Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
"ปัญญาอบรมสมาธิ"---พระอาจารย์เปลี่ยน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ฟฟ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2006, 12:55 pm
การควบคุมจิตด้วยวิธี ปัญญาอบรมสมาธิ
โดย พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก(บ้านปง) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
การฝึกฝนอบรมจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคนเราทุกคนได้พากันเกิดขึ้นมาแล้ว มีรูปร่างกาย ทั้งหญิงและชขายก็ดี ย่อมมีจิตวิญญาณ เป็นเครื่องครองร่างอยู่ นับ เป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราจะกำหนด รู้ให้เข้าใจว่า ตนเองนั้นมีอะไรบ้างที่อยู่กับตน ถ้าหากเราไม่ฝึกฝนอบรมตนแล้วก็จะไม่รู้ว่าตนเองนั้นเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์อยู่เฉยๆ ไม่เข้าใจว่าตนเองอยู่ด้วยอะไร เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอยากให้ พวกเรานั้นมาสนใจ มาดูตนเอง ไม่ต้องดูคนอื่น การที่บุคคล มีความรักตน ก็ต้องฝึกฝนอบรมตน ถ้าหากเรามีความรักตนเมตตาตนจริงๆ ก็ต้องขวนขวาย ฝักฝนอบรมตนจริงๆ เพื่อให้ตนตั้งใจ กำหนดคุณงามความดี สมกับที่เรานี้ได้เกิดมา เป็นมนุษย์ผู้มีจิตสูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย ก็ต้องพากันขวนขวาย เพื่อจะให้เป็นมนุษย์จริง ตามความสามารถของตน ที่จะฝึกฝนอบรมได้
การฝึกฝนอบรมจิตใจด้วยปัญญาอบรมสมาธิ นี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อจะให้พวกเรา นี้ฝึกฝนอบรมจิตใจให้ได้เป็นสมาธิให้จิตใจของพวกเรานั้นได้พักผ่อนบ้างได้มีอิสระ
เป็นของตนเอง เพื่อจะได้ร่มเย็นเป็นสุข ถ้าหากจิตใจของพวกเรานั้นไม่สงบ ไม่เป็นสมาธิ มีแต่ความวุ่นวาย กระสับกระส่าย กระเสือกกระสน ดิ้นรนอยู่ ไม่ทีที่พักผ่อน คิดทั้งวันทั้งคืน ยืน เดินนั่ง นอน อยู่ที่ไหนก็ไม่ได้พักได้ผ่อนสักที เรื่องความคิดของจิตใจ เหตุฉะนั้นการที่จิตใจมันคิดอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้ พักผ่อนนี้เอง จิตก็ย่อมมีความทุกข์ ถ้าเราทุกท่านพิจารณาดูแล้ว จิตของบุคคลใด คิดมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น เพราะจิตใจนั้นทำงานมาก คิดมากก็เรียกว่าทำงานมาก จิตจึงมีความทุกข์มาก เมื่อจิตมีความทุกข์ มากนี้เองทุกท่านทุกคนก็คงจะมองเห็นได้ชัดว่า ตนเองนั้นมีความทุกข์ ความ เหี่่ยวแห้งใจ ความเดือดร้อนใจ ความไม่สบายใจความโศกเศร้าโศกา ย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลน้น ถ้าจิตใจของพวกเรานั้น มีความทุกข์ เราจะพากัน ไปอยู่ที่ไหน แห่งหนตำบลใด ประเทศใด เมืองใด ผักผ่อนอยู่ที่ไหน ว่าจะให้สบาย ย่อมจะไม่มีความสบาย มีแต่ความทุกข์เท่านั้น เพราะจิตมีความทุกข์ จิตไม่ได้พักผ่อน อันนี้เอง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสว่า
มโนปุพพงคมา ธมฺมา
มโนเสฎฐา มโนมยา
ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน สำเร็จแล้วด้วยใจ ฉะนั้นถ้าหากใจไม่ดีแล้ว ใจมีความ ทุกข์แล้ว ก็ย่อมไม่มีความสุขอะไร อยู่ที่ไหนในโลกนี้ นี่พวกเรา ท่้่านทั้งหลายได้มองเห็นเด่นชัดนี้ บัดนี้เราจะพากันทำอย่างไรดี จึงจะทำ ให้จิตของเรามีความสุข ความรื่นเริง ความแช่มชื่นเบิกบาน เพราะ มีอิสระ อยู่ในความสงบอยู่ในความปกติของจิตที่มีคุณธรรมมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่่ของใจ ถ้าหากใจมีธรรมะ มีคุณธรรมใจจึงมีความร่มเย็นเป็นสุขได้ ข้อนี้พวกเรา ท่านทั้งหลายต้องการอยากมีความสุขต้องขวนขวายหาวิธีฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้
