Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คนมีกรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2006, 10:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนท่านผู้รู้ทุกท่าน ตัวผมเองมีเรื่องลำบากใจ อยากจะแก้ไขในส่วนที่ผม
เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ผมมีความบกพร่องในการควบคุมอารมณ์ ผมอยากหาทางแก้ไข
เรื่องของผมมีอยุ่ว่า ตัวผมเองในเวลาปกตินั้น เป็นคนธรรมดาร่าเริง ชอบทำตลกให้
เพื่อนๆได้หัวเราะ และ บางครั้งยังเป็นที่ปรึกษาความทุกข์ให้กับหลายๆคน แต่สิ่งหนึ่ง
ที่ผมทุกข์ แต่กลับแก้ไขไม่ได้คือ เรื่องอารมณ์ หากเวลาผมโกรธขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อย
แค่ไหน ผมกลับควบคุมไม่ได้ ซึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับผมที่เป็นอยุ่นี้ ทุกครั้งที่ผมโกรธ
ตัวผมจะพุ่งทำร้ายคนที่โกรธทันที โดยไม่ยั้งคิดว่าเขาจะเป็นอย่างไร แม้แต่เพื่อนสนิท
ผมยังทำได้ลงคอ ถึงพ่อแม่มาห้ามผมก็ไม่เคยฟัง หลายๆคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา
เวลาโกรธแล้วทะเลาะกัน เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ผมทำแต่ละครั้งคือการมุ่งเอาชีวิต
ผมคิดว่าสักวันถ้าผมไม่ได้รับการแก้ไข ผมคงต้องเข้าไปอยุ่ในคุกแน่นอน โชคดีที่ทุกครั้ง
ที่ผมเกิดอาการแบบนี้ มักมีคนอยู่ในเหตุการณ์เยอะ เลยมีคนห้าม หากวันไหนผมเป็น
แบบนี้ตอนอยู่กันสองคน ผมคงเล่นจนถึงชีวิตแน่


ความรุ้สึกในตอนที่ผมเกิดอารมณ์โกรธหัวผมจะคิดแต่เรื่องการฆ่า
เหมือนผมมีความสุขที่ได้กระทำ ทุกครั้งที่ ชกเตะหรือต่อย ผมมีความสุขมากอย่าง
บอกไม่ถูก การได้เห็นคนเจ็บ หรือ ตัวผมเองเจ็บ ผมกลับชอบและเสพสุขในสิ่งเหล่านี้
ทั้งๆที่ผมไม่อยากกระทำเลย ทุกครั้งที่สติกลับคืน ผมกลับต้องมานั่งเสียใจกับการ
กระทำของผมทุกครั้ง เพื่อนผมแนะนำให้นั่งสมาธิ แต่ผมกลับไม่สมารถนั่งได้เลย


ผมควรทำอย่างไรดี เริ่มฝึกสมาธิจะช่วยได้หรือไม่ วอนทุกท่านที่ใจบุญช่วย
ชี้นำทางผมด้วย ขอบพระคุณครับ
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2006, 10:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การควบคุมอารณ์ความโกรธนั้น ควรปลูกฝังเมตตาจิตกับตนเองให้ มากๆ ฝึกแผ่ เมตตาบ่อยๆ
แผ่เมตตาไปยังคนมีทุกข์ให้พ้นทุกข์คนมีสุขให้มีสุขยิ่งๆ ฝึกแผ่เมตตา ทุกๆวัน เราก็จะเป็น คน
ที่สามารถควบคุมอารมณ์ ตัวเองได้ บุคคลที่ไม่โกรธตอบบุคคลที่โกรธอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อ ว่าชนะข้าศึกที่ชนะได้ยาก บุคคลที่โกรธตอบบุคคลที่โกรธอยู่ผู้นั้นเลวยิ่งกว่าบุคคลนั้นเสียอีก
คนที่ ว่าเรา ด่าเรา ยั่วยุเราเหมือนเอาไฟมาใสเรา ถ้าเราไม่โกรธ ตอบ ไฟนั้นก็ไม่ไหม้เรา แต่จะไหม้ตัวเขาเอง ขอให้ฝึกแผ่เมตตาเยอะๆบ่อยๆแล้วจะกลายเป็นอุปนิสัย เป็นพื้นฐานจิตที่ดีงาม
แล้วพิจารณาเห็นโทษของความ โกรธ เห็นถึงอานิสงค์ของความไม่โกรธ เราก็จะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2006, 11:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านว่า ความโกรธนั้นมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน
หมายถึงเมื่อความโกรธเกิดขึ้นความร้อนรุ่มก็เกิดแก่ตัวเผาผลาญตัวเองอยู่ตลอด ก็มุ่งทำลาย มุ่งทำร้าย ไม่ว่าวัตถุ สิ่งของ หรือคนอื่นสัตว์อื่น เพื่อปลดปล่อยแล้วความร้อนรุ่มนั้น ก็จะคลายตัวทำให้สะบาย แต่ผลของความโกรธเล่า

ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย

นึกถึงผู้ตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ จนทำสิ่งที่ยากเหมือนทำง่าย ฆ่าได้แม้บุตรธิดาภริยาหรือสามีผู้เป็นที่รัก ฆ่าได้แม้มารดาบิดาที่มีพระคุณเหนือเศียรเกล้าเหนือชีวิตจิตใจ เมื่อวูบหนึ่งของความโกรธผ่านพ้นไปแล้ว จิตสงบจากความกำเริบแล้ว ร่างไร้ชีวิตไร้วิญญาณของผู้เป็นที่รักที่มีพระคุณท้วมท้นก็นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าแล้ว

พระพุทธศาสนสุภาษิตอีกบทหนึ่งก็มีความหมายรับรองโทษของความโกรธไว้ชัดเจนดังนี้ คือ “ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้”

พึงตัดความโกรธด้วยปัญญาเถิด

ปัญญาที่สำคัญก็คือ มีสติเตือนตนเองว่า เราจะรักษาตัวเรามิให้เศร้าโศก รักษาคนทั้งโลกด้วยมิให้ถูกไฟแห่งความโกรธของเราเผาไหม้ เพราะใครก็ตาม เมื่อความโกรธเกิดแล้ว ย่อมเผาไหม้ทั้งตัวเอง ทั้งผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย

เป็นบาปกรรมที่ไม่ยอมทำดีกว่า ย่อมไม่พาไปสู่ภพชาติใหม่ที่น่าสะพรึงกลัว และย่อมไม่ทำให้ภพชาติปัจจุบันเป็นภพชาติที่อ้างว้างว้าเหว่

เพราะดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ญาติมิตรและสหายย่อมหลีกเลี่ยงคนมักโกรธ” มาเป็นแวดล้อมด้วยญาติมิตรที่รักเถิดจะดีกว่าด้วยการ “ฆ่าความโกรธ” เสียเดียวนี้

: แส่งส่องใจ ๒๕๔๕
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ในบทความธรรมมีหลายบทความที่เกี่ยวกับโทษของความโกรธและแนวทางแก้ไข
ขอให้พิจารณาให้เหมาะกับจริตของตัวเองเถิด
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2006, 11:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"เริ่มฝึกสมาธิจะช่วยได้หรือไม่ " ได้จิ จะช่วยได้เยอะทีเด่ว

อายหน้าแดง เริ่มอย่างไง ก้อ
1 ต้องรักษาศลี 5 (ถ้าเป้นคนใช้ชิวิตธรรมดา)
2 สวดมนต์แผ่เมตตาให้ กับทุกชีวิต รวมถึง คนที่คุณเกียจ หรือไม่ชอบหน้าด้วยนา
3 แล้วก้อทำสมาธิ
(ทั้ง 3 ข้อต้องให้สติระลึกรู้ตัวตลอดเวลา รู้ทุกอิริยาบทที่ทำ และรู้ทุกอารมที่มากระทบ
รู้ด้วยความกลาง คือ แค่ตามดู ไม่ต้องไม่คิด ปรุงแต่งมัน )

สาธุ
 
เพลินเพลิงโทสะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2006, 11:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราก็มักโกรธเหมือนกันล่ะ หลังได้โกรธเสร็จสมอารมณ์หมาย ก็แสนเสียใจทุกครั้งร่ำไป
จริงๆตอนที่ไม่โกรธ มันก็รู้นะว่า ความโกรธไม่มีคุณเลย มีแต่โทษล้วนๆ
มันทำร้ายตัวเองก่อน แล้วไปทำร้ายคนอื่น แล้วกลับมาทำลายตัวเองที่สุด ว่ามั้ย?

