Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปรินิพพาน คืออะไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 6:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) การค้นหาคำว่า “ นิพพานธาตุ ” ผลการค้นหาพบ 2 ตำแหน่ง ดังนี้ :-




แสดงผลการค้น ลำดับที่ 1 / 2
จริมกจิต จิตดวงสุดท้าย ซึ่งจะดับไปเมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 2 / 2
นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตตรธรรม และเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา;
ดู นิพพานธาตุ

นิพพานธาตุ ภาวะแห่งนิพพาน;
นิพพาน หรือ นิพพานธาตุ ๒ คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ







### ปรินิพพานที่ท่านจขกท.ถาม ตรงกันกับ การดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุครับ###

ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 6:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้ไปอ่านเจอมาจากหนังสือ"เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" ของคุณดังตฤณ...... เรื่องการดับขันธปรินิพพาน.......น่าสนใจมาก

http://dungtrin.com/whatapity/10.htm

ขออนุญาต ขอโอกาส ท่านเจ้าของบทความ นำมาลงเผยแผ่ในกระทู้นี้

==========================================

การดับขันธปรินิพพาน ดังที่กล่าวแต่ต้นบทแล้วว่านิยามของมรณะคือ ‘ความเคลื่อนจากภาวะสัตว์อย่างหนึ่งไปสู่ภาวะสัตว์อีกอย่างหนึ่ง’

ที่ตรงนี้จะแสดงให้เห็นว่ายังมีสภาพที่ดูเผินๆเหมือนความตายทั่วไป แต่ที่แท้แล้วเป็นการ ‘ยุติความเคลื่อน’ ไม่มีการสร้างภพใหม่สืบต่อจากภพเดิมอีก ภาวะดังกล่าวเรียกว่า ‘การดับขันธ์’ ของผู้บริสุทธิ์จากกิเลสในพุทธศาสนา

สำหรับคำว่า ‘ขันธ์’ นั้นขอให้คิดง่ายๆว่ากายใจนี่แหละ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียกกายใจอย่างคนทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะท่านเห็นความจริงที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ความจริงคือ ‘ตัวเรา’ ไม่มี มีแต่การประชุมกันขององค์ประกอบฝ่ายรูปและฝ่ายนาม ทั้งรูปและนามเป็นต่างหากจากกัน คือสรุปง่ายๆว่าสมองไม่ใช่แหล่งกำเนิดความรู้สึกนึกคิดและจิตใจ ขณะเดียวกันจิตเราไม่อาจขาดสมองเป็นเครื่องมือในการนึกคิดและจดจำ

แท้จริงกายใจเป็นธรรมชาติที่เกิดดับอย่างมีเหตุมีผล เหตุคือใช้กายใจในปัจจุบันก่อกรรมดีร้ายเอาไว้ ผลคือจะมีกายใจในอนาคตที่หยาบหรือประณีตปรากฏขึ้นอย่างเหมาะสมกับกรรมเก่า ฉะนั้นทุกอย่างจึงเป็นของชั่วคราว กายไม่เที่ยง เปลี่ยนจากเด็กเป็นแก่ในชั่วเวลาไม่กี่สิบปี จิตก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ดวงอมตะที่ล่องลอยไปเรื่อย เปลี่ยนสภาพจากกุศลเป็นอกุศลบ้าง เปลี่ยนสภาพจากรู้สิ่งหนึ่งไปรู้อีกสิ่งหนึ่งบ้างตลอดวันตลอดคืน

พูดอีกแบบหนึ่ง คือความจริงแล้วมีการดับของขันธ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปทำให้มันดับมันก็ดับไปเรื่อยๆโดยไม่มีวันหยุดราชการ แต่การ ‘ดับขันธปรินิพพาน’ นั้นหมายความว่าเมื่อดับครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีการเคลื่อน ไม่มีการสืบต่อภพ ไม่มีการสืบต่อกรรมวิบากใดๆอีก พูดโดยย่นย่อคือไม่ต้องเสวยทุกข์ด้วยอาการใดๆอีกเลยชั่วนิรันดร์ เพราะดับสนิทแล้ว ปราศจากภัยแล้ว ถึงนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งการหยุดสนิทถาวรแล้ว