มันมีสมาธิ ให้มันได้สงบอยู่ในอารมณ์เดียวให็จงได้ ถ้าหากเรายังอบรมไม่ได้ เราจะหาว่าใจของเราไได้อย่างไร เราควบคุมไม่ได้ ให้คิดอยู่ที่เดียวไม่ได้ ให้จิตใจของเราวิ่งส่ายเซไปตามสัญญาอารมณ์ภายนอกอยู่ตลอดมันก็ควบคุมไม่ได้จิต ใจก็ไม่สงสักที นี้เป็นเรื่องสำคัญ พวกเราควรที่จะสังเกตุ การใช้สติปัญญาของเรานี้ ตามดูจิตของพวกเราในปัจจุบัน
พวกเรามานั่งกันอยู่ที่นี้ก็ให้พากันนั่งอยู่ในที่นี้ และให้จิตของเราอยู่ในที่นี้ ให้อยู่ ด้วยตนเอง อย่าให้ออกไปที่อื่นพวกเราเสียสละละจาก เคหสถานบ้านช่อง จากกิจการงานน้อยใหญ่ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ใจกังวลนั้น ออกมาแล้ว เราออกมาแล้วเรียกว่า เนกขัมมบารมี เป็นผู้ดำริหาวิธี ออกจากความทุกข์ ที่มัีนไม่สงบมาอยู่ที่สงล เมือ่มาอยู่ที่สงบเราก็ควรปรับปรุงตนเอง ให้มันเป็น ที่สงบเกิดขึ้นกับจิตใจของพวกเรา การที่พวกเราจะควบคุมดูแลจิตใจของตน เอาจิตคือความคิดมาอยู่กับจิตใจของตนลองดู อย่าให้ไปคิดภายนอกเรื่องอะไร ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ช่างมันเถอะ เรื่องของคนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่อง ของตนเอง เกิจการทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะต้องปล่อยวางไว้ก่อน เรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีตอนาคต ควรที่จะปลดเปลื้องปล่อยไป ไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับจิตใจของพวกเรา วางไว้ก่อน เรื่องราวอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างเราวางไว้ก่อน อย่าให้เข้ามา ยุ่งกับจิตใจของพวกเรา ให้จิตใจอยู่กับตัวเสียก่อน ถ้าเราเอาคิดดู ตัวของเรานี่ ให้มันอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ลองดูความคิดนั้น ใครจะเอาข้อธรรมกรรมฐานข้อไหน หรือจะคิดพิจารณาดูกายตรงจุดไหน เอามาวางความคิดไว้จุดใด ในรูปร่างกาย นี้ก็ย่อมได้ หรือจะมาไว้กับลม หายใจเข้าออกก็ย่อมได้ แต่มันจะถูก จริตนิสัยของตนเองไหม ถ้าเราทำมานานแล้ว จิตใจของเรายังไม่สงบ เราก็ควรเปลี่่ยนข้อธรรมกรรมฐานใหม่ ทำเอาไว้ กรรมฐานมรณานุสติก็ได้ คือระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ว่าเรานี้จะอยู่ที่ไหน ความตาย ย่อม อยู่ที่นั่นเป็นธรรมดา ถ้าหากเราพิจารณาถึงมรณานุสติอยู่อย่างนี้ บุคคลนั้น ก็ย่อม
ตื่นตัว ตื่นตัว อย่างไร คือว่า เราอยู่ที่ไหนก็ย่อมมีความตายอยู่ที่นั้น ใจก็ย่อมหดหู่ใจอยู่กับตนกับตัวได้ไม่เห่อเหิมไม่วิ่งออกไปตามภายนอกจะกระโดด
โลดเต้นไปที่ไหน เพราะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนเดิม เหตุฉะนั้น เมื่อทุกท่านก็ดี ทุกคนก็ดี ญาติโยมทั้งหลาย เรานั่งอยู่ในสถานที่นี้ ควรที่จะทำให้ ตนเองนั้นเหมือนอยู่ในบ้านของตน ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น เหมือนกับเรา อยู่บ้านของตน ทำให้เราสบายๆ วางให้สบายไว้ นั่งให้สบาย หายใจให้สบายๆ ด้วย ทำใจของเราให้แช่มชื่นเบิกบานเพราะเรานี้ประพฤติปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการปฏิบัติบูชาอันเลิศ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ เราทุกคนกำลังทำความดีอยู่ ชีวิตของเรานี้มีคุณค่า มีสาระมีประโยชน์มาก ที่กำลังพากันสร้างสมอบรมบารมี ฝึกฝนอบรมจิตใจของเรา อยู่เดี๋ยวนี้ เพื่อจะให้จิตใจของเราได้มีความสุข การที่เราจะควบคุมดูแลจิตใจของ พวกเรานั้น ให้อยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน ใครจะเอาข้าไหนเอาข้อนั้น และใช้สติปัญญาของตนเอง นำจิตของตน มาคิดอยู่กับข้อธรรมกรรมฐานข้อนั้น ถ้าจิตใจของเรานั้นยังไม่อยู่ ยังวิ่งออกไปภายนอกอยู่ ยังไปคิดเรื่องเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ อันนี้เอง