มีหนังสือ บทความ เตือนสติเรื่องความโกรธเยอะทีเดียว ตัวอย่างสักเรื่อง

http://www.dhammajak.net/koda/koda1/index.php

..............................................................................................................................

เรามาเป็นเพื่อนถอนน้ำพิษโทสะกันนะนะ อายหน้าแดง
 
กรรมมีทุกคน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2006, 5:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โดยความเห็นส่วนตัว การที่คนเราพึงพอใจสภาพธรรมชาติจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับจิตตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นความหลงติดอย่างนึงเท่านั้น คนส่วนใหญ่พึงพอใจยึดติดกับสภาพธรรมที่เกิดกับจิตที่คนทั่วไปมองว่าเป็นความสะดวกสบายเช่นมีรถแพงขับ มีบ้านใหญ่ มีรูปร่างน่าตาดีมีแต่คนเอาใจ มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยสะดวก บางคนพึงพอใจกับสภาพธรรมอันต้องมีความลำบากจนเคยชินจนอายุก็มากรวยล้นฟ้าแต่หยุดทำงานไม่ได้เพราะรู้สึกไม่สบายใจ บางคนพึงพอใจกับสภาพอารมณ์สะใจที่เห็นตัวเองเดือดร้อนเพราะถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนพระเอกในหนังตอนตกอับ การพึงพอใจกับการปล่อยปละอารมณ์โกรธของตนให้เผาผลาญทำลายผู้อื่นจึงเหมือนความหลงธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ไม่ต่างจาก กลุ่มคนที่พอใจที่ได้จับสัตว์มาสู้กัน เช่นตีไก่ หรือแม้กระทั่งชกมวย ก็ล้วนแล้วเป็นความหลงของจิตที่แตกต่างกันไปในลักษณะและระดับความลึกของการลุ่มหลงเท่านั้น ยามมีสติขึ้นมาก็จะรู้ตัวอยู่บ้างแต่ไม่มีกำลังพอสุดท้ายก็กลับสู่การเสพอารมณ์ของจิตให้มัวหมองตามเดิม
ใครมองเห็นความรู้สึกที่ไม่ดีของตัวเองที่ผ่านมาแล้วคิดหาหนทางเลิกละอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นผู้ที่เริ่มก้าวสู้หนทางแห่งธรรมแล้วครับ เพียงแต่ก้าวต่อต่อมาของการปฏิบัติเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับจิตอาจเห็นผลยากหน่อยเพราะเราไม่เคยให้โอกาสจิตได้สัมผัสเรียนรู้มาแต่เนิ่นนานอย่างเช่นความหลงมัวเมาในอารมณ์ที่เราปลูกฝังให้กับมันไม่รู้ตัวตั้งแต่เด็กอันอาจด้วยเป็นเพราะกรรมเก่า อารมณ์ที่ให้จิตลุ่มหลงยังมีอีกมากเริ่มตั้งแต่หยาบหยาบอย่างไม่น่าจะหลงเช่น ความโกรธ ความเศร้า ความเหงา แต่จิตบางคนก็ถูกปลูกฝังให้พึงพอใจมันได้ แม้นใครได้ฝึกฝนจิตจนได้ธรรมขั้นนึงหลุดมาได้แล้วก็ไปเจอสภาพธรรมที่ละเอียดขึ้นอีกเช่น จิตยึดติดความพอใจกับการทำดี คนยกย่องสรรเสริญ ผ่านมาได้ก็ยังมีสภาพธรรมที่ละเอียดให้หลงติดอยู่อีกเรื่อยเรื่อย เช่น อารมณ์ของปิติ อารมณ์สงบ อารมณ์แห่งศักยภาพพลังทางจิต จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จิตเราจะละความพึงพอใจในสภาพธรรมได้ในทีเดียวแต่ต้องฝึกฝนให้หลุดไปทีละขั้นละขั้นค่อยค่อยละเอียดขึ้นไปจนบริสุทธิ์
สิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้จิตหลุดพ้นจากความหลงได้ดีคิดว่าคือการสร้างสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา คงต้องหาวิธีฝึกฝนสติที่ตนถนัดที่สุดมาใช้ในชีวิตประจำวันและอาจเพิ่มความแม่นยำว่องไวให้กับจิตในการจับสภาพธรรมด้วยการนั่งสมาธิประจำเป็นระยะเวลาที่แน่นอนควบคู่ไปด้วย สำหรับผู้หลงสุขกับความโกรธนั้นคิดว่าสติกำลังน้อยมากเพราะความโกรธเป็นสภาพที่ค่อนข้างหยาบเสมือนน้อยคนจะพอใจการสัมผัสสิ่งที่แข็งมากกว่าสิ่งที่อ่อนนุ่ม การฝึกฝนทางจิตจึงน่าจะยากกว่าคนอื่นได้อยากให้ลองใช้อุบายปลูกฝังสภาพธรรมความพอใจกับการมีเมตตาต่อผู้อื่นมาช่วย เช่นการให้แบบไม่หวังผลแม้นแต่ บุญ ทดลองฝึกให้เงินคนที่เรารู้สึกด้อยกว่าเราที่เราอาจไม่รู้จักแบบไม่ให้เราเดือดร้อน แอบทำความดีให้คนที่เราไม่รู้จักแบบไม่ให้ใครรู้และไม่คาดหวังสิ่งที่จะได้กลับคืนมา หรืออาจหมั่นซื้อปลาราคาถูกไปปล่อยแทนเอาไปทำอาหาร หรือแม้นกระทั่งการแอบทำความดีกับคนที่เราเกลียดที่สุดไม่ให้รู้ตัว หมั่นสร้างอุบายการให้แบบไม่หวังผลให้จิตเล่นบ่อยบ่อย จิตจะพึงพอใจสภาพละขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว ก็จะส่งผลให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าง่ายขึ้นตามความคิดเห็นส่วนตัว สาธุ
 