สรุปว่าถ้า ‘ตายธรรมดา’ ก็คือต้องไปเกิดใหม่เพื่ออยู่ในวังวนกิเลส เวียนว่ายอยู่ในมหาสมุทรกรรมวิบาก สุ่มดีสุ่มร้ายไม่แน่ไม่นอนต่อไปเรื่อยๆไร้ที่สิ้นสุด แต่ถ้า ‘ดับขันธปรินิพพาน’ ล่ะก็ไม่ต้องเกิดใหม่อีกแล้ว ลมหายใจดับ ไออุ่นดับ จิตดับไม่เหลือร่องรอยเหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วไม่เหลือเชื้อให้ต่อเปลวใหม่ในที่ไหนๆอีก

ผู้ที่จะตายแบบดับขันธปรินิพพานได้ต้องบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเสียก่อน เพราะเงื่อนของการเกิดใหม่ก็คือกิเลสนั่นเอง รื้อถอนกิเลสเสียได้ ลอยบุญลอยบาปเสียได้ ก็บริสุทธิ์ปราศจากการข้องแวะกับภพชาติดีร้ายทั้งปวง

เมื่อบุคคลสามารถบริสุทธิ์จากกิเลส แม้ล่วงเข้าวัยชราที่กายเริ่มช้าลงเหมือนไม้ใกล้ฝั่งก็ตาม เขาย่อมมีความสุขทางใจอย่างถาวร แม้เกิดความทุกข์เพราะสังขารเปลี้ยเพลียเพียงใด ใจก็จะไม่เป็นทุกข์เพราะการกำเริบของกิเลสใดๆเลย

พุทธลีลาในการดับขันธปรินิพพานนั้นงดงามยิ่ง ในสายตาชาวโลกคือการเสด็จบรรทมหลับเป็นครั้งสุดท้ายของพระศาสดา แต่ในสายตาของผู้มีทิพยจักขุย่อมทราบชัดว่าไม่ใช่เช่นนั้นเลย ดังที่ภิกษุนาม ‘อนุรุทธะ’ เป็นผู้เห็นและระบุขณะแห่งจิตต่างๆของพระพุทธองค์เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานได้อย่างละเอียด

ขอเล่าวาระแห่งการ ‘ตายครั้งสุดท้าย’ ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคโดยสังเขป พระพุทธองค์ท่านดำรงสติมั่นอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากการที่ทรงตรัสสั่งเสียไว้มากมาย เอาเพียงพระวจนะสุดท้ายก็ทรงความหมายที่สะท้อนถึงสติสัมปชัญญะอันบริบูรณ์แห่งพระบรมครูได้ชัดเจนยิ่งแล้ว



ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด



ในจังหวะที่จะละโลกนี้ไป พระองค์ยังถือเป็นโอกาสประทานพระปัจฉิมโอวาทเพื่อสะกิดใจผู้อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์สำคัญได้บังเกิดความสลดสังเวชในความมีความเป็น และเร่งเร้าให้พระผู้ยังมีกิจที่ต้องทำให้รีบทำจนกว่ากิจจะจบ

ถัดจากวจนะสุดท้ายแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงเข้าฌานชนิดต่างๆ ซึ่งมีปีติสุขชั้นสูงบ้าง มีสติอย่างใหญ่ทรงความเป็นอุเบกขาบ้าง มีความกำหนดหมายในอากาศว่างเป็นอนันต์เท่าจักรวาลบ้าง ตลอดไปจนกระทั่งเข้าถึงจิตอันสงบระงับจากการปรุงแต่งอย่างราบคาบบ้าง

ในการเข้าฌานลึกๆนั้น ลมหายใจจะขาดห้วงไปชั่วคราว ถ้าคนที่ปราศจากความชำนาญในทิพยจักขุเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าท่านละขันธ์ไปแล้ว ดังเช่นที่พระภิกษุนาม ‘อานนท์’ ถามพระอนุรุทธะในขณะหนึ่งว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ? ท่านพระอนุรุทธะได้ตอบว่ายัง แต่พระองค์ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่