เราจะใช้สติปัญญา ของเราติดตามดูจิต ของพวกเรา ว่ามันคิดไปที่ไหน มันคิดไปที่ใด เราก็ติดตามไปที่นั้น นำจิต ของเราคืนมาคิดกับข้อธรรมกรรมฐานของเราที่เราตั้งเอาไว้ ตั้งอยู่ที่ใด เมื่อเราติดตามนำมาแล้วว จิตใจก็จะวิ่งออกไปอีก ไปคิดเรื่อง อื่นๆ อีก บางบุคคลจะเป็นเช่นนั้น ท่านเรียกว่า จิตฟุ้งซ่านรำคาญ เหมือนน้ำที่อยู่ในหม้อ ที่พวกเราท่านทั้งหลายต้ม ให้มีความร้อน ก็ย่อมกระเพื่อมอยู่ตลอด เดือดพล่านอยู่ตลอด ฉันใดก็ดี จิตฟุ้งซ่านรำคาญ ก็เป็นอย่างนั้น จิตใจที่ไม่สงบเราก็ควรใช้สติ คือความระลึกได้ ความรู้ตัว ติดตามจิต ของตนอยู่ตลอด เมื่อเห็นจิตคิดไปที่ไหน เราตามจิต คิด ไปที่นั่น คิดไปถึงบ้านถึงช่อง ถึงการงาน เพื่อนฝูง เมืองโน้นเมืองนี้ มันคิดไปอย่างงี้ จิตใจ ถ้ามันไปที่ไหน ก็ให้ใช้สติปัญญา ติดตามล่าจิตของตนเอง แล้วก็ดึงรั้งจิตของตนเอง กลับคืนมาหาข้อธรรมกรรมฐาน ทำอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าหากจิตใจของเรานั้น มาอยู่กับข้อธรรมกรรมฐานแล้ว เวลาเรานั่งอยู่ อาจจะมีการปวดขาเกิดขึ้น การปวดขาปวดขึ้น จิตไปอยู่ที่ขา มันปวด ปวดหลัง ปวดเอว จิตไปอยู่ที่เอว หรือมันร้อนมันหนาว เกิดขึ้น จิตก็ไปอยู่กับที่มันร้อนมันหนาว ปวดศีรษะ มันก็ขึ้นไปอยู่กับศีรษะ อันนั้นเรียกว่า จิตเราเอง ควรที่จะพินิจพิจารณา ตามดูอยู่ตลอดอย่างนี้ ตามให้ไปอยู่จุดใดจุดหนึ่ง อย่าให้ไปอยู่ที่จุดมันปวด เพราะเรายังไม่สามารถที่จะฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเองให้แก่กล้า ข้ามทุกขเวทนาไป เราอย่าไปสนใจในเรื่องนั้น ควรจะนำจิตของ ตนมาสู่ข้อธรรมกรรมฐาน เอาลมหายใจเข้าออก ก็เอา หรือจะนึกถึงมรณัง มรณานุสติ นั้นก็ได้ ถ้าหากบางบุคคลนั้น จิตใจไม่ถูกกัน ไม่ถูกกับจริต ศิลมรณานุสติ ระลึกถึงความตายไม่ถูก ก็ให้ระลึกถึง จาคนุสติกรรมฐาน ลองดูระลึกถึงบุญถึงกุศล ตามความดีของตนที่สร้างสมอบรม มาให้ทำบุญ ทำทาน การกุศลไว้ที่ไหน ให้กราบไหว้บูชา อยู่ที่ไหน ได้ช่วยเหลือบุคคลผู้ใด หรือประเทศชาติบ้านเมืองอย่างไร ใหความสุขแก่บุคคลทั้งหลายอย่างไร ควรน้อมระลึกถึงคุณงามความดีของตนเองที่สร้างไว้ ถ้าหากเราระลึกถึงเช่นนั้น ใจของพวกเรา พากันเยือกเย็น มีความสุข ความสงบเกิดขึ้น เราก็ควรที่จะระลึกถึง จาคานุสติกรรมฐานก็ได้นี่ให้อุบายเพื่อให้จิตใจของพวกเราท่านทั้งหลายอยู่กับคุณ
งามความดี จิตที่สงบนิ่งอยู่ กับคุณงามความดี เมื่อเราระลึกดูแล้ว
แต่บางบุคคลนั้นได้มารักษาศีล มองดูศีลของตน มองดูข้อ ๑ ข็ ๒ ข้อ ๓ ข้อ๔ ข้อ๕ ก็ดี ข้อ๖ ข้อ๗ ข้อ๘ ศีลอุโบสถก็ดี มองดูแล้วว่าศีลของตนเองนั้นบริสุทธิ์ ไม่ด่างไม่พร้อย ไม่ขาดทะลุปรุโปร่ง ศีลบริสุทธิ์ทุกข้อดี จิตก็ย่อมมี ความปลื้มปิติยินดี ว่าตนเองนั้นเป็นผู้มีศีล เมื่อตนเองเป็นผู้มีศีล จิตย่อมสงบรื่นเริงอยู่กับตนเองว่ามีศีล เรียกว่า สีลานุสติกรรมฐาน ก็ควรระลึกดูศีลของตนเองตลอดว่า ตนเองเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลเป็นที่พึ่งของตน จิตใจของบุคคลนั้นย่อมสงบ ระงับเป็นสมาธิได้ นี่อุบายที่จะให้จิตใจของ พวกเราสงบเป็นสมาธิ
บางบุคคลนั้นมันไม่สงบ ก็ต้องเปลี่ยนข้อธรรมกรรมฐาน แต่ในระหว่างนี้ เราควรจะพินิจพิจารณาเอาข้อใดข้อหนึ่ง ดังได้กล่าวมานั้น อย่าไปคิดหลาย ข้อดังได้กล่าวมา ได้ยิน ได้ฟัง จะเอาอะไรก็เอา จะเอาจิตไว้ตรงไหน เพื่อให้มันสบาย เราก็ให้จิตของเราคิดอยู่ที่นั่น ดูอยู่ที่นั้น ถ้าจิตของ พวกเราพากันสงบนิดหน่อย เดี๋ยวก็วิ่งออกไปอีกน่ะแหละ แฉลบออกไป วิ่งออกไปภายนอกอีก เราก็ต้องติดตามจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา ติดตามดึงขึ้นมา การดึงจิตคืนมาหา ข้อธรรมกรรมฐาน เราควรที่จะสังเกต ควรที่จะพิจารณาว่า