Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
มรดกของท่านพุทธทาสภิกขุ (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2006, 6:17 am
มรดกของท่านพุทธทาสภิกขุ
โดย พระไพศาล วิสาโล
ด้วยวุฒิการศึกษาเพียงชั้น ม.3 นักธรรมเอก และเปรียญธรรม 3 ประโยค พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ ภิกษุหนุ่มวัย 26 ปี ได้ริเริ่มทำสิ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของพุทธศาสนาในประเทศไทย ในทางรูปธรรมสิ่งนั้นได้แก่สวนโมกขพลาราม ในทางนามธรรมสิ่งนั้นคือพุทธศาสนาอย่างใหม่ที่สมสมัย แต่มีพื้นฐานมาจากการปฏิบัติอย่างสมัยพุทธกาล
พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ หรือที่โลกรู้จักในนามพุทธทาสภิกขุ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดผู้หนึ่งซึ่งได้นำพุทธศาสนาไทยออกมาสัมพันธ์เชื่อมโยงกับโลกสมัยใหม่ได้อย่างมีพลัง และสามารถนำปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาอย่างใหม่กลับไปหารากเหง้าทางภูมิปัญญาอันมีพระบรมศาสดาเป็นแรงบันดาลใจ แม้ท่านจะมีการศึกษาตามระบบไม่มากนัก แต่ก็รู้ลึกในศาสตร์สมัยใหม่ไม่ว่าวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา จนไม่เพียงเห็นจุดอ่อนของศาสตร์เหล่านั้น หากยังสามารถนำศาสตร์เหล่านั้นมาใช้อธิบายพุทธศาสนาได้อย่างจับใจปัญญาชน
ในอีกด้านหนึ่งแม้ท่านมิใช่เปรียญเอก (แถมยังสอบตกประโยค 4 ด้วยซ้ำ) แต่ก็เชี่ยวชาญเจนจัดในพระไตรปิฎก และรู้ซึ้งถึงคัมภีร์อรรถกถา จนสามารถเข้าถึงแก่นพุทธศาสน์ และนำมาอธิบายให้คนร่วมสมัยได้อย่างถึงใจชนิดที่กระเทือนไปถึง ตัวกู ของกู อีกทั้งยังสามารถวิพากษ์สังคมร่วมสมัย และเสริมเติมศาสตร์สมัยใหม่ให้มีความลุ่มลึกมากขึ้น
ไม่เพียงศาสตร์สมัยใหม่และภูมิปัญญาอย่างเก่าเท่านั้น ที่ท่านพุทธทาสนำมาเชื่อมโยงกันได้อย่างมีความหมาย หากท่านยังเป็นสะพานเชื่อมสิ่งที่ดูเหมือนอยู่คนละฝั่งฟากให้มาเสริมเติมกัน ปริยัติและปฏิบัติซึ่งถูกแยกจากกันมาช้านานตามอิทธิพลของพุทธศาสนาแบบลังกา จนแบ่งเป็นคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
แต่ที่สวนโมกขพลารามนั้นปริยัติได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวปฏิบัติ ในขณะที่ใช้ชีวิตอย่างพระป่าเจริญสมาธิภาวนาท่ามกลางธรรมชาติ รวมทั้งอยู่อย่างเรียบง่าย คือ ฉันข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง พระเณรที่นั่นก็ศึกษาปริยัติธรรมด้วยการค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และฟังคำบรรยายจากท่านพุทธทาสภิกขุไปด้วย
ในทำนองเดียวกัน เมื่อท่านและน้องชายคือนายธรรมทาส พานิช ออกหนังสือ พุทธศาสนา สิ่งที่ต้องมีควบคู่กันโดยตลอดคือ ภาคพระไตรปิฎก (แปล) และภาคปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วท่านพุทธทาสภิกขุ ก็เป็นผลผลิตของการศึกษาปริยัติอย่างจริงจังและการปฏิบัติอย่างเข้มข้น ในขณะที่ท่านหลีกเร้นปฏิบัติในป่า ก็ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างเอาจริงเอาจัง จนสามารถเขียน ตามรอยพระอรหันต์ ออกมาในปีแรกที่ตั้งสวนโมกข์ และไม่กี่ปีต่อมาก็ตามมาด้วย พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ และอริยสัจจากพระโอษฐ์
ในด้านปริยัติธรรมนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุไม่ได้จำกัดการศึกษาแต่ในแวดวงของเถรวาทเท่านั้น หากยังขยายพรมแดนแห่งความรู้ของท่านไปยังแวดวงมหายานด้วยโดยเฉพาะนิกายเซน จนสามารถนำเอาคำสอนของเซนมาเป็นสื่อเพื่อนำผู้คนให้เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา
นอกจากท่านจะลงมือแปลสูตรของเว่ยหล่าง และคำสอนของฮวงโป เองแล้ว ยังเอานิทานเซนและสำนวนเซนมาใช้เพื่อกระตุ้นคนให้ฉุกคิด เช่น จิตว่างมีได้ในกายวุ่น หรือ แม่น้ำคด น้ำไม่คด หรือ ฝนอิฐเป็นกระจกเงา และที่แพร่หลายคือนิทานเด็กตามหาวัว
ไม่เพียงเท่านั้นคำสอนฝ่ายวัชรยานท่านก็นำมาเผยแพร่ด้วย ที่รู้จักกันดีคือ ภาพยักษ์แสดงปฏิจจสมุปบาท กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเชื่อมพุทธศาสนาแบบเถรวาทและมหายานให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง ท่านพุทธทาสภิกขุได้ขยายพรมแดนแห่งการปฏิบัติธรรมไปยังชีวิตประจำวัน จนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้วย ในทรรศนะของท่าน การปฏิบัติธรรมมิได้หมายถึงการหลีกเร้นเก็บตัวอยู่คนเดียวในป่า หรือนั่งหลับตาในห้องเท่านั้น หากเรายังสามารถปฏิบัติธรรมได้จากการทำงาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเน้นว่า
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
ในขณะที่คนทั่วไปทำงานเพื่อหวังความสำเร็จหรือมุ่งให้เสร็จไวๆ ท่านกลับสอนให้ทำงานอย่างมีสติอยู่กับปัจจุบัน และไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ท่านเคยเปรียบกิเลสเหมือนกับเสือ ส่วนการทำงานเหมือนกับการแหย่เสือ ยิ่งเสือถูกแหย่ เราก็ยิ่งรู้จักฤทธิ์ของมัน และเห็นจุดอ่อนของมัน ทำให้สามารถปราบมันได้ด้วย ถ้าไม่ทำงาน เราก็ไม่รู้จักเสือ ดังนันจึงไม่รู้วิธีปราบและเอาชนะมันได้ เมื่อการทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน โลก กับ ธรรม ก็มิได้แยกจากกันอีกต่อไป ชาวพุทธทั่วไปนั้นมักเห็นว่า โลก เป็นเรื่องของคฤหัสถ์ ส่วน ธรรม เป็นเรื่องของพระ ใครที่เป็นคฤหัสถ์ ก็หวังความสำเร็จทางโลก ส่วนพระก็ปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ แต่ท่านพุทธทาสภิกขุเห็นว่า แม้แต่คฤหัสถ์ ก็ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมหรือบำเพ็ญทางจิตด้วย เพราะชีวิตทางโลกนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและวุ่นวาย หากไม่รู้จักฝึกจิตให้สงบเย็น ก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์
ด้วยเหตุนี้ในขณะที่ท่านชักชวนพระในสวนโมกข์ให้ออกจากกุฏิมาทำงานแบกหามและก่อสร้างอยู่เนืองๆ นั้น ท่านก็พยายามแนะนำคฤหัสถ์ให้รู้จักทำงานด้วย
จิตว่าง
คือว่างจากกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ดังท่านได้ย้ำว่า
จะนอน จะกิน จะทำงาน จะทำอะไรก็ได้ด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วย ตัวกู-ของกู แล้วก็ (จะ) ไม่มีความทุกข์
ในระดับบุคคล ฉันใด ในระดับสังคม ก็ฉันนั้น จึงไม่แปลกที่ท่านจะเรียกร้องให้การเมือง เศรษฐกิจ และการพัฒนา มีธรรมะเป็นพื้นฐาน ธรรมะกับการเมือง เป็นงานบรรยายของท่านอีกชิ้นหนึ่งที่ย้ำว่า โลก กับ ธรรม ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
มองให้ลึกลงไป เมื่อ โลก กับ ธรรม เป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เรียกว่า โลกิยธรรม กับ โลกุตตรธรรม ก็ไม่แยกจากกันอีกต่อไป
การมีชีวิตอยู่ในโลกกับการอยู่เหนือโลกสามารถดำเนินควบคู่กันไปได้ คฤหัสถ์สามารถดำเนินชีวิตอย่างคนปกติ แต่ใจนั้นเป็นอิสระจากความทุกข์ ไม่เป็นทาสของโลกธรรม หรือสยบมัวเมาในวัตถุ แม้จะประสบความพลัดพรากสูญเสีย จิตใจก็ไม่หวั่นไหว เพราะรู้เท่าทันในธรรมดาโลก สภาวะเช่นนั้นคือความสงบเย็นที่เรียกว่านิพพานนั่นเอง ท่านเคยกล่าวว่า
ฆราวาสธรรม มิใช่สำหรับให้ฆราวาสได้จมอยู่ในโลก หากแต่สำหรับให้ฆราวาสนั้น ได้อาศัยยกตัวเองขึ้นมาเสียจากปลักของฆราวาส พ้นทุกข์ เป็นโลกุตร เป็นนิพพานในที่สุ
ด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงนิพพานได้ในชีวิตนี้ มิต้องรอถึงชาติหน้าเป็นเวลาช้านานที่นิพพานถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลโพ้น ส่วนโลกุตตรธรรมเป็นเรื่องของคนที่ต้องสละโลก แต่ท่านพุทธทาสภิกขุได้นำโลกุตตรธรรมและนิพพานกลับคืนสู่โลกนี้และชีวิตนี้ จริงอยู่โลกนี้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเปลวกิเลส แต่ใช่หรือไม่ว่า ความดับของไฟ หาพบได้ที่ไฟ ความดับของทุกข์ หาพบได้ที่ความทุกข์ นิพพาน (จึง) หาพบได้ที่วัฏสงสาร
ท่านพุทธทาสภิกขุได้ทำให้เราตระหนักว่า วัฏสงสารกับนิพพานนั้นหาได้แยกจากกันไม่ เพราะในวัฏสงสารมีนิพพานที่รอการค้นพบจากเรา ไม่ว่า นิพพานชั่วขณะ หรือนิพพานที่เป็นความหลุดพ้นสิ้นเชิงก็ตาม ในโลกที่นิยมแบ่งสิ่งต่างๆ ออกเป็นขั้ว ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประสานขั้วเหล่านั้นให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลพวงอย่างหนึ่งที่ตามมาก็คือ การที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ค้นพบว่า พุทธะ นั้นหาได้อยู่นอกตัวไม่ หากอยู่กลางใจนี้เอง ถึงที่สุดแล้วท่านได้นำเรากลับมารู้จัก พุทธะ ภายใน ซึ่งสามารถทำให้เราทุกคนเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือ พุทโธ ได้ สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า อริยโลกุตตรธรรมเป็นทรัพย์ประจำตัวของมนุษย์ทุกคน
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นปราชญ์ที่มิเพียงฟื้นฟูพุทธศาสนาไทยให้กลับมามีความรุ่มรวย ลุ่มลึก และมีความหมายกับสังคมร่วมสมัยเท่านั้น หากยังทำให้ความเป็นมนุษย์ของเรากลับฟื้นคืนเต็มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในโลกที่มองมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจที่เห็นแก่ตัว หรือเป็นแค่เครื่องจักรมีชีวิตที่กำหนดโดยยีน การเข้าถึงศักยภาพของตนเองอย่างลึกซึ้งเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการกอบกู้ความเป็นมนุษย์ของเราคืนมาจากการปล้นสะดมของโลกวัตถุนิยม
ในวาระ 100 ปีแห่งชาตกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ มีหลายสิ่งที่น่าจดจำเกี่ยวกับท่านผู้เป็นปราชญ์ระดับโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ คำสอนของท่านที่บอกให้เรารู้ว่า เราคือใคร และมีศักยภาพเพียงใดบ้าง
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ โดย พระไพศาล วิสาโล
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10298
I am
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2006, 9:41 am
โมทนาด้วยครับ คุณสาวิกาน้อย สาธุ..
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2006, 12:27 pm
นิพพานชั่วขณะสำหรับปุถุชนไม่มีในพระไตรปิฏกครับ มีแต่นิพพานของพระอนาคามีหรือ
ของพระอรหันต์ที่เข้านิโรธสมาบัติ เป็นการเข้าถึงสภาวะนิพพานที่แท้เป็นเวลา ๗ วัน
นิพพานมี ๒ คือ สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพาน ของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
อนุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพาน ของพระอรหันต์ที่ละสังขารไปแล้ว
การที่บุคคลธรรมดา เจริญสติ รู้อารมณ์ที่มากระทบและไม่ยึดมั่นนั้น ไม่เรียกว่า นิพพานชั่วขณะ
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2006, 12:31 pm
ขออนุโมทนากับสิ่งที่อธิบายแล้ว มีเนื้อความตรงพระไตรปิฏก
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2006, 2:55 pm
อนุโมทนาด้วยค่ะ... คุณสาวิกาน้อย
wanwisa
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 ก.ค. 2007
ตอบ: 15
ตอบเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 8:55 am
อนุโมทนาด้วยค่ะ
วีรเดช
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 01 เม.ย. 2008
ตอบ: 3
ตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2008, 10:28 am
สาธุ ๆ ครับ
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
ตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 9:17 pm
ชอบแล้ว เจ้าค่ะ
_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ชาญวิทย์
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008
ตอบ: 152
ตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 8:08 pm
สาธุจ้า
_________________
ธรรมะคือธรรมชาติ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th