ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
จับลม
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 18 มี.ค. 2006
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): ศรีสะเกษ
|
ตอบเมื่อ:
21 มี.ค.2006, 8:40 pm |
  |
ผมอยากได้อุบาย/ ข้อคิด/คติ/แง่คิดที่เหมาะสำหรับการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกให้อยากทำความเพียรอยากปฏิบัติธรรมให้มากๆนะครับ ท่านผู้รู้และนักปฏิบัติทั้งหลายรบกวนชี้แนะด้วยครับ..ขอบคุณล่วงหน้าครับ  |
|
|
|
   |
 |
bhuddadhamma@yahoo.com
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มี.ค.2006, 3:48 am |
  |
มองให้เห็นทุกข์ คืออุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ... พึงเบื่อหน่ายต่อการเป็นผู้บริโภคกามเพื่อรอวันตาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การสยบมัวเมาด้วยกามคุณนี้ เป็นของต่ำทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน อีกอย่างหนึ่งคือ การทรมาณตนเองให้ลำบาก ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่กิจของอริยะ เราทั้งหลายพึงดำเนินบนหนทางอันประเสริฐครบองค์แปด มีสติ มีความเพียรคอยค้ำจุน ประพฤติพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุด พึงยินดีต่อพระนิพพานอันสงัด ซึ่งสัตว์ทั้งหลายยินดีได้โดยยาก
กิจใดอันควรแก่กุลบุตร (กุลบุตรี) พึงกระทำกิจอันนั้นเถิด
"ธรรมอันตถาคตกล่าวดีแล้วนั้น ขอจงปรารภความเพียรเถิด เพื่อการบรรลุธรรมอันยังไม่บรรลุ เพื่อการถึงทับซึ่งธรรม อันยังไม่ถึงทับ เพื่อการทำให้แจ้งซึ่งธรรม อันยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ..."
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบรรลุธรรมอันเลิศด้วยการกระทำอันเลวย่อมมีมิได้เลย แต่การบรรลุธรรมอันเลิศด้วยการกระทำอันเลิศย่อมมีได้ ดังนี้"
-ธัมมปหังสนปาฐะ (แปล)- |
|
|
|
|
 |
ตอง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มี.ค.2006, 8:17 am |
  |
สัมมปปธาน ๔ หรือ ปธาน ๔ คือ ความเพียร ประกอบด้วย
๑ สังวรปธาน เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรม ที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
๒ ภาวนาปธาน เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรม ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
๓ ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
๔ อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม และบำเพ็ญให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
น้ำหยดลงในตุ่มวันละนิด ย่อมเต็มตุ่มได้ฉันใด บุคคลสะสมความดีหรือความชั่ววันละเล็กวันละน้อย ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยบุญและบาปได้ฉันนั้น |
|
|
|
|
 |
จุติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มี.ค.2006, 3:56 pm |
  |
อีกไม่กี่วันก็จะถึงชาติหน้าแล้ว ...  |
|
|
|
|
 |
สาวิกาน้อย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มี.ค.2006, 4:52 pm |
  |
ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สำคัญนัก |
|
|
|
|
 |
เต๊ะ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 มี.ค.2006, 7:02 am |
  |
ใครจะรู้ครับว่า...
ชาติหน้ากับพรุ่งนี้อะไรจะมาถึงก่อนกัน  |
|
|
|
|
 |
ทำโดยไม่อยากได้คือนักธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 มี.ค.2006, 12:21 pm |
  |
ทำอะไรด้วยเพราะจิตเกาะติดกับความต้องการหรือความอยาก เมื่อความอยากดับไปสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรให้จิตมุ่งไปสู่การกระทำ แม้นการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน หากคิดว่าเราต้องชอบหรืออยากก่อนถึงจะทำก็จะไม่เหลืออะไรมาผลักไสให้การปฏิบัติสืบเนื่องต่อไปในอนาคตถาวรได้ แทนการพยายามหาสิ่งกระตุ้นให้อยากทำ ลองตัดความอยากนั้น หันมาทำด้วยเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำหรือเป็นนิสัยดีกว่าไหมครับ ทำไมเราต้องแปรงฟันทุกวัน ทำไมเราต้องทานอาหาร ทำไมเราต้องหลับนอน ใช่ว่าทุกครั้งเราต้องอยากก่อนถึงจะทำหรือไม่? เคยบ้างไหมที่เราต้องทำทั้งที่เบื่อสุดสุดเช่นไม่อยากทานข้าวเพราะกับข้าวซ้ำซากสลับกับต้องทำแต่ก็อยากเช่น อยากทานข้าวกับข้าวก็เดิมเดิมแต่วันนี้มีสาวสวยมานั่งทานด้วย ทั้งทั้งที่เป็นการกระทำเดียวกันแต่สุดท้ายไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ละวันก็ต้องทานข้าวอยู่ทุกวันนั่นเอง ไม่รู้เหมือนกันครับถูกต้องแค่ไหนแต่ที่ยังทำมาได้นานและยังไม่คิดว่าจะมีอะไรหยุดได้อยู่ทุกวันนี้ก็คิดว่าเป็นความรู้สึกเดียวกันนี้ |
|
|
|
|
 |
ภูเขาไฟ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 มี.ค.2006, 1:42 pm |
  |
สำหรับเรานะ เราเป็นคน ชอบทดลอง ตั้งแต่ เด็กๆ เรากะเลยรอง เรื่อยๆมา เราไม่เคยใช้อุบาย อ่านะ เรามีแต่ ความตั้งใจ อยากรู้ เพราะมันเป็นอาไรที่แปลก ... แปลกมากๆ ยิ่งทดลองไป กะรู้สึก เริ่มเข้าใจ มันเลยทำให้เรามีไฟแล้วปฏิบัติ เรื่อยมา อ่านะ
ปล.ตอนนี้(หมายถึงปัจจุบัน) เราว่า เราใช้อุบาย ความอยากรู้ อยากลองเป็น อุบาย เพื่อสร้างคาวตั้งใจให้ปฏิบัติต่อไป นะ ตอนที่ปฏิบัติใหม่ ไม่รู้ เลย
จับลม ที่จริงท่านอาจจะรู้อุบายสำหรับท่านแล้วกะได้นะ แต่บางที เราไม่รู้ตัว นะ
ลองสำรวจดู ท่านอาจจะเจอ |
|
|
|
|
 |
อยากสร้างกิเลศละสร้างธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 มี.ค.2006, 12:02 am |
  |
ลองมองกลับกันแทนการหาอะไรมากระตุ้นให้อยากทำ ด้วยการหาอะไรเป็นเหตให้ไม่อยากทำแล้วแก้ไขจะได้ผลกว่าไหมครับ อย่างเช่น
1.ไม่อยากทำเพราะไม่เห็นผล พอทำแล้วไม่เห็นก็เลยไม่อยาก แต่การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการละ หรือแม้นทำได้เพียงอยากละแต่ยังไม่ละความอยาก แม้กระทั่งอยากเห็นธรรม ก็เลยกลายเป็นว่าไม่ได้ทั้งธรรมและก็ไม่ทั้งการอยากปฏิบัติธรรม จึงเป็นอะไรที่ต้องตั้งใจทำโดยไม่อยากจึงจะน่าจะได้เห็นผลมากขึ้นกระมังครับ
2.ไม่อยากทำเพราะทำไม่ได้ติดสังคมทางโลกบางครั้ง เช่นจะถือศีลก็กลัวขาดต้องสังสรรค์กับผู้ร่วมงานต้องดื่มเหล้า ต้องร่วมสร้างอารมณ์สนุกสนาน การปฏิบัติธรรมนั้นมีหลายอย่าง ก็เลือกสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดก่อน อย่างเช่น สวดมนต์นั้นก็แสนง่ายจะเอาทุกคืนหรือทุกเช้าหรือทุกคืนเช้าก็ตั้งใจได้ หากติดว่าต้องใช้หนังสือก็ท่องจำ เลิกสังสรรค์ดื่มเหล้ามา หรือ จะเหนื่อยจากการงานมา จะกลับมาบ้านหรือนอนบ้านเพื่อนก็ยังทำได้หากตั้งใจ เพราะไม่เคยเห็นกรณีไหนห้ามคนสวดมนต์ถ้าตัวเองคิดจะทำ เพียงขณะที่ทำตั้งสติให้การสวดถูกต้องไปจนจบหน่อยก็โอเคแต่ขอให้ต่อเนื่องทุกวันอย่างที่ตั้งใจด้วยเท่านั้น ก็ถือว่าปฏิบัติธรรมได้ทุกวันแล้ว ยังมีอะไรอีกมากที่ทำได้ ทำทาน ทำสมาธิ ทำวิปัสนา สร้างสติ หากวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนว่าจะต้องทำอย่างไรโดยเฉพาะกรณีไม่ปรกติ แม้นแต่ยามเจ็บป่วยต้องนอนในโรงพยาบาลก็ยังปฏิบัติธรรมได้เลยครับ ดังนั้นเลือกหน่อยว่าอะไรที่เราทำได้ตลอดก็ทำ อะไรไม่ได้ตลอดก็ทำแต่รักษาสัตย์สิ่งที่ทำได้ตลอดไว้หน่อยว่าจะไม่หยุดทำเท่านี้ก็ไม่มีอะไรหยุดเราปฏิบัติธรรมได้แล้ว
3.ไม่อยากทำเพราะไม่อยาก อันนี้แสดงว่าจิตได้เห็นธรรมความจริงตามธรรมชาติบ้างแล้วเพราะจิตละความอยากได้จึงไม่คิดทำ ลองฝืนปฏิบัติทำทั้งที่ไม่อยากไปอีกนิด โดยเฉพาะการฝึกสร้างสติให้เป็นนิสัย คงจะได้เห็นธรรมยิ่งกว่าตอนอยากทำเพราะอยากได้ธรรมเสียอีกครับ
เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้นเองครับ ขอให้เจริญก้าวหน้าในธรรม
<---      ----------- |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
24 มี.ค.2006, 3:02 am |
  |
กราบสวัสดี คุณจับลม
มนุษย์ปุถุชนทุกคนเป็นไข้ใจ จำเป็นต้องเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลกจนได้รับปริญญาเสียก่อน จึงจะรู้ว่าตัวเป็นไข้ รู้สาเหตุแห่งไข้นั้น รู้ว่าไข้นั้นหายได้ ตลอดจนรู้วิธีรักษาให้ไข้หาย แม้จะยังไม่หายขาดหรือเป็นๆ หายๆอยู่ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่รู้อะไรเสียเลย ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองเป็นไข้ หรือกำลังทุกข์ใจอยู่..........มหาวิทยาลัยโลกอยู่ไหนหนอ..........
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
|