันนั้นรู้สึกสดชื่น อาการเจ็บป่วยเกือบไม่รู้สึก เห็นแม่เตรียมข้าวใส่ขันไว้ใส่บาตรพระตอนเช้า แล้วข้าพเจ้าบอกแม่ว่า
แม่จ๋า เมื่อตอนเช้ามืดนี้ลุงผันแกมาเป่าแขนและบีบนวดให้ ดูซิจ๊ะแม่ แขนที่โก่ง ถ้าไม่สังเกตเกือบจะมองไม่รู้แล้ว และก็ไม่ปวดด้วย พูดพลางข้าพเจ้ายื่นแขนชูให้แม่ดู รู้สึกว่าแม่สะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากพูดแต่เพียงว่า เมื่อหายก็ดีแล้วลูก
ในวันนั้นแต่พอใกล้เพล ก็มีคนมาจากบ้านลุงผันบอกว่า ลุงผันได้ตายเสียแล้วเมื่อคืนนี้ หมดลมเมื่อตอนเที่ยงคืน ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อหู เพราะตอนเช้ามืดข้าพเจ้ายังได้ยินลุงผันพูดด้วยหูและเห็นหน้าลุงผันด้วยตา แม้เวลานั้นเราจะมีตะเกียงน้ำมันก๊าด ใช้แก้วครอบไขขึ้นลงให้หรี่และให้กว้าง ได้แขวนไว้ข้างฝาห้องก็ดี
ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าตาไม่ฝาด และก็ไม่ได้หลับไม่ได้ฝันเพียงแต่คล้ายมึนๆ หัว งงๆ แต่สติยังดีความรู้สึกปกติ ซ้ำลุงผันยังได้จับแขนบีบนวดตั้งแต่ข้อมือถึงข้อคอก และคลึงลำแขนของข้าพเจ้า ทั้งยังเสกคาถาแล้วเป่าลมลงที่แขนเย็นวาบหลายครั้ง ทุกอย่างเหมือนคนธรรมดา แต่แม่ข้าพเจ้าสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมประตูบ้านยังไม่เปิด ถ้าเป็นคนจะเข้ามาในบ้านได้อย่างไร นั่นคือ
วิญญาณที่เป็นห่วง
เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยเล่าให้เพื่อนๆ ฟังมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เขียนขึ้น เพราะเพื่อนๆ รู้แล้ว แม้จะเขียนก็ขาดความตื่นเต้น แต่เมื่อมาเขียนเรื่อง สิ่งลี้ลับ ก็เห็นว่าควรจะเขียนเรื่องนี้ไว้ด้วย เพราะยังมีผู้ที่ไม่ทราบอีกมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเองแต่ข้าพเจ้าก็ไม่ประสงค์จะให้ท่านเชื่อ เพราะท่านไม่ได้ประสบแก่ตัวท่านเอง แต่ผู้เคยประสบการณ์มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะสงสัยอีกมันเป็นเรื่องลี้ลับที่แปลกประหลาด แม้จะเกิดขึ้นเมื่อครั้งข้าพเจ้าวัยรุ่นอยู่จนถึงปัจจุบันข้าพเจ้ายังจำได้คล้ายกับเพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้ใดแล้วยากที่จะลืมได้
>>>>> จบ >>>>>
นิรทุกข์
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2004
ตอบ: 54
ตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2004, 4:13 pm
คนดีย่อมดึงดูดคนดี ถึงแม้กลายเป็นผีก็ยังห่วง
f
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 มี.ค.2005, 3:18 pm
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 26 พ.ย.2006, 2:58 pm
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
ตอบเมื่อ: 29 ส.ค. 2008, 12:36 pm
เป็นการทำความดีครั้งสุดท้าย ของลุงผัน สาธุ
_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th