เมื่อพระพุทธองค์ออกจากฌานขั้นสูงสุด ก็ได้ทรงถอยกลับมาสู่ฌานขั้นต่ำลงเรื่อยๆตามลำดับ จากนั้นไล่ลำดับฌานขึ้นไปอีกครั้ง แต่ไม่ถึงขั้นสูงสุด พอถึงฌานขั้นที่ทรงสติอย่างใหญ่เป็นมหาอุเบกขา แล้วถอนออกจากฌานนั้นก็ไม่เข้าฌานใดๆต่อ แต่ได้เสด็จปรินิพพานในบัดนั้นเอง

กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อให้เห็นว่ายังมีการตายอีกแบบหนึ่งที่สูงส่งยิ่ง และมีข้อสังเกตบางประการให้พิจารณาดังนี้



๑) ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสย่อมมีสติบริบูรณ์แม้ในขณะแห่งความตาย

๒) ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสย่อมสามารถรู้เวลาตายของพวกท่าน

๓) หากท่านเป็นผู้เจริญสมาธิได้ถึงฌานขั้นสูงสุด ก็ย่อมยังประโยชน์กับโลกเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการดับขันธปรินิพพานด้วยลีลาอันเป็นมหามงคล เป็นที่บอกเล่ากันในภายหลังได้ว่าพระผู้บริสุทธิ์จากกิเลสย่อมตายในอาการเสวยวิมุตติสุข ไม่มีความทุกข์ใดๆปรากฏให้เห็นเลย ๆลๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 6:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไปอ่านบทความของท่านพุทธทาส เกี่ยวกับที่ท่านกล่าวถึงนิพพานธาตุ2......เจอมาจาก

http://www.pantip.com/~buddhadasa/shortbook/nippan3.html



".......เบญจขันธ์ คือกายกับใจ กลุ่มใด ยังมีอวิชชาอยู่ภายในมัน เบญจขันธ์กลุ่มนั้น ก็มีอุปาทานอันเป็นเหตุให้ยึดถือตัวเองว่าเรา, เราเป็นเรา, ฉันเป็นฉัน ฯลฯ เป็นต้น. "เรา" จึงคงอาศัยมีอยู่ได้แต่เพียงในเบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทานอยู่ภายใน, และเบญจขันธ์ชนิดนี้ยัง "สัมผัส" กันไม่ได้กับพระนิพพาน จึงต้องเต็มไปด้วยทุกข์ และกลิ้งเกลือกไปในวัฏสงสาร อันสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ระเกะระกะไปด้วยสิ่งเสียบแทงเผาลน.

เบญจขันธ์ใด ภายหลังจากที่ได้ช่วยตัวมันเอง ด้วยการปฏิบัติธรรม เป็นเบญจขันธ์ที่อวิชชาและอุปาทานตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีเราในเบญจขันธ์นั้น เบญจขันธ์นั้น เหมาะพอสำหรับการสัมผัสกันเข้ากับพระนิพพาน, มันจึงได้รับรส คือความเยือกเย็นแสนที่จะเย็นของพระนิพพาน จนกว่ามันจะแตกดับไปอย่างไม่เหลือเชื้ออะไรไว้ สำหรับการเกิดอีก เช่นเบญจขันธ์ที่ยังมีอวิชชาหรือมี "เรา" มีความสำคัญว่า "เรา"

เบญจขันธ์ที่หมดอวิชชา แต่ยังไม่แตกดับ ยังดื่มรสพระนิพพานอยู่นั้น, ภาวะอันนี้ เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน๑, หรือนิพพานเฉยๆ. เมื่อใดเบญจขันธ์นั้น ทำการแตกดับลงอย่างหมดเชื้อ, ภาวะอันนี้เราเรียกกันว่า อนุปาทิเสสนิพพาน หรือปรินิพพาน. ...."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 1:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระสูตรนี้ อธิบายถึงนิพพานธาตุสองประการของพระอรหันต์

http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=25&lstart=5242&lend=5274&word1=สอุปาทิเสส


“……นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว
อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่าอนุปาทิเสส
ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ……”

ผมขอแยกแยะตรงนี้ให้อ่านง่ายๆดังนี้

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นั้นมีลักษณะ
1.มีในปัจจุบัน
2เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ…..ซึ่งก็คือ สิ้นตัณหา และอุปาทาน …….คือว่า อุปาทานดับสนิทเลย ณ จุดนี้.ซึ่งก็หมายถึง ทุกข์ทางใจดับสนิทเลย ณ วินาทีที่ประจักษ์ซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะอุปาทานในขันธ์5(ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์5เป็นเรา หรือของเรา)นั้นเองที่ทำให้เป็นทุกข์ใจได้ดับสนิทลงแล้ว.พระอรหันต์ที่ประจักษ์ซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ท่านจึงเปรียบเสมือนผู้ถูกลูกศรดอกเดียว ตือมีเหลือแต่ทุกข์ประจำร่างกายธาตุขันธ์(แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว). ต่างกับบุคคลอื่นที่มีทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ถูกลูกศรสองดอก
(ขอเน้น ตรงที่…..พระพุทธองค์ยังไม่ทรงตรัสว่าสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นี่เป็นธรรมที่ดับสนิทของภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวงน่ะครับ).

อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นั้นมีลักษณะดังนี้
1.มีในเบื้องหน้า
2.เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง(พึงสังเกตุ)......ซึ่งก็คือความหมายของปรินิพพานนั่นเอง



### พึงสังเกตุ.......การดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้น จะเป็นของตามมาเองโดยอัตโนมัติ หลังจากถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ(บรรลุอรหัตตผล)...... พระอรหันต์บางองค์ ก็ประจักษ์ซึ่งนิพพานธาตุทั้งสองนี้ห่างกันนานมาก เช่นพระพุทธองค์ พระอานนท์ พระมหากัสสปะ. แต่บางองค์ก็เกิดเกือบพร้อมๆกัน เช่นพระอรหันต์ที่บรรลุอรหัตตผลแล้วดับขันธปรินิพพานเลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บรรพต อ.
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 3:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรินิพพาน คือ การตายของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เรียก นิพพานเฉยๆ

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตตุถฌาน ออกจากจตุตถฌาน ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน..... ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน....ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน....
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.... ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน..... ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน..... ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าจตตุถฌาน ทรงเข้าตติยฌาน..... ทรงเข้าปฐมฌาน..... ทรงออกปฐมฌาน.... แล้วทรงเข้าทุติฌาน.... ทรงเข้าตติยฌาน.... ทรงเข้าจตตุถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตตุถฌาน แล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับนั้น”
 
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 4:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไปอ่านเจอคำจำกัดความ ของคำว่า ปรินิพพาน มาครับ ยิ้ม


พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) การค้นหาคำว่า “ ปรินิพพาน ” ผลการค้นหาพบ 5 ตำแหน่ง ดังนี้ :-




แสดงผลการค้น ลำดับที่ 1 / 5
ปรินิพพาน การดับรอบ, การดับสนิท, ตาย (สำหรับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์);
ดู นิพพาน

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 2 / 5
ปรินิพพานบริกรรม การกระทำขั้นต้นก่อนที่จะปรินิพพาน,
การเตรียมปรินิพพาน ในพุทธประวัติ ได้แก่ การทรงเข้าอนุปุพพวิหารสมาบัติก่อน แล้วเสด็จปรินิพพาน

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 3 / 5
ปรินิพพานสมัย เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 4 / 5
พุทธปรินิพพาน การเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า, การตายของพระพุทธเจ้า

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 5 / 5
มหาปรินิพพานสูตร สูตรที่ ๓ ในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยเหตุการณ์ใกล้พุทธปรินิพพาน จนถึงโทณพราหมณ์แจกพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 6:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีประเด็นเรื่องของที่ว่า

(ปริ)นิพพานคือการตายของพระอรหันต์??? สงสัย


ประเด็นนี้ มันเป็นเรื่องของการที่เรา-ท่านใช้ภาษาปัจจุบันกล่าวให้คนทั่วๆไปเข้าใจง่ายๆ..... แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามหลักธรรมนั้นต้องกล่าวว่า

"พระอรหันต์ดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"จึงจะตรงกับภาษาที่แท้จริง

เพราะความจริงแล้ว ผู้ที่หมดอุปาทานคือไม่เห็นว่าขันธ์5เป็นตัวตน บุคคล สัตว์แล้ว.....แม้นแต่ในขณะที่ตอนยังดำรงชีพอยู่นั้นก็ไม่เห็นอยู่แล้วว่าขันธ์5เป็นคนเป็นสัตว์.....แล้วจะไปกล่าวเอาคนหรือสัตว์ที่ไหนมาตาย. จะเป็นแต่เพียงขันธ์5ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเท่านั้น

ครั้งหนึ่งพระสารีบุตรถามกับพระยมกะว่า
"ถ้ามีใครถามว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปไหน? ท่านจะตอบเขาว่าอย่างไร…."
พระยมกะ : "ข้าพเจ้าจะตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับไป" สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2006, 9:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม พิมพ์ว่า:
แล้วใครเข้าถึงปรินิพพาน เข้าอย่างไร ถึงอย่างไร อะไรเข้า อะไรถึง


ยิ้ม แยกเป็นประเด็นแล้วจะพิจารณาง่ายขึ้น

1.แล้วใครเข้าถึงปรินิพพาน

2.เข้าอย่างไร

3.ถึงอย่างไร

4.อะไรเข้า

5.อะไรถึง

=========================================


ขอเริ่มประเด็นแรก......1.แล้วใครเข้าถึงปรินิพพาน

อยากเสนอให้อ่าน ผัคคุนสูตร

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=277&Z=328


พระโมลิยะผัคคุนะ ทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ใครหนอย่อมเป็นผู้ถูกต้อง(ผัสสะ) ใครหนอเป็นย่อมเป็นผู้เสวยอารมณ์(เวทนา) ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน (ตัณหา)ๆลๆ"

พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า พระโมลิยะผัคคุนะตั้งคำถามผิด!!! ที่ถูกไม่ควรถามว่า "ใคร" แต่ควรถามว่าเพราะอะไรเป็นปัจจัยจึงมีการถูกต้อง(ผัสสะ) และ เพราะอะไรเป็นปัจจัยจึงมีการเสวยอารมณ์(เวทนา) เพราะอะไรเป็นปัจจัยจึงมีการทะเยอทะยาน(ตัณหา)ๆลๆ.........ซึ่งจะตรงกันกับหลักสมุทัยวารของปฏิจจสมุปบาท...... ซึ่งถ้าสาวย้อนกลับไปถึงอวิชา หรือความไม่รู้ในอริยสัจสี่นั้นเอง จึงเป็นปัจจัยของสังขาร และสืบต่อเนื่องมา วิญญาณ นามรูป สาฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ๆลๆ....... พระพุทธองค์ท่านชี้ให้เห็นซึ่งกระแสของเหตุปัจจัยและผล หาได้มีอัตตาใดๆที่คอยเป็นผู้รับผัสสะ หรือเสวยเวทนา หรือคอยทะเยอทะยานใดๆไม่


ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไปตั้งคำถามว่า"ใคร"เป็นผู้เข้าถึงปรินิพพาน มันก็จะตกเข้าสู่สัสตทิฏฐิที่มีอัตตาที่เที่ยงแท้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นผู้เข้าถึงปรินิพพานไปเสียอีก สู้ สู้


เราจึงควรตั้งคำถามใหม่เป็นว่า "ปรินิพพาน นั้นมีได้ด้วยเหตุใด" ก็จะมีคำตอบที่พระพุทธองค์ประทานโอวาทไว้ชัดเจนกว่า......ซึ่งจะนำไปสู่คำถามที่2
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 1:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เชิญไปพูดคุยกันต่อที่กระทู้

ผู้หมดอุปาทานย่อมไม่เกิดอีก

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6474&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=

ชวนคุยกันต่อในประเด็นที่คุณยิ้มถามไว้ว่า ปรินิพพานนั้น

2.เข้าอย่างไร

3.ถึงอย่างไร

4.อะไรเข้า

5.อะไรถึง

ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง