Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ผมจะบาปมากรึเปล่าครับ ทะเลาะกับพ่อมา
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
Ake
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2006, 1:40 am
ผมทะเลาะกับพ่อผมครับ เรื่องมีอยู่ว่า
พ่อผมต้องการที่จะขายกางเกงยีนส์ที่หน้ารามครับ ซึ่งพ่อผมจะไปยืนเงินลงทุนจากญาติๆ
ผมเองก็ค้านเพราะไม่อยากให้พ่อผมมีหนี้ เลยบอกไปว่าไม่อยากขายกางเกงยีนส์เพราะขายยากกว่าเสื้อ
พ่อผมก็เลยพูดมาว่า ถ้าจะทำขอให้ทำจริงเถอะ ไม่ใช่ทำแล้วก็เลิก...เจ๊งหมด
ผมก็เลยบอกพ่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะเก็บเงินเองลงทุนเอง พ่อจะได้มั่นใจว่าผมทำจริง
พ่อผมก็เลยหาว่าผมประชด ก็เลยด่าผมคำๆนึง(คำด่าที่เกี่ยวกับตัวเงินตัวทอง) มึงประชดใส่กูเหรอ
ผมก็เลยบอกไปว่า ผมไม่ได้ประชด แล้วทำไมพ่อต้องด่าผมอย่างนี้ด้วย
พ่อผมเลยลุกขึ้นมายกมือไหว้แล้วกราบผมครับ ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ผมไม่รู้ว่าพ่อผมเครียดอะไรมา ทำไมต้องมาขอโทษมากราบผมด้วย ผมผิดอะไรมากเลยเหรอครับ แค่ยังไม่อยากให้ลงทุนอะไรโดยไม่วางแผนให้ละเอียด ทำไมต้องมากราบผม ผมเสียใจมากๆ ตกมืดสักครู่นี่เองครับ พ่อผมกลับมาจากทำงาน ผมเลยเข้าไปขอโทษพ่อผม แล้วก็กอด แต่พ่อผมไล่ผมบอกว่า ไปๆๆ... เหมือนประมาณว่าอย่ามายุ่ง
ผมไม่โกรธพ่อหรอกนะครับ มีแค่อารมณ์เสียใจกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำอย่างนี้
แบบนี้ผมจะบาปมากรึเปล่าครับ ขอบคุณครับ
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2006, 2:32 am
กราบสวัสดี คุณAke
ไปกราบขอโทษและกอดท่านแล้ว ก็เท่ากับคุณระลึกและสำนึกได้ในการกระทำที่ไม่ควร อย่าเสียใจไปเลยนะคะ แต่ก่อนจะพูดหรือกระทำสิ่งที่ไม่สมควรต่อบุพการีก็ควรระงับยับยั้งไว้ให้มาก จะได้ไม่มานั่งเสียใจ มานั่งขอโทษเมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ทางที่ดีก็จดจำไว้เป็นบทเรียนสอนใจตนเองนะคะ อย่าเสียใจเลย
.....ลูกที่มีเชื้อกตัญญูและกตเวทีทั้งหลายโปรดสำนึก ! การที่พ่อแม่หรือใครก็ตาม แสดงสิ่งที่ไม่ดีกับเราจะมากหรือน้อยก็ตาม นั่นย่อมจะเป็นมาตรวัดว่าวิบากแห่งกรรมในอดีตที่เราได้ทำไว้กำลังตามมาให้ผลอยู่ ขออย่าได้ โกงกรรม ขอให้ยอมรับโดยดุษณี และเร่งทำกรรมดีทั้งกายวาจาและใจให้มากเข้าไว้ อย่าได้ท้อถอยหรือโทษนั่นโทษนี่ ไม่นานวิบากแห่งกรรมเก่าก็จะจางลงและหมดไปเอง.....
.....ลูกที่ดีจะต้องระลึกถึงคุณ และคิดตอบแทนพระคุณของท่านเสมอ ไม่ว่าพ่อแม่ของเราจะเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามปานใด ก็ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น จะต่างก็แต่ว่าเราจะตอบแทนพระคุณของท่านในช่วงไหนที่เหมาะสมเท่านั้น ก่อนอื่นเราในฐานะลูกที่ดี เราจะต้องแยกให้ออกก่อนว่า พ่อและแม่มีพระคุณต่อลูก 2 ระยะ คือ การให้เกิด และการเลี้ยงดู.....
อ่านต่อตามลิ้งค์ข้างล่างนะคะคนดี
http://www.dhammajak.net/book/baby/baby14.php
I am
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 8:59 am
มารดาบิดามีความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดา ยิ่งกว่าต่อชีวิตของท่านเอง
ความคิดที่ว่ามารดาบิดาครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณนั้น กล่าวอย่างที่ทั่วไปเข้าใจกันก็เป็นบาปกรรม บาปกรรมก็คือกรรมไม่ดี ที่เป็นบาป และกรรมที่ไม่ดีก็เป็นผลของกรรมไม่ดี ที่เป็นผลของบาป ผู้ใดจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงก็ต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นบาปกรรม ต้องให้ผลไม่ดีเพราะเป็นผลของบาป
ผลของบุญเท่านั้นจึงจะเป็นผลดี ผลของบาปจะเป็นผลดีไม่ได้เลยเป็นอันขาด ใครจะเชื่ออย่างไรก็ตาม สัจจธรรมนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ต้องเป็นสัจจธรรมอยู่ตลอดไป
ทำไมจึงว่าความคิดที่ว่ามารดาบิดาครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณเป็นบาป ก็เพราะมารดาบิดาครูอาจารย์ท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมารดาบิดาด้วยแล้วเป็นผู้มีพระคุณต่อบุตรธิดาเป็นที่สุด
จนพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรธิดา พระพุทธองค์นั้นก็ทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย แต่กระนั้นก็ทรงกล่าวว่า สำหรับบุตรธิดาแล้ว มารดาบิดาเปรียบเหมือนพระอรหันต์ทีเดียว
คือทรงพระคุณต่อบุตรธิดาเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลายทีเดียว เช่นนี้แล้วบุตรธิดาใดคิดหรือพูดว่ามารดาบิดาไม่มีบุญคุณต่อบุตรธิดาจึงเป็นการทำบาปกรรมเป็นอย่างยิ่ง เพียงคิดเท่านั้นไม่ต้องพึงปฏิบัติต่อท่านสถานอื่นก็เป็นบาปกรรมหนักหนาแล้ว ยิ่งถึงกับแสดงออกทางกายกรรมต่อท่านด้วยแล้ว บาปกรรมนั้นก็พ้นประมาณ ถ้าทำให้ท่านถึงกับเสียชีวิตก็เป็นอนันตริยกรรม
การพูดก็ตาม การกระทำอื่นใดก็ตาม ที่ไม่สมควรกับมารดาบิดา ล้วนมีเหตุมาจากความคิดที่ว่ามารดาบิดาไม่มีบุญคุณทั้งสิ้น ดังนั้นจึงกล่าวว่าความคิดนั้นเป็นบาป เป็นเหตุแห่งบาปอกุศลอย่างยิ่ง ผลของบาปนั้นก็ดังได้กล่าวแล้ว เริ่มที่จิตใจของผู้เป็นเจ้าของความคิดที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผล ไม่เป็นความจริง ไม่เที่ยงตรง เป็นความร้อนความวุ่น
มารดาบิดาทั้งหลายก็เป็นปุถุชน ย่อมมีเวลาที่ทำสิ่งที่อาจไม่ถูกต้อง ที่เป็นการพลาดพลั้งไปได้มากบ้างน้อยบ้าง หากบุตรธิดามีความคิดว่าท่านไม่มีบุญคุณเพราะไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างหนักนิดเบาหน่อย บุตรธิดาก็มีปฏิกริยาต่อท่านอย่างรุนแรง
แต่ถ้ามีความคิดอยู่ว่ามารดาบิดาเป็นผู้ทรงพระคุณของบุตรธิดาแล้ว เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างตามวิสัยปุถุชน ปฏิกิริยาที่รุนแรงก็จะไม่เกิด จะน้อยใจเสียใจก็จะเป็นไปแบบธรรมดาที่มีความเคารพรักในมารดาบิดาเป็นเหตุ ความรุนแรงอื่นๆ จะไม่ตามมา
ทุกวันนี้ มีข่าวบุตรธิดาประทุษร้ายมารดาบิดาบ่อยๆ จนบางข่าวก็แทบจะเหลือเชื่อ คือเป็นการแสดงความอกตัญญูจนเหลือเชื่อ หรือจะกล่าวว่าเป็นการไม่กลัวบาปกลัวกรรมที่หนักหนาจนเหลือเชื่อก็ถูกเช่นกัน
นี่ก็เป็นเพราะทุกวันนี้มีการคิดการพูดการชักชวนให้เกิดความเข้าใจว่า มารดาบิดาไม่มีบุญคุณ ไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด ชักชวนให้เห็นไปว่ามารดาบิดาเป็นผู้เห็นแก่ตัวเท่านั้น ซึ่งที่จริงจะหาเหตุผลอะไรมายกให้เห็นว่าเป็นความจริงเช่นนั้นก็หามีไม่
ไม่มีผู้ใดอาจหาเหตุผลมายกประกอบได้เลย ตรงกันข้าม มีเหตุผลบริบูรณ์ที่แสดงว่ามารดาบิดามีความรักความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดายิ่งกว่ามีความรักความเมตตากรุณาต่อชีวิตของท่านเอง
เพื่อป้องกันจิตใจตัวเองมิให้หวั่นไหวไปตามคำชักชวนที่มีค่อนข้างมากในระยะนี้ จึงควรที่ทุกคนจะพยายามหาเวลาสงบใจ ระลึกทบทวนถึงพระคุณของท่านผู้เป็นมารดาบิดา เริ่มแต่ความอดทนของท่านที่อุ้มท้องอยู่ถึง ๙ เดือน ๑๐ เดือน เป็นความหนักที่ไม่มีเวลาวางได้เลยตลอดระยะเวลานั้น
เราถือของหนักชั่วครั้งชั่วคราวยังอยากวาง ยังต้องวาง ยังไม่ประสงค์จะหยิบขึ้นถืออีก ถ้าไม่รู้สึกว่าของนั้นเป็นสิ่งสูงค่ายิ่งนัก นอกจากนั้น ทุกคนก็คงเคยรู้สึกแล้วว่าขณะที่บุตรธิดาอยู่ในครรถ์นั้นไม่ทำให้ท่านผู้เป็นมารดาบิดามีรูปลักษณงดงามน่าดู บางคนคงจะเคยรู้สึกถึงกับว่าน่าอาย แต่ท่านผู้เป็นมารดาบิดาเองหาได้มีความรู้สึกเช่นนั้นไม่
ความรู้สึกทั้งหมดของท่านไปรวมเป็นความรักความเมตตากรุณาในบุตรธิดา ที่แม้จะยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาก็ตาม นี้ประมาณได้จากการที่ท่านไม่ได้หลบหลีกปลีกตัวไปเสียที่ไหน ในระยะที่บุตรธิดาถือกำเนิดอยู่ในครรถ์ ท่านคงอยู่ในสังคมในสายตาของคนทั่วไปอย่างปรกติ และบางที่ก็อย่างภาคภูมิใจยิ่งกว่าปรกติเสียอีกด้วย
ทั้งหมดเป็นไปด้วยอำนาจความรักและเมตตากรุณาในบุตรธิดาจริงๆ ขอให้พยายามหาเวลาสงบใจคิดทบทวนให้ลึกซึ้ง จะเป็นการบริหารจิตที่ถูกต้อง
ความร่มเย็นเกิดจากระลึกรู้พระคุณท่าน
การทบทวนถึงพระคุณของท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น ซึ่งได้กล่าวมาบ้างแล้วถึงพระคุณของมารดาบิดา จะได้กล่าวต่อไป เพื่อเป็นแนวแนะให้ทุกคนผู้ล้วนมีบิดามารดา ผู้ล้วนมีบุตรหรือธิดาด้วยกันทั้งนั้น
ได้คิดทบทวนเป็นการบริหารจิต ยกจิตให้อยู่ในระดับสูงขณะเดียวกันยังจิตให้เกิดความสงบเยือกเย็นเป็นสุขได้อย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นเหตุให้ได้รับความสุขความเจริญอันเป็นวิบากคือผลของกรรมที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย
ที่จริง ทุกเวลานาทีก็ว่าได้ ที่มีสิ่งอันอาจเตือนใจให้ทุกคนได้นึกถึงพระคุณของมารดาบิดาเป็นต้นว่า การไดเห็นผู้เป็นมารดาบิดาทั้งหลายปฏิบัติต่อบุตรธิดาของตนโดยเฉพาะบุตรธิดาที่ยังเล็กไร้เดียงสาไร้ความสามารถที่จะปกป้องคุ้มครองเลี้ยงดูตัวเอง การได้เห็นภาพเช่นนั้นก็มิได้แตกต่างจากการได้เห็นภาพในอดีตของตนเอง
เมื่อครั้งยังเยาว์ เมื่อครั้งมารดาบิดาปกป้องคุ้มครองรักษาเลี้ยงดูแบบที่กล่าวกันว่าชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ท่านต้องเสียสละเพียงใด ทั้งเหนื่อยกายทั้งเหนื่อยใจ กว่าบุตรธิดาจะเติบใหญ่นั้นแสนนาน
และเมื่อบุตรธิดาเติบใหญ่แล้วก็ใช่ว่าความยากลำบากของท่านผู้เป็นบิดามารดาจะสิ้นสุดลง ตรงกันข้ามดูเหมือนว่าจะทวีขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะในกรณีที่บุตรธิดาเป็นผู้ไม่ว่านอนสอนง่าย ไม่อยู่ในโอวาท หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้ต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เป็นต้นว่าอุปสรรคในการเล่าเรียนศึกษาหรือในอาชีพการงานเป็นต้น
ความขัดข้องเดือดร้อนทั้งหลายที่บุตรธิดาต้องประสบล้วนเป็นความขัดข้องเดือดร้อนของมารดาบิดาด้วยเช่นเดียวกัน และความจริงนั้นท่านจะเดือดร้อนใจยิ่งกว่าบุตรธิดาเองเสียอีกด้วย กล่าวก็ไม่ผิดถ้าจะว่ามารดาบิดานั้นรักบุตรธิดามากกว่าบุตรธิดารักตัวเอง เรารักตัวเองเพียงใดท่านผู้เป็นมารดาบิดาของเรา ท่านรักเรายิ่งกว่านั้น อย่างประมาณมิได้
นี้เป็นความจริงที่อย่างน้อยผู้เคยมีบุตรธิดาแล้วย่อมรับรองได้ เพียงแต่ว่ารับรองในแง่ที่ว่า ตนเองรักบุตรธิดามากกว่าบุตรธิดารักตัวของเขาเอง มักไม่รับรองว่ามารดาบิดาของตนนั้น รักตนยิ่งกว่าตนรักตัวเองเหมือนกัน
ความคิดแคบๆ เช่นนี้ เป็นความคิดที่เรียกได้ว่าเห็นแก่ตัว คำนึงถึงจิตใจตัวเองเท่านั้น น่าจะได้บริหารจิตให้ความคิดนั้นกว้างขวางออกไป จนถึงแลเห็นถึงจิตใจของท่านผู้เป็นมารดาบิดาของตนด้วย และจะกว้างขวางต่อไปถึงท่านผู้เป็นมารดาบิดาของผือื่นด้วยก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง จะก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างยิ่ง
ทำไมจึงกล่าวว่า การระลึกถึงพระคุณของมารดาบิดาจะเป็นเหตุให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข คำตอบมีอยู่ และถ้าทุกคนพร้อมจะนึกดูก็จะเข้าใจ จะเห็นจริง
เมื่อนึกถึงพระคุณของท่านผู้เป็นมารดาบิดาว่ามีแก่ตนจริงเป็นอันมาก ก็ย่อมตระหนักไปพร้อมกันว่าท่านรักเรายิ่งนัก ท่านปรารถนาจะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเรายิ่งนัก ความเป็นคนดีของเราจะเป็นความสุขของท่าน ในทางตรงข้ามความเป็นความไม่ดีของเราก็จะเป็นความทุกข์ของท่าน
เมื่อความตระหนักใจเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ย่อมจะเกิดความระมัดระวังตัวพอสมควรเป็นอย่างน้อย ที่จะทำความทุกข์ให้เกิดแก่ท่าน ซึ่งนั่นแหละจะเกิดผลโดยตรงแก่ตัวเองก่อนในทันที มารดาบิดาจะได้รับความสุขความสบายใจที่หลัง การที่คนแม้เพียงคนเดียวพยายยามทำคุณงามความดีเต็มความสามารถ อำนาจความดีนั้นก็อาจจะยังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่คนอื่นๆ ได้เป็นอันมาก
อานุภาพของความดีเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ คิดให้ลึกซึ่งแม้เพียงพอสมควรจะเข้าใจ จะซาบซึ่ง และคิดให้ลึกซึ่งขึ้นอีก จะเห็นตระหนักชัดว่า คนดีทุกคนผู้สร้างอานุภาพแห่งความดีขึ้นนั้น ล้วนเป็นหนี้พระคุณของท่านผู้มีพระคุณเป็นต้นว่ามารดาบิดาครูอาจารย์ทั้งสิ้น และแม้คนไม่ดีทั้งหลายก็ตาม มีชีวิตอยู่ได้อย่างที่ตนเองรู้สึกพอใจนั่นแหละ ก็ล้วนเป็นหนี้พระคุณท่านผู้มีพระคุณดังกล่าวแล้ว เช่นกัน
คนดีย่อมไม่เลี่ยงหนีการทดแทนพระคุณ
ทุกคนในโลกนี้ล้วนเป็นหนี้พระคุณท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย อาทิท่านผู้เป็นมารดาบิดาครูอาจารย์ คิดให้ดีแล้วจะไม่อาจอ้างได้ว่าที่กล่าวนี้ไม่ใช่สัจจะ ไม่เป็นความจริง แต่จะเห็นด้วยว่าเป็นสัจจะ เป็นความจริง ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้เลย ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดก็ตาม
เป็นต้นว่า ถึงแม้เหตุการณ์ของบ้านเมือง ของชีวิตประจำวัน จะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จนถึงแม้ว่าจะมีผู้โฆษณาชวนเชื่อมากมายเพียงไหนให้ลบล้างสัจจะดังกล่าวข้างต้น สัจจะนั้นก็จะต้องเป็นสัจจะอยู่อย่างมั่นคงตลอดไป
มารดาบิดาคือผู้มีพระคุณ ครูอาจารย์คือผู้มีพระคุณ เราผู้เป็นบุตรธิดาเป็นศิษยานุศิษย์คือผู้เป็นหนี้พระคุณ ยิ่งปฏิเสธพระคุณเพียงใด หนี้พระคุณก็ยิ่งใหญ่โตเพียงนั้น ความจริงย่อมเป็นเช่นนี้ น่าที่จะใช้เหตุผลพิจารณาให้เข้าใจพอสมควร เพื่อว่าจะได้สามารถทำตนให้เป็นลูกหนี้ที่ดี ที่มีโอกาสผ่อนหนี้ที่ยิ่งใหญ่ได้บ้าง
แม้ไม่กล่าวก็เป็นที่เข้าใจกันดีแล้วว่า ผู้เป็นลูกหนี้เงินทองทั้งหลาย แม้ปฏิเสธการใช้คืนหนี้นั้น ก็มีโทษทัณฑ์ที่จะต้องใช้แทน หนี้พระคุณก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย การพยายามทดแทนหนี้พระคุณ จึงเป็นสิ่งที่คนดีมีปัญญาไม่ปรารถนาหลีกเลี่ยง แต่ยินดีที่จะทดแทนชดใช้เต็มสติปัญญาความสามารถ
แต่ความจริงก็มีอยู่เช่นกันว่า คนกตัญญูกตเวทีคือรู้พระคุณที่ท่านทำแล้วแก่ตน และตอบสนองพระคุณท่านนั้นหายาก การจับพิจารณาถึงพระคุณของท่านผู้มีพระคุณให้จริงจัง เพื่อได้ตอบแทนพระคุณท่านให้จริงจัง จึงเป็นการบริหารจิตที่สำคัญยิ่ง
เพราะเป็นการยกจิตให้เป็นจิตของคนดีมีกตัญญูกตเวทีที่แม้พระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง
จับพิจารณาพระคุณท่านผู้ทรงพระคุณให้จริงจัง จนเกิดความซาบซึ่งจับใจแล้วกรรมใดๆ ที่จะประกอบกระทำต่อไปจะเป็นกรรมที่ดี อันจะยังให้เกิดผลดีแก่ตัวเองยิ่งกว่าผู้ใดอื่นทั้งสิ้น
ได้กล่าวถึงการพิจารณาพระคุณของท่านผู้เป็นมารดาบิดามาบ้างแล้วเพียงเล็กน้อย ยังมีพระคุณของท่านยิ่งกว่าที่ได้ยกมากล่าวแล้วอีกมากมายเหลือคณานับ ควรที่จะได้พยายามคิดนึกพิจารณาให้กระจ่างชัดแก่จิตใจด้วยดัยทุกคน จะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่า จะไม่เป็นการกระทำของคนเขลาเบาปัญญา แต่จะเป็นการได้รับผลตอบแทนอย่างยิ่ง เป็นการกระทำของคนดีมีปัญญา
: การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
neoman
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 26 ก.พ. 2006
ตอบ: 64
ตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 12:30 pm
ฟังจากที่คุณเล่ามา คุณไม่บาปเลยนะ.... เพราะคุณไม่ได้โกรธหรือทำสิ่งที่ไม่ดีกับพ่อ
พ่อคุณเป็นฝ่ายขี้โกรธ ขี้โมโหไปเอง ตรงนี้เราไปห้ามอะไรท่านไม่ได้
คงเป็นเพราะพ่อคุณ ไม่ได้ศึกษาพระธรรมมาบ้างเลย จึงขาดสติ เรื่องเพียงแค่นี้ก็ถึงกับประชดลูกขั้นรุนแรงด้วยการกราบลูก
แต่ก็น่าสงสัยว่า ตอนเถียงกัน สีหน้าแววตาของคุณ คงไม่ค่อยดีสำหรับพ่อนัก จึงทำให้ท่านเข้าใจคุณผิดไปถึงขนาดนั้น ถ้าคุณทำสีหน้ายิ้มแย้ม หรือเถียงท่านโดยการใช้คำพูดแบบทำนองออดอ้อน ด้วยแววตาขอร้อง ก็เชื่อว่า เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
เพราะฉะนั้น ต่อไปให้คุณเวลาเถียงกัน (ไม่ใช่ทะเลาะ) กับพ่ออีก ก็ขอให้ใช้คำพูดทำนองอ้อนวอน จะดีที่สุดครับ
อ้อ... รีบไปหาวิธีทำให้ท่านยอมรับการขอขมาจากคุณเสียให้ได้ เช่น ไปกราบแทบเท้าท่านเลย แล้วอ้อนวอนให้ท่านหายโกรธ (เพราะพ่อคุณรู้สึกเสียเหลี่ยมไปมาก ที่กราบคุณไปแล้ว ถ้าจะให้หายโกรธ คุณต้องทำอะไรที่เป็นการให้ท่านรูสึกว่า เราศิโรราบท่านแล้ว ถ้าแค่ไหว้ขอโทษธรรมดาๆ ไม่มีทางแน่ๆ )
เอาใจช่วยครับ....
_________________
ความสุขหรือความทุกข์ อยู่ใจเราจะคิดเอา ถ้าคิดว่าสุขก็สุข ถ้าคิดว่าทุกข์ก็ทุกข์.
Ake
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 9:52 pm
ตอบคุณmeomanครับ
ผมไม่ได้แสดงสีหน้าใส่หน้าพ่อเลยครับ เพราะตอนนั้นผมพูดไปส่องกระจกหวีผมไป
แต่ด้วยคำพูดที่ว่า "ผมจะเก็บเงินเอง"
คงเป็นตรงนี้ครับ พ่อผมเป็นคนใจร้อน คงคิดว่าผมนั้นอวดดี ประชดท่าน ซึ่งผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยครับ ตอนนี้ผมกับท่านคุยกันดีเหมือนเดิมแล้วครับ เพราะผลสอบวิชาที่ยากสุดในคณะของผมออกมาแล้วผมผ่านครับ พ่อผมเลยอารมณ์ดีด้วย ผมเป็นลูก ผมไม่โกรธพ่อผมหรอกครับ ถ้าผมบาปผมก็ขอยอมรับครับ ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ที่ให้แง่คิดข้อคิดดีๆกับผม ขอบคุณมากจริงๆครับ
กรัชกาย
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2006, 8:35 am
คุณจะบาปหรือไม่ หรือ บาปด้วยกันทั้งคู่ อ่านข้างล่างนี้แล้วตัดสินได้ด้วยตนเองครับ
-ในแง่ความเข้าใจเกี่ยวกับความดีความชั่ว
ทางฝ่ายพุทธธรรมสอนว่า ความดีเป็นคุณค่าที่รักษาและส่งเสริมคุณภาพของจิต ทำให้จิตใจสะอาดผ่องใสบริสุทธิ์หรือยกระดับให้สูงขึ้น จึงเรียกว่า "บุญ"
-เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามแก่ชีวิตจิตใจ เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นหรืออิสรภาพทั้งทางจิตใจและทางปัญญา เป็นการกระทำที่ฉลาด ดำเนินตามวิถีแห่งปัญญา เอื้อแก่สุขภาพจิต จึงเรียกว่า "กุศล"
-ส่วนความชั่ว เป็นสภาพที่ทำให้คุณภาพของจิตเสื่อมเสีย หรือทำให้ตกต่ำลง จึงเรียกว่า "บาป"
-เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมแก่ชีวิตจิตใจ ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด ไม่เอื้อแก่สุขภาพจิต จึงเรียกว่า "อกุศล"
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th