ความคิดนี่เองเรียกว่า จิต เอาความคิดนั้นมาคิดอยู่กับ ข้อธรรมกรรมฐาน อย่าหันไปคิดกับที่อื่น เท่านั้นเอง ให้เรียกว่า ดึงจิตขึ้นมาอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน ไม่ได้ดึงเรา เอาความคิดมาคิดดูอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน ที่ตนเองตั้งเอาไว้ จิตใจ ของบุคคลเรานั้น ถ้าหากไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ที่เกาะที่เกี่ยว จิต มันก็คิดไปเรื่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ ไม่มีที่หยุด ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นจึง มีข้อธรรมกรรมฐานให้จิตของเรานั้นมา เกาะมาเกี่ยว มาเป็นที่ตั้งอยุ่ จิตจึงจะอยู่ได้ หากเราพยายามอยู่อย่างนี้ แล้วจิตก็ไม่สงบ เราก็ต้องตามอยู่ตลอด ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาตามล่าจิตใจ ต่อให้มันคิดไปที่ไหน คิดไป บ้านเมืองใดก็ตาม ใช้สติปัญญาตามไปอยู่นั่นแหละ ตามไปอยู่เรื่อยๆ ดึงขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ออกไป จิตใจของบุคคลทั้งหลายย่อมเป็นอย่างนี้ เรียกว่า จิตใจฟุ้งซ่าน ตามหลัก เขาเรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ จิตใจฟุ้งซ่านรำคาญไม่สงบ นิ่งนานเท่าใดก็ไม่สงบ เหตุฉะนั้นจึงมีอุบายว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ก็อาศัยปัญญานี่แหละ ติดตามจิตของเราไม่หยุด มันจะไปที่ไหน มันจะคิดไปทางไหน มันก็วนกลับมาอยู่ เราก็ควรที่จะรู้ ตามอยู่นั่นแหละคือตามอยุ่ตลอด นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ เมื่อเราตามไม่หยุดแล้ว จิตมันก็จะวนไปวนมา แล้วมันก็นจะมีที่เกาะที่เกี่ยวอยู่ ที่ใดที่หนึ่ง อยู่จนได้ ยึดอะไรบ้าง มันจะยึดอยู่กับบุคคลอื่นหรือ หรือมันจะยึดอยู่กับบ้าน หรือยึดอยู่กับรถ เงินทอง ลูกหลาน เพื่อนฝูง หรือยึดอยู่กับการที่จะไปที่ไหน เราควรที่จะเข้าใจ ควรที่จะพิจารณาให้เข้าใจว่า จิตของเรา ไปยึดอยู่กับที่ใด เราควรได้ซักไซร้ไต่ถามจิตใจของพวกเรา ที่มันยึดอยู่นั่น มันไปยึด อยู่กับที่อื่น มันไม่มายึดอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน สมมุติเรานั่งอยู่ที่นี่ มันก็ไปยึดที่บ้านโน้น ยึดอยู่กับสมบัติอยู่ที่บ้านโน้น เราก็ซักถามจิตใจของเราที่อยู่บ้านโน้น ถามดูว่าบ้านก็ดี รถก็ดี เงินก็ดี ถ้าหากเรานั้นล่วงลับดับตายไปแล้ว เราเอาสิ่งทั้งหลาบเหล่านั้นไปด้วยได้ไหม ใช้สติปัญญาถามจิตใจของเราดูมันจึงมาวกวนอยู่อย่างนั้น ซักถามเขาดู ใช้สติปัญญา ซักถามดู จิตใจมันจะตอบว่าอย่างไร มันจะตอบว่าเป็นของเรา บ้านก็ของเรา รถก็ของเรา ญาติพี่น้องก็ของเรา สมบัติทั้งหลายก็ของเราหมด ถ้าเราตายแล้ว เราเอาไปได้ไหม ถามจิตใจ ลองดู ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ท่านทั้งหลายก็ดู ภิกษุก็เหมือนกัน กุฏิ ศาลา วิหาร โบสถ์สร้างขึ้นมาสวยสดงดงามแค่ไหน เมื่อล่วงลับดับไป เอาไปด้วยได้ไหม มีไหมมีภิกษุสามเณร องค์ไหนเอาไปด้วย เราใช้สติปัญญาของเราลองดู ไม่มีใครจะเอาไปได้ บาตร จีวร ก็ยังไม่เอาไป รูปร่างกายก็ไม่เอาไปด้วย ทั้งภิกษุ สามเณรก็เหมือนกัน ต้องละบ้านละช่อง สิ่งของก็ไม่มีใครเอาไปด้วยได้ แม้รูปร่างกายของเรา แสนหวง แสนอาวรณ์ ก็ยังไม่มีใครเอาไป ซักไซร้ไต่ถามจิตของเราดูซิ ทำไมมันจึงไปวุ่นวายอยุ่ทางข้างนอก ทำไมจึงไม่สงบ ทำไมจึงไม่เป็นสมาธิ อยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน เรานั่งอยู่ที่นี่ ทำไมไปวุ่นวายอยู่ที่อื่น ใช้สติปัญญาตักเตือนจิตใจของพวกเราท่านทั้งหลายอยู่อย่างนี้ จิตมันจะตอบมาว่าอย่างไร ถ้ามันตอบมาตรง ว่า เอาไปด้วยไม่ได้ ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เอาไปด้วยไม่ได้ ไปคิดกับมันทำไม ไปยุ่งกับมันทำไม ใช้สติปัญญาตักเตือนจิตใจ อย่างนี้ขู่ ขู่อย่างนี้จิตก็จะหดหู่ไม่มีทางไป เมื่อไม่มีทางไปก็นำจิตของเรามายึดอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน
เหตุฉะนั้น การติดตามจิตใจด้วยปัญญาอบรมสมาธิ จึงต้องใช้วิธีนี้ เพราะจิต ของเรามันดื้อดึง มันไม่สงบ ก็ต้องขู่ เหมือนลูกของเรา ท่านทั้งหลายนั่นเอง คนไหนมันไม่ฟังคำสั่งสอนของเรา บอกอย่างไร มันก็ไม่เชื่อไม่ฟัน เมื่อมันอยู่ กับเรา เราต้องขู่มัน มันจึงจะอยู่ ใจของพวกเราก็เหมือนกัน ถ้ามันดื้อดึงมันไม่สงบ คุมมันอย่างไรมันไม่สงบมันก็ต้องขู่ เรียกว่าจิตควรต้องขู่ จิตที่ควรต้องข่ม จิตที่ควรยกย่อง ก็ต้องยกย่อง พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ ให้พวกเราทำความเข้าใจให้รู้ จิตที่ควรขู่ก็คือจิตที่ไม่อยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน ที่ตนเองให้ อยู่ก็ต้องขู่มัน ดังได้อธิบายผ่านมาแล้ว ส่วนจิตที่ควรข่มนั้นอย่างไร จิตใจของพวกเราท่านทั้งหลายนั้น มันมาอยู่กับข้อธรรมกรรมฐานแล้ว มันอยาก ออกไปอีก เราควรที่จะประคองมันเรียกว่า ข่ม ข่มจิตเอาไว้ใช้สติปัญญาครองมัน อุ้มชูจิตเอาไว้ ไม่ให้จิตของเราออกจากสมาธิ เมื่อมันสงบ อยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน จิตที่ควรข่มก็ต้องข่มเอาไว้ บางบุคคลเมื่อมีความโกรธก็ดี มันจะโกรธก็ ข่มจิตเอาไว้ อดกลั้นเอาไว้ เหมือนขันธ์ควบคุมความอดทนเอาไว้ เรียกว่า ข่มไม่ให้จิตของเรามีความโกรธเกิดขึ้น เมื่อมันมีโลภะเหมือนกัน มันอยากได้อะไร มันดิ้นรนเกินไป เราก็ข่มเอาไว้ สอนจิตว่าอย่าวิ่งเต้นเกินไป เรียกว่าข่มจิตเอาไว้ การข่มจิตเอาไว้ในสมาธิให้อยู่ในอารณ์เดียว แล้วอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน พวกเรา ก็พยายามประคองจิตของตนเองเอาไว้กับข้อธรรมกรรมฐาน อย่าให้จิตของตนเอง ออกจากข้อธรรมกรรมฐานไป เมื่อจิตที่ควรข่มก็ข่มเอาไว้ จิตใจจึงสงบ ระงับเป็นสมาธิ หนักแน่นมั่นคง แน่วแน่ลงไปได้ เป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวไปได้ ใช้สติปัญญา นั้นเองประคองเอาไว้ มันจะกระดุกกระดิก คิดออกไป เราก็เตือนว่าคิดออกไปทำไม ไม่ต้องออกไปหรอ อยู่พักผ่อนอยู่กับอารมณ์นี้ อยู่ที่นี่อย่าไปที่ไหน เราก็ควบคุมเหมือนกับแม่คุมลูกของตนนั่นแหละ หรือ พ่อคุมลูกก็เหมือนกัน คุมหลานก็เหมือนกัน อย่าไปที่โน่นที่นี่ อย่าไปเที่ยว เดี๋ยวมีอันตรายเกิดขึ้น ตักเตือนลูกของพวกเรา เราก็ใช้สติปัญญาของพวกเรา ตักเตือนจิตของพวกเรา ให้อยุ่กับข้อธรรมกรรมฐาน ว่าตักเตือนจิตแล้ว ถ้าออกไปมันก็จะมีความทุกข์เดือดร้อน คิดออกไปมากมันทุกข์มาก เราก็ ตักเตือนจิตใจอยู่อย่างนั้น เรียกว่า ข่มเอาไว้ ข่มขู่เอาไว้ให้อยู่กับที่นั้น เมื่อเราประคับประคองจิตใจของพวกเราแล้ว จิตก็จะอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน จิตก็จะสงบระงับเป็นสมาธิ ลึกลงไปเพราะอะไร เพราะจิตใจ มันไม่ออก จากข้อธรรมกรรมฐาน มันก็นิ่งสงบ มันสงบอยู่ที่เดิม คิดอยู่ที่เดิมนาน จิตสงบนาน เมื่อจิตสงบนานแล้ว จิตของเราได้พักผ่อน มีความสุขเกิดขึ้นเห็น ได้ชัดด้วยตนเองทีเดียว นี่คือวิธีที่เราฝึกฝนอบรมจิตใจ แบบ ปัญญาอบรมสมาธิ
บัดนี้จิตที่ควรยกย่อง เป็นอย่างไร พวกเราท่านทั้งหลาย ทั้ง ภิกษุ สามเณร และอุบาสกอุบสิกา ควรจะทำความเข้าใจว่า จิตที่ควรยกย่องนั้นเป็นรูปแบบไหน เป็นอาการอย่างไร ที่เกิดขึ้นที่ควรยกย่อง พวกเราท่านทั้งหลาย เขาสมมุติให้ว่า เป็นนักกรรมฐาน นักปฏิบัติ ควรที่จะทำความเข้าใจให้รู้ว่า จิตของเรา นั้นบางทีมันอยากนั่งภาวนา บางคนอยากทำบุญ บางคนอยากรักษาศีล บางคนนั้นอยากทำความสงบ อยากหาที่สงบ มองซ้ายแลขวา อยู่ที่วุ่นวายไม่ชอบ อยากอยู่ที่สงบทุกคนนี้ ทุกคนอยากอยู่ที่สงบ ไปนอนก็อยากนอนอยู่ที่สงบ ไม่อยากให้ใครมายุ่งเหยิง รุกราน วุ่นวาย ไม่อยากให้ได้ยิน อะไรเสียงอะไรมากระทบกระเทือน อยากอยู่สงบๆ กันทั้งนั้น เมื่อจิตมีความอยาก ต้องการความสงบเช่นนั้น นี่เองเป็นเรื่องสำคัญ จิตของพวกเรานั้น ถ้ามันอยากมีความสงบระลึกถึงครูบาอาจารย์ผู้สงบ ระลึกถึง องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และขีณาสพทั้งหลาย ที่ท่านบรรลุธรรม นำตนเองให้พ้นจากกองทุกข์ไป เมื่อจิตใจ ของพวกเราระลึกเช่นนั้น จิตใจย่อมมีปลื้มปิติยินดี ตนเองนั้นอยากทำความสงบ อยากพ้นทุกข์ไปกับท่าน ตรงนี้ หากเราอยู่บ้านก็ดี อยู่วัดก็ดี หรืออยู่ที่ทำงาน หรืออยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็มีช่องมีเวลา มีโอกาส เราหลบเข้าทำสมาธิ ในระหว่างนั้น จิตกำลังมีศรัทธา มีความปลื้มปิติยินดี อยากทำคุณงามความดี อยากทำความสงบ เราก็ควรรีบจัดเก็บอะไร ทำอะไรที่เป็นงานข้างนอก รีบเก็บสิ่งของ รีบทำความสะอาด แล้วหลบเข้าไปในห้องพระ ถ้าอยู่บ้าน ดูแลสิ่งของ เก็บให้สิ้น เก็บสิ่งที่ตนเองยังมีกังวล เก็บไปเสียให้เรียบร้อย เราจะทำอะไรก็รีบทำ ทำเสร็จแล้วก็รีบเข้าหาที่สงบ เมื่ออยู่ในป่าก็หาที่นั่ง เข้าร่มไม้ หรือนั่งอยู่ที่ใด หรือภิกษุอยู่ในกุฏิวิหารก็ดี หรือเราไปที่สงบ หรือเรานั่งรถ นั่งเรือ คนอื่นขับไป แต่จิตใจของเราต้องการความสงบ ก็ไม่ต้องคุยกับใคร นั่งหลับตาอยู่ในรถ พิจารณาน้อมนึกระลึกให้จิตของตนสงบอยู่ที่กายของตน หรืออยู่ที่ข้อธรรมกรรมฐาน ตอนนั้นจิตของพวกเรากำลังแช่มชื่นเบิกบาน กำลังมีปิติ กำลังมีศรัทธา อยากทำความสงบก็รีบทำ อย่าไปปล่อยทิ้งระยะนั้น ถ้าหากบุคคลเราพากันพินิจ พิจารณารู้ว่าจิตที่ควรยกย่องนี้ รีบทำสมาธิ รีบนั่งภาวนา อยู่ที่ใหนก็ตาม จิตก็สงบระงับเป็นสมาธิ ได้รวดเร็วมากทีเดียว เพราะเขามีศรัทธา ตรงที่เขามีศรัทธาอยู่นี่เอง เขาเสียสละจากความคลุกคลีทั้งหลายได้รวดเร็วมาก เพราะเขาต้องการความสงบ เมื่อเขาไปที่สงบมันยิ่งสงบเร็ว จิตใจย่อมดิ่งลงไป สงบลงไปเร็วมาก อันนี้เอง จิตที่ควรยกย่อง จิตที่อยากนั่งภาวนา อยากนั่งหาความสงบ ทุกคนก็คงมีความปราถนา เพราะความสงบมันเป็นความสุข ลองคิดดู ถ้าเราไปนั่งในสถานที่คลุกคลี เสียงอะไรต่างๆ มันไม่สงบ มันไม่มีใครปราถนา คนจะคุยกันวุ่นวายมันไม่สงบ เสียงรถเสียงเรือก็ดีรบกวน เสียงเครื่องยนต์ต่างๆรบกวน เสียงคนพูกถกเถียงกัน เสียงดนตรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรบกวนไม่ให้สงบ ไม่มีใครปราถนา ผู้ต้องการความ สงบ ไม่ต้องการได้ยินเสียงอะไรเลย อยู่เงียบๆ อยู่สงบ เป็นความสุขของบุคคล ผู้ต้องการความสงบนั้นเอง เหตุฉะนั้นครูบาอาจารย์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย ท่านให้แสวงหาสถานที่สัปปายะ ก็คือที่สงบนั้นเอง ซึ่งไม่มีการคลุกคลีซึ่งกันและกัน จึงสงบ ฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันหลายๆคนอย่างงี้ เราก็ควรที่จะทำให้มันสงบ ถ้าเราทำให้มันสงบก็เหมือนอยู่คนเดียวนั่นเอง นั่งอยู่นี่เหมือนไม่มีใครอยู่ด้วยกัน เราอยู่คนเดียว ให้จิตใจของเรามันนิ่งอยู่กับข้อะรรมกรรมฐาน จิตที่ควร ยกย่องมันสงบเร็ว เร็วมาก ฉะนั้นทุกท่านทุกองค์ ภิกษุ สามเณร และอุบาสกอุบาสิกา ท่านสาธุชนทั้งหลาย ผุ้ใฝ่ใจในธรรมหาความสงบนั้น ควรเข้าใจในเรื่อง ๓ อย่างนี้คือ
๑. จิตที่ควรขู่ จิตที่ไม่สงบ ต้องช้าสติปัญญาตาม เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ดึงจิตของตนเข้ามาหาข้อธรรมกรรมฐาน นิ่งอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน จิตที่ต้อง ใช้สติปัญญาควบคุมดูแล ประคับประคอง จึงจึงสงบระงับเป็นสมาธิ
๒. จิตที่ควรข่ม เมื่อมีจิตที่สงบอยู่แล้ว ก็ควรประคับประคอง จิตของตน ให้อยู่ในอารมณ์ที่ตั้งอยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวให้ฝึกจิตสงบให้หนักแน่นมั่นคง
ลงไป
๓. จิตที่ควรยกย่องนั้น คือ จิตที่มีศรัทธา อยากนั่งเจริญเมตตาภาวนา ต้องการความสงบ เราก็รีบหาวิธี ควรขวนขวายที่จะทำความพากเพียร จิตใจของเราก็จะสงบระงับเป็นสมาธิได้อย่างง่ายดายเมื่อจิตของพวกเราท่านทั้ง
หลายสงบแล้ว สงบเป็นสมาธิแล้ว ถ้าหากมันสงบเป็นเวลา ๓ นาที เราก็เห็นความสุขเกิดขึ้น นี่งอยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว จะอยู่กับลม หายใจเข้าออก หรือจุดใดจุดหนึ่งในร่างกายของพวกเรา มองเห็นจิตของตน ที่สงบอยู่ในร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็แล้วแต่ หรือสงบอยู่ในความสุขความสบาย เราก็ประคองจิตของเรานั้นเอาไว้ในอารมณ์นั้นให้ดี อย่าให้ออกไปที่ไหน จิตก็สงบลึกลงไปนานเยือกเย็น จิตสงบไม่มีอะไรมายุ่ง จิตเป็นอารมณ์หนึ่ง อารมณ์เดียว รู้อยุ่ว่าจิต สงบนิ่งอยู่ ไม่วุ่นวายออกไปที่ไหน พวกเราก็จะเห็นความสุขเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเรา จิตก็จะ ได้พักผ่อน เพราะจิตสงบ ตอนนี้จิตได้พักผ่อนแล้วจิตสงบ แต่ก่อนไม่ได้พักผ่อนเลย มีแต่ทุกข์ มีแต่คิดอยู่ตลอด ก็มีแต่ทุกข์อยู่ตลอด พอจิตใจไม่ได้ทำงานอะไร เพราะจิตอยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว เรี่ยกว่า ทำงานหน้าเดียว จิตของเราก็เลยมีความสุขเกิดขึ้น เรียกว่า ปกติของจิต สงบอยู่ มันก็เลยได้พักผ่อน เราจะเห็นความสุขเกิดขึ้นด้วยตนเอง เรียกว่า จิตของเรานั้นสงบ ระงับอยู่ในสมาธิอารมณ์หนึ่ง อารมณ์เดียวเป็น อัปปนาสมาธิ
อัปปนาสมาธินั้น จิตจะมีความสุขและความว่าง เยือกเย็น มองเห็นได้เด่นชัด ว่าสุขอะไรทุกอย่าง เช่นมีสมบัติพัสสถานเงินทองมากมายเพียงใดก็ตาม มีเครื่องใช้ รถ เรือ ก็ตาม หรือบ้านใหญ่แค่ไหนก็ตาม อยู่ลมพัดเย็น อากาศเย็น ในห้องแอร์เย็นสบายแค่ไหนก็ตาม ว่า มีความสุข แต่ไม่สุขมากเท่าจิตใจที่มีสมาธิ เราจะเห็นได้ชัดเพราะสุข-นิรามิสสุข สุขกับสมบัติทั้งหลายนั้น เกี่ยวไปด้วยทุกข์ มีทั้งทุกข์ทั้งสุขปนกันอยู่ เขาจะรู้ขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว และนิรามิสสุข คือสุขไม่มีอามิสทั้งหลาย ต้องปลดปล่อยทั้งหมด คือมีแต่จิตสงบนิ่งอยุ่เฉยๆ อยู่สบาย จิตว่างในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว ก็มีความสุขมากกว่า จะเห็นได้เด่นชัด จะระลึกถึงครูบาอาจารย์ ท่านสอนว่า ทำจิตใจให้สงบ มีความสุข สุขไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใคร เราจะเข้าใจ เออ เป็นอย่างนี้เอง ครูบาอาจารย์ จึงอยากฝึกฝนอบรมจิตใจพวกเราให้สงบระงับ เป็นสมาธิที่จะได้มีความสุข ความสบายเกิดขึ้นบ้าง เราก็จะระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน เกิดขึ้นมาทันที และก็น้อมนึกระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เป็นผู้มีบุญมีคุณจริง และได้สอนสัตว์โลกอยู่ในความสงบมีความผาสุกทุกคนก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา
ทันทีว่า พระพุทธเจ้านั้นอยากให้พวกเรามีความสุข จึงให้ฝึกฝนอบรมจิตใจ ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเกิดขึ้น เมื่อจิตเป็นสมาธิอยุ่แนนแน่น มั่นคงอยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวแล้วอย่างนี้ เราเห็นความสุขเด่นชัดสักครั้งหนึ่ง เราก็มีควมพอใจ จึงไม่ลืม ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี จึงไม่ลืม เพราะความสุขนั้นเหลือล้น เพียงสมาธิเท่านั้นก็ยังสุขมากมายอยู่แล้ว พวกเราท่านทั้งหลาย ควรที่ จะพากันฝึกฝนอบรมจิตใจของตนให้สงบระงับเป็นสมาธิให้ได้ เมื่อได้แล้ว เราก็ใช้สติปัญญาประคับประคอง จิตของเราสงบอยู่ทุกวันๆ ทำไปทุกวัน เพื่อให้จิตของเราสงบ แนบแน่นมั่นคงเกิดขึ้นอยู่ตลอด บุคคลนั้นก็จะมีที่พึ่งของตน เวลามันมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ในบ้านในช่องที่โน้นที่นี่เกิดขึ้น เราได้รู้ทันทีเลย เราก็หลบเข้าสมาธิ ไม่วุ่นวายกับคนอื่น ไม่ยุ่งเหยิง ไม่ทุกข์ยากลำบากกับคนอื่น จิตใจของเราก็ได้พักผ่อนสงบ มีความสุข เรียกว่าคนฉลาด เหตุฉะนั้น ถ้าหากเรา ฝึกฝนอบรมจิตใจของตน ให้สงบระงับเป็นสมาธิได้ ย่อมได้อานิสงส์ จะได้อานิสงส์อะไร คนทำให้จิตใจสงบมีอานิสงส์คือ
๑. ความจำแม่นยำดี ความจำไม่หลงลืม
๒. อยู่ในสังคมไม่ผิดใคร ทำไมเราอยู่กับสังคมมากๆ ไม่ผิดใคร เพราะจิตใจ เราสงบ เรารับฟันคนอื่นเขาพูด เขาจะเถียงกันวุ่นวายอะไร เขาจะนั่งดู ยืนดูอยู่ก็ตาม เขาเดินไปเขาก็รู้ หากจิตใจเขารู้ เขาสงบ พวกนั้นเขาเถียงกันเรื่องอะไร เขารู้ก็ไม่ผิดกับใคร เพราะอะไร เพราะจิตใจเขาสงบ นี่คนมีสมาธิให้ความสุขเขาอย่างนั้น
๓. อานิสงส์ เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว ย่อมแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ คนที่จิตมีสมาธิสงบแนบแน่นมั่นคงอยุ่ ก็เพราะรู้ว่า เมื่อทุกข์เกิด ขึ้นแก่จิตใจของตนอยู่ คือปัจจุบันนั้นมันทุกข์เพราะเหตุอะไร มันสาวหา เหตุผลหาผลให้จงได้ สาวขึ้นไป มันจะรู้ เพราะจิตมันนิ่งอยู่ เราคิดเรื่องอะไรมันจึงทุกข์ คิดเรื่องนี้เอง มันทุกข์ยุ่งเหยิงกับเรื่องนี้ เมื่อรู้ว่าทุกข์เรื่องนั้น ก็หยุดคิดเรื่องนั้น ทุกข์ก็ดับไป เรียกว่า แก้ปัญหาด้วยตนเอง เวลามีความสุขสบายรื่นเริง โล่งสบสบายมีความสุข ก็รู้มันมาจากเหตุอะไร คนทิ่จิตมีสมาธิ ย่อมเข้าใจ เราคิดเรื่องนี้แล้วจิตของเรามีความสุขอย่างงี้ก็รู้ เขารู้จักทั้งดีและไม่ดีเกิดขึ้นเป็นอานิสงส์ของบุคคลที่ทำจิตใจของตนให้สงบระงับ
เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ เราก็จะได้อานิสงส์อย่างนี้
๔. ถ้าหากเรามีบุญบารมีเกิดขึ้น ก็จะสามารถมีแสงสว่างไสวเกิดขึ้น นิ่งอยู่ มองเห็นคนนั้น คนโน้น ไปหาคนนั้น หรือมาหาตนเองก็ดี อันนี้ก็รู้จัก เรียกว่าแสงสว่างเกิดขึ้น แต่ไม่ได้มีทุกคนไป แล้วแต่บุคคลที่มีบารมี ที่ได้สร้างสมอบรมเอาไว้ จิตที่จะเห็นสิ่งของ ต่างๆ เกิดขึ้นตอนตนเองทำความสงบ เรียกว่า ตาใน เห็นได้
๕. บางบุคคลสามารถมองดุจิตใจของบุคคลอื่นคิดได้ เรียกว่า ดักจิตของคนอื่นได้ รู้จัก คนคิดเรื่องอะไร รู้ได้ นี่คือานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าบุคคลใดได้ เรียกว่า เข้าใจอ่านจิตของผู้อื่นได้ คนนั่งมากๆ ก็รู้ได้ อยู่น้อยๆ ก็รู้ได้ ว่าจิตใจของบุคคลนั้นคิดอยู่ที่ไหน ใจไม่สงบก็รู้ จิตใจคิดเรื่องอะไร ก็รู้ อันนี้เป็นพิเศษ เหตุฉะนั้น อานิสงส์ทั้ง ๕ ข้อนี้ แล้วแต่บุญบารมี ของบุคคลใดที่จะได้ ส่วน ๓ ข้อในเบื้องต้นนั้น เป็นหน้าที่ของทุกคน จะได้รับผลได้เหมือนกัน
๑. ความจำแม่นยำ
๒. อยู่ในสังคมไม่ผิดใคร
๓. ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้า แก้ได้ด้วยตนเอง
ทั้ง ๓ ข้อนี้ จะเป็นอานิสงส์ ที่พวกเราทุกคนจะได้ ถ้าหากพวกเรา ฝึกฝนอบรมจิตใจของพวกเราได้ นี้เป็นอานิสงส์จะได้เห็นเด่นชัด เหตุฉะนั้น ควรพากันฝึกฝนอบรมจิตใจของตน จิตใจจึงจะได้รับความสงบระงับเป็นสมาธิ มีความสุขเกิดขึ้น จึงควรที่จะฝึกฝนอบรมจิตใจ ดังได้บรรยายธรรม มาให้ฟัง
( จากเรื่องการควบคุมจิตด้วยวิธี ปัญญาอบรมสมาธิ : หนังสือ การทำสมาธิ โดยพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก(บ้านปง) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ๒๕๔๐,หน้า๔๐-๕๖)
ที่มา คนเมืองบัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th