นั่งเทียu
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2006, 8:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หางานที่ทำแล้วพอใจกับงาน
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2006, 10:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โกรธ คือ โง่... โมโห คือ บ้า....
ทั้งโกรธ ทั้งโง่....
เป็นไอ้โง่ ทำอะไรบ้าๆ....

ผมท่องเตือนตัวเองเสมอๆ ท่องไว้ ท่องไว้ คร๊าบบบ........
 
พิชิต
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2006, 12:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูจากเรื่องที่คุณเล่ามานับว่าน่าสงสารพอสมควร คนบางคนโกรธแล้วแค่ขัดใจมีการแสดงออกแค่ทางสีหน้า บางคนโกรธทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจา บางคนโกรธแล้วลงมือทำร้ายร่างกายผู้อื่น ลักษณะนี้แสดงออกถึงโทสะที่แรงกว่าความโกรธธรรมดา คนที่ฝึกจิตมาพอสมควรเมื่อโกรธจะทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจา ในประเภทของคุณนับว่าโชคร้ายพอโกรธแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ลงมือทำร้ายเขาซึ่งมีลักษณะถึงขั้นจะเอาชีวิตซึ่งน่ากลัวมากอยากให้คุณฝึกจิตมากๆ โดยขั้นแรกจะทำได้ยากเพราะคุณมีพื้นฐานน้อยพอมาฝึกจะมีอาการทรมานแต่ไม่ต้องสนใจเพราะพอนานไปใจจะเริ่มเย็นลงที่หลายคนบอกให้แผ่เมตตานั้นถูกต้องแล้ว การแผ่เมตตาเป็นการป้องกันความโกรธที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คุณอาจจะคิดว่ามันยากแต่ถ้าคุณไม่ทำอะไรสักอย่างที่เป็นการหักห้ามกิเลส ตัวคุณก็มีแต่จะแย่ลงอาจจะพัฒนาไปเป็นความพยาบาทซึ่งจะแรงกว่าความโกรธที่คุณป็นอยู่เสียอีกขอเอาใจช่วย ยังไงก็ขอให้ส่งผลในการปฏิบัติมาเล่าให้กันบ้างนะครับ
 
ผ่านมาอ่าน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 เม.ย.2006, 7:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่ว่าโกรธ . . . เป็นมานานหรือยัง อายุใกล้วัยทองหรือเปล่า
บางทีเป็นที่ฮอร์โมนก็มีนะคะ สำหรับคนใกล้วัยทอง
ฝึกสมาธิ ศึกษาธรรม ถ้าเป็นเพราะใกล้วัยทอง หาหมอแผนปัจจุบันช่วยได้นะคะ
เคยเห็นมาแล้ว
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง