Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
นิโรธ ในความหมายของพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์จวน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:23 pm
เมื่อออกพรรษาแล้ว พวกเณร ผ้าขาวและแม่ขาว ได้พากันกลับบ้านหมดเหลือข้าพเจ้าองค์เดียว ต่อมาหลวงปู่เจ้าอาวาสวัดมีชื่อแห่งหนึ่ง ท่านได้มาอยู่ร่วมด้วย เพราะท่านได้ข่าวว่าที่ถ้ำจันทร์นี้ภาวนาดี ท่านจึงมุ่งมาขออยู่ด้วย โดยบอกว่า ท่านจะมาทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์
ระหว่างฤดูแล้ง ขณะที่อยู่ร่วมกันกับหลวงปู่องค์นี้ที่ถ้ำจันทร์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม จนถึงเดือนกรกฏาคมนั้น ได้ปฏิบัติร่วมกันและได้สนธนาปราศรัยฝ่าปฏิบัติธรรมทั้งด้านภายนอกและภายใน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นของกันและกันหลวงปู่ท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาในการภาวนาปฏิบัติธรรมของท่านให้ฟังว่า
ในสมัยที่ท่านยังอยู่ที่วัดบ้านของท่านนั้น ท่านได้เข้านิโรธสมาบัติ กำหนดสามวันบ้างเจ็ดวันบ้าง จึงออกจากที่ภาวนา ข้าพเจ้าย้อนถามท่านว่า วิธีเข้านิโรธนั้นเข้าอย่างไร ท่านว่า เมื่อพิจราณาไป หรือบริกรรมไป จิตวางอารมณ์ มันรวมอยู่เฉพาะจิตใสบริสุทธิ์หมดจดอยู่อย่างนั้น มันวางเวทนา ไม่มีเวทนา ไม่ปรากฎเวทนาทางกายหรือทางธาตุขันธ์เลย จิดออกจากธาตุ อยู่เฉพาะ จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ใสสะอาด อยู่อย่างนั้น มีความสุขมาก
ข้าพเจ้าถามว่า เวลาจิตถอนจากขณะเป็นอย่างไร
ท่านตอบว่า เวลาจิตถอนจากขณะ ก็เบากาย เบาใจ ทำให้กายและใจสบายดี มีความเบิกบานกาย และใจ ชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่านว่า เวลาปกติอยู่ด้วยอะไร
ท่านบอกว่า เวลาปกติ ก็อยู่ด้วยความสงบ และมีความปีติยินดีต่อจิตของตนที่รวมลงสู่ภวังค์ หรือฐีตินั้นๆ
เมื่อท่านว่าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็เลยถามว่า นิโรธะแปลว่าดับทุกข์ ตัวนี้หรือคือ ตัวดับทุกข์
ท่านก็รับว่า ใช่-ตัวนี้แหละตัวดับทุกข์ เพราะเวลาเข้าไปไม่มีทุกขเวทนาอะไร ความเจ็บปวดรวดร้าวแม้แต่นิดหน่อยก็ไม่ปรากฏในขณะนั้น
ท่านอธิบายเรื่องนิโรธเช่นนั้น ข้าพเจ้าเลยย้อนถามอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ นิโรธะ ท่านแปลว่า ผู้ดับทุกข์ คือไม่มีความทุกข์ ก็แปลว่า ดับหมด ก็เป็นนิพพานเท่านั้น ตัวนี้หรือคือ ตัวพระนิพพาน ? นิโรธนี้หรือ?
ท่านตอบว่า ใช่ เป็นนิพพาน
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:24 pm
ข้าพเจ้าก็เลยยุติเรื่องนี้ไว้ก่อน ต่อจากนั้นก็ชวนท่านสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ในทางภาวนาด้านอื่นต่อไป ข้าพเจ้าไม่เคยเข้านิโรธชนิดนี้สักครั้งเดียว ในสมบัติของข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไร เมื่อสนทนากันแล้วก็เลิกกันไป และข้าพเจ้าก็เลยลองนำการเข้านิโรธของหลวงปู่ไปพอพิจราณาดู วันหนึ่ง พอพิจราณาไป จิตก็ค่อย สงบลง สงบลง จิตหนึ่งเลยพูดขึ้นว่า .นิโรธนี้ยังเป็นสังขาร-ข้าพเจ้าซักดูเพราะเหตุว่า นิโรธนี้ยังมีการเกิดและการดับ คือมีการเข้าและการออก ไม่ขาดจากเหตุและปัจจัยอันเป็นตัวตัณหา ตัวอาสวะ และตัวกิเลส เพราะจิตชนิดนี้ ถ้าเข้าไปรวมแล้วก็เหมือนกับว่าไม่มีกิเลส แต่เมื่อถอนออกมาก็เป็นจิตธรรมดา เป็นนิโรธที่ไว้ใจไม่ได้
ข้าพเจ้าจึงมาคำนึงถึงโอวาทที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตะมหาเถระได้เคยเล่าเรื่องการเข้านิโรธของพระอาจารย์ลูกศิษย์ท่านองค์หนึ่งให้ฟัง ขณะที่ข้าพเจ้าอยูจำพรรษาร่วมกับท่าน ท่านได้ประกาศให้บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายทราบทุกๆ องค์ว่าในสมัยหนึ่ง ท่านอาจารย์องค์นั้นได้เข้าไปนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ท่านได้ถาม ท่านพระอาจารย์องค์นั้นว่า ท่าน จากกันไปนาน การภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่
ท่านพระอาจารย์องค์นั้น ตอบถวายท่านพระอาจารย์มั่นว่า กระผมเข้านิโรธอยู่เสมอๆ
เข้าอย่างไร
น้อมจิต เข้าสู่นิโรธ
ท่านพระอาจารย์มั่น ย้อนถามว่า น้อมจิตเข้านิโรธ น้อมจิตอย่างไร
ก็ตอบว่า น้อมจิตเข้านิโรธ ก็คือทำจิตให้สงบแล้วนิ่งอยู่โดยไม่ให้จิตนั้นนึกคิดไปอย่างไร ให้สงบและทรงอยู่อย่างนั้น
แล้วเป็นอย่างไร เข้าไปแล้วเป็นอย่างไร ท่านพระอาจารย์มั่นซักถาม
มันสบาย ไม่มีทุกขเวทนา
ท่านพระอาจารย์มั่นถามว่า เวลาถอนเป็นอย่างไร
ท่านพระอาจารย์องคนั้นตอบว่า เวลาถอนก็สบายทำให้กายและจิตเบา
กิเลสเป็นอย่างไร
กิเลสก็สงบอยู่เป็นธรรมดา แต่บางครั้งก็มีกำเริบขึ้น
พอถึงตอนนี้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้ประกาศเรื่องนิโรธให้บรรดาสานุศิษย์ทราบทั่วกันว่า
นิโรธแบบนี้ นิโรธสมมติ นิโรธบัญญัติเพราะเป็นนิโรธที่น้อมเข้าเอง ไม่มีตัวอย่างว่า พระอริยเจ้าน้อมจิตเข้านิโรธได้ ใครจะไปน้อมจิตเข้าได้ เมื่อจิตยังหยาบอยู่ จะไปน้อมจิตเข้าไปสู่นิโรธที่ละเอียดไม่ได้ เหมือนกับบุคคลที่ไล่ช้างเข้ารูปู ใครเล่าจะไล่เข้าได้รูปูเล็กๆ หรือเหมือนกับบุคคลที่เอาเชือกเส้นใหญ่จะไปแหย่ร้อยเข้ารูเข็ม มันจะร้อยเข้าไปได้ไหม..? เพราะนิโรธเป็นของที่ละเอียด จิตที่ยังหยาบอยู่จะไปน้อมเข้าสู่นิโรธไม่ได้ เป็นแต่นิโรธน้อม นิโรธสมมติ นิโรธบัญญัติ นิโรธสังขาร นิโรธหลง ..?
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:25 pm
แล้วท่านก็เลยอธิบาย เรื่องนิโรธต่อไปว่า นิโรธะ แปลว่า ความดับ คือดับทุกข์ ดับเหตุ ดับปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย ดับอวิชชา ดับตัณหานั่นเอง จึงเรียกว่า เป็นนิโรธ อย่าไป ถือเอาว่าจิต ที่ไปรวมลงสู่ภวังค์ หรือฐีติจิต จิตเดิม เป็นนิโรธ มันใช้ไม่ได้-ท่านว่า-จิตชนิดนั้นถ้าขาดสติปัญญาพิจารณาทางวิปัสสนาแล้ว ก็ยังไม่ขาดจากสังโยชน์ ยังมีสังโยชน์ครอบคลุมอยู่ เมื่อถอนออกมาก็เป็นจิตธรรมดา เมื่อกระทบกับอารมณ์ต่างๆ นานเข้า ก็เป็นจิตที่ฟุ้งซ่านและเสื่อมจากความสงบหรือความรวมชนิดนั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นได้ประกาศให้ทราบว่า กระผมก็เลยไปพิจารณาดูนิโรธของพระอริยเจ้าดูแล้วได้ความว่า นิโรธะ แปลว่า ความดับ ดับเหตุ ดับปัจจัย ที่ทำให้เกิดทุกข์ ทั้งหลาย คือทำตัณหาให้สิ้นไป ดับตัณหา โดยไม่ให้เหลือ ความละตัณหา ความวางตัณหา ความปล่อยตัณหา ความสละ สลัดตัดขาด จากตัณหานี้ จึงเรียกว่า นิโรธ
นี่เป็นนิโรธ ของพระอริยเจ้า .ท่านว่า นิโรธของพระอริยเจ้านั้นเป็น อกาลิโก ความเป็นนิโรธ ความดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่อ้างกาล ไม่อ้างเวลา ไม่เหมือน นิโรธ ของพวกฤาษีชีไพรภายนอกศาสนา ส่วนนิโรธของพวกฤาษีชีไพรภายนอกศาสนานั้นมีความมุ่งหมายเฉพาะ อยากแต่จะให้จิตของตนรวมอย่างเดียว เมื่อจิตถอนจากอารมณ์แล้ว ก็ไม่น้อมเข้ามาพิจารณาให้รู้เห็นสัจธรรม คือให้รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ยินดีเฉพาะแต่จิตที่สงบหรือรวมอยู่เท่านั้น ว่าเป็นที่สุดของทุกข์เมื่อจิตถอนก็ยินดี เอื้อเฟื้อ อาลัย ในจิตที่รวมแล้วก็เลยส่งจิตของตนให้ยึดในเรื่องอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ส่วนกิเลส ตัณหานั้นยังมีอยู่ ยังเป็นอาสาวะนอนนิ่งอยู่ภายในหัวใจ
ท่านเลยอธิบายถึงนิโรธของพระพุทธเจ้าและพระอริยะเจ้าต่อไปว่า นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ของพระอริยเจ้านั้น ต้องเดินตามมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ นี่จึงจะถึงนิโรธคือความดับทุกข์ ดับเหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธของพระอริยเจ้านั้นเป็นนิโรธอยู่ตลอดกาลเวลา ไม่อ้างกาล ไม่อ้างเวลา ไม่อ้างกาลนั้นจึงจะเข้านิโรธกาลนี้จึงจะออกนิโรธ ไม่เหมือนนิโรธของพวกฤาษีชีไพรภายนอกพระพุทธศาสนา นี่เป็นคำสอนของท่านพระอาจารย์ใหญ่ มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ ที่ได้แสดงไว้ ข้าพเจ้าจำความนั้นได้
เมื่ออยู่ร่วมกับหลวงปู่องค์นั้น ได้สนทนาธรรมะแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นซึ่งกันและกันอย่างเป็นที่พอใจ อยู่มาวันหนึ่งหลวงปู่ท่านก็เข้านิโรธอีก ท่านเข้าอยู่ 3 วัน แล้วจึงออกบิณฑบาต ข้าพเจ้าเรียนถามท่านว่าเข้านิโรธเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตอบว่า สบายดี จิตมันรวมดี ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ร่างกายจิตใจสบายดีข้าพเจ้าถามต่อว่าเวลาถอนจากนิโรธ เป็นอย่างไร ท่านตอบว่า จิตก็สบาย ใจก็สบาย กายก็สบาย จิตเบา กายเบา สบายดี
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:26 pm
อยู่มาข้าพเจ้าได้นิมิตเกี่ยวกับท่านว่าในนิมิตของข้าพเจ้านั้น ปรากฏเห็นหลวงปู่ท่านนั่งอยู่ในกลด ในมุ้ง นั่งภาวนาหลับตานิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เลยเข้าไปหาท่านเปิดมุ้งออก แล้วทักท่านว่า หลวงพ่อดีแต่นั่งสงบอยู่อย่างเดียวไม่เปลี่ยอริยาบถ เดี๋ยวเป็นง่อย เป็นโรคเหน็บชา หรืออัมพาตตาย ต้องออกไปเดินจงกรมเปลี่ยนอริยาบถและพิจารณาบ้างซีครับ ในนิมิตนั้น พอท่านได้ยินดีข้าพเจ้าทัก ท่านก็ลุกจากที่ เปลี่ยนไปเดินจงกรมทันที
ข้าพเจ้าจึงมาพิจารณานิมิตนี้ ได้ความเป็น 2 นัย คือ นัยหนึ่ง ถ้าหลวงปู่เกิดป่วยไข้ ไม่สบาย ก็จะป่วยหนักจนแทบประดาตาย แต่ไม่ถึงตาย นัยที่สอง ถ้าภาวนาก็จะได้บรรลุคุณธรรมเป็นที่พอใจ หายสงสัยทีเดียว รุ่งเช้าพอไปบิณฑบาตด้วยกันข้าพเจ้าก็เล่าให้ท่านฟังว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้นิมิตถึงหลวงพ่อ ท่านก็ถามว่า นิมิตอะไร ข้าพเจ้าเล่าว่า .นิมิตได้เห็นหลวงพ่อนั่งภาวนาในกลด หลับตานั่งนิ่งอยู่อย่างเดียวผมได้ไปหาท่านและบอกท่านว่า หลวงพ่อ อย่านั่งมาก สงบมาก ให้ออกเดินจงกรมเสียบ้าง ให้พิจารณาบ้าง พอหลวงพ่อได้ยินผมทักดังนั้น หลวงพ่อก็ออกเดินจงกรมกับผม
หลวงปู่ได้ถามว่า ท่านพิจารณา นิมิตแล้วได้ความว่าอย่างไร
ข้าพเจ้าเลยเรียนท่านว่า พิจารณาได้ความเป็น 2 นัย นัยแรก ถ้าหลวงพ่อป่วยก็จะป่วยมาก แทบประดาตาย แต่ไม่ตาย นัยที่สอง ถ้าหลวงพ่อภาวนาต่อไป จะได้บรรลุธรรมจนเป็นที่พอใจ อาจจะถึงที่สุดหายสงสัย
หลังจากที่สนทนากันนั้นสามวันหลวงปู่ก็มีอาการเจ็บป่วยขึ้น เมื่อท่านไม่สบายท่านก็เข้านิโรธอีก เพื่อระงับอาการป่วยนั้นให้หายไป ท่านเข้าอยู่ 3 วัน จึงออกจากนิโรธ เมื่อออกจากนิโรธ อาการเจ็บป่วยก็ยังไม่หายข้าพเจ้าเลยเข้าไปเรียนถามท่านว่า เป็นอย่างไรบ้างครับ หลวงพ่อ อาการป่วยไข้ ท่านตอบว่า เวลาจิตมันรวม อาการป่วยไข้ก็ไม่มี อยู่สบาย แต่เวลาจิตมันถอนออกมาจากการรวมโรคภัยไข้เจ็บก็ยังอยู่ อย่างเก่า ไม่ลดละจากธาตุขันธ์เลย
ข้าพเจ้าเรียนถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ
ท่านตอบว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ต้องเข้านิโรธบ่อยๆ เพื่อดับเวทนา
ข้าพเจ้าก็เลยย้อนเตือนสติท่าน นิโรธอย่างนี้ ก็เป็นนิโรธหลบหลีกเวทนา ไม่ใข่นิโรธที่พิจารณาดับเวทนาเลยซีครับ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในขณะนั้น
อยู่มาวันหลัง ท่านว่า เมื่อคืนนี้ผมได้นิมิต พิจารณาแล้วเห็นว่าอายุร่างกายเจ็บป่วยคราวนี้ เห็นทีจะดับเสียแล้ว ชีวิตของผมคงมาถคงเพียงแค่นี้ ผมอาจจะตายในคราวนี้
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:26 pm
ข้าพเจ้าเลยถามท่านว่า จริงหรือ
ท่านก็ว่าจริง
ข้าพเจ้าจึงอธิบายเรื่องความตายถวายท่านว่า ความตายมี 2 ชนิดคือ หนึ่ง ธาตุขันธ์มันตายขาดจากลมหายใจ สองกิเลสมันตายถามท่านว่า ท่านหมายเอาความตายแบบไหน
ท่านก็บอกว่า ตายแบบที่หนึ่ง ธาตุขันธ์มันตายขาดจากลมหายใจ
ถามท่านว่า เหตุไฉนหลวงพ่อจึงทราบ
ทราบซิ เวลาผมเข้านิโรธสมาบัติจิตถอนออกมาพิจารณาชีวิตสังขารของตนเห็นว่าจะดับนี่นา ท่านตอบตามความเห็นของท่าน
แล้วหลวงพ่อ เคยเชื่อไหม-?
เคยเชื่อ ท่านว่า ผมเคยพิจารณาอย่างนี้ ได้ผลและรู้เห็นตามเป็นจริงมาทุกราย
เลยย้อนถามท่านอีก เวลาหลวงพ่อเข้านิโรธครั้งนี้เป็นอย่างไร
มันสบาย สบาย ท่านว่า ไม่มี ทุกขเวทนา เวลาออกมามีแต่ทุกข์มีแต่รัอน ผมไม่อยากออกเลย อยากเข้านิโรธอยู่อย่างนั้นตลอดไป
ข้าพเจ้าท้วงท่านว่า นิโรธที่หลวงพ่อเข้านั้น เป็นนิโรธที่ดับเวทนาไม่ได้ ดับได้แต่เวลาเข้าไป แต่เวลาที่มันไปรวมอยู่นั้นถ้าพิจารณาโดยละเอียด มิใช่เป็นการดับแต่เป็นการหลบหลีกไป ไม่สู้เวทนาต่างหาก นิโรธแบบนี้เป็นนิโรธที่ขาดสติ ขาดปัญญา ข้าพเจ้าอธิบายให้ท่านฟังแล้วก็ยกนิมิตที่เคยเรียนให้ท่านฟังสมัยไปบิณฑบาตด้วยกันว่า สำหรับผมไม่เห็นว่าหลวงพ่อจะตายในครั้งนี้ ผมได้กราบเรียนการพิจารณานิมิตให็ท่านฟังแล้วเป็น 2 นัย นัยหนึ่ง หลวงพ่อป่วยหัน แต่ไม่ถึงแก่ความตาย นัยที่สองทางด้านภาวนา หลวงพ่อจะได้บรรลุธรรมสูง อาจจะสูงสุดด้วย นี่เคยเรียนถวายเมื่อตอนบิณฑบาตด้วยกัน หลวงพ่อจำได้ไหมครับ .? ท่านก็ว่า จำได้ครับ
ช้าพเจ้าจึงว่า ผมว่า ไม่เป็นไรครับไม่ตาย แต่หลวงพ่อจะป่วยหนักเท่านั้นไม่ตาย กิเลสมันจะตายต่างหาก อย่าวิตกวิจารณ์เลย
อย่างไรก็ตาม เห็นหลวงปู่ยังลังเลอยู่ข้าพเจ้าก็ขอให้ท่านพิจารณาของท่านเองอีกครั้งในคืนวันนี้ สนทนากันแล้ว ข้าพเจ้าก็ลาจากมา วันหลังเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเยี่ยมท่านอีก ท่านก็ว่า-พิจารณาซ้ำแล้วปรากฏผลอย่างเก่าที่บอกไว้ คือถึงที่สุดสังชารแล้วแน่นอนทีเดียวต้องตายแน่ๆ
เมื่อท่านตัดสินใจว่าจะต้องตายแน่นอนก็ได้ขอให้ข้าพเจ้าและชาวบ้านช่วยกันทำ
xxx
บศพมาให้ท่าน และท่านขอให้แจ้งข่าวไปถึงท่านอาจารย์และญาติโยมของท่าจที่จังหวัดของท่าน ให้ทราบด้วยว่า ท่านได้ปลงชนมายุสังขารแล้ว ข้าพเจ้าจำต้องส่งข่าวไปตามที่ท่านขอร้อง เรื่อง
xxx
บศพก็เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่อยากจะทำเลย แต่ท่านก็เคี่ยวเข็ญขอร้องอยู่นั่นแล้ว เกรงใจกันว่า ท่านเป็นผู้มีอายุและเจ็บไข้ ก็จำต้องยอมทำตามคำของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้ว เอามาไว้ข้างเคียงท่าน ให้ท่านดู .ตามใจท่าน ท่านก็พิจารณาความตายไป อาการป่วยของท่านก็ค่อยทุเลาลงเรื่อยๆ จนหายขาด
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:27 pm
ครั้นหายขาดแล้ว ท่านก็มาพิจารณาเรื่องนิมิตที่ท่านปลงสังขารร่างกายแล้ว บ่นพึมพำว่า สังขารมันว่าจะตาย ทำไมไม่ตายมันเป็นอย่างไร ทำไมมันหลอกลวง ญาณเป็นอย่างไร เสื่อมไปแล้วไว้ใจไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าได้โอกาสจึงเข้าไปสนทนากับท่านและให้อุบายท่านว่า อย่างนี้ละ โบราณท่านว่า ฟานหรือเก้ง มันตื่นขี้ของมัน คือเก้งมันขี้แล้ว พอขี้หลุดออกจากตัว มันก็ตื่นขี้ของมัน เข้าใจว่า มนุษย์ขว้างดินใส่มัน มันจึงตกใจร้อง กระโดดโลดเต้นวิ่งหนีไป
หลวงพ่อตื่นนิมิตของหลวงพ่อผมได้เรียนให้ทราบแล้วว่า ถ้าป่วยก็ป่วยหนัก แต่ก็ไม่ตาย นี้เป็นฝ่ายป่วย ถ้าเป็นฝ่ายภาวนา ทางด้านธรรมะก็จะบรรลุธรรมอย่างเป็นที่พอใจ หายสงสัย เพราะในขณะผมนิมิตเห็นหลวงพ่อนั่งในกลด มีแต่ภาวนาอย่างเดียวนี้ หมายความว่า หลวงพ่อมีแต่พักความสงบอย่างเดียด ใช้แต่ความสงบอย่างเดียว อยู่ด้วยความสงบอย่างเดียว ชมแต่ความสงบอย่างเดียว แล้วบังคับหรือบริกรรมให้แต่จิตรวมอย่างเดียว เมื่อจิตรวมก็มัวชมเชยยินดีในจิตรวม เมื่อจิตถอน ก็ไปยึดถือเอาจิตที่รวมนั้นเป็นอารมณ์ .อยู่อย่างนั้น ไปยึดถือเรื่องอดีต อนาคต ไม่เห็นปรากฏว่า จิตของหลวงพ่อตัดสังโยชน์ตอนไหน แล้วถือว่าจิตรวมนั้นแลเป็นนิโรธ ถ้าหลวงพ่อทำอย่างนี้ มันก็ตกอยู่ในสังขารนั้นเอง มันไม่พ้นไปจากทุกข์ เวลาจิตถอนขึ้นมาก็โดนทุกข์อยู่นั่นแหล่ะ เพราะละไม่ได้แล้ว จะมาปลงสังขาร ปลงชีวิตว่าจะตายเท่านั้นเอง
ส่วนนิโรธของพระอริยเจ้านั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อจิตของท่านของสู่ฐีติจิตถอนจากฐีติแล้ว ท่านก็พิจารณาสาวหาเหตุหาปัจจัยของธรรมทั้งหลาย พิจารณาทุกข์ พิจารณาเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วมันก็รุ้เรื่องกันเท่านั้น ท่านก็ดับทุกข์ ดับเหตุให้เกิดทุกข์ได้เท่านั้น นี่เป็นนิโรธของพระอริยเจ้า .นี้แหละครับ ผมได้ฟังโอวาทของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ขณะที่ได้จำพรรษาร่วมกับท่าน ท่านได้เล่าเรื่องนิโรธสมาบัติให้ฟัง โดยเหตุที่มีศิษย์ของท่านองค์หนึ่ง เล่าเรื่องนิโรธถวายให้ท่านฟัง แล้วข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องนิโรธที่ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งสอนสานุศิษย์ให้หลวงปู่ทราบโดยละเอียด และเสริมว่า ท่านย้ำว่า นิโรธของพระอริยเจ้านั้น เป็นนิโรธอยู่ตลอดกาลเวลา ไม่อ้างกาล อ้างเวลา ไม่ใช่กาลนั้น จึงจะเข้านิโรธ เป็นความดับ ทุกข์อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา เป็นนิโรธที่ดับสังขาร ไม่มีสังขารแล้วพ้นทุกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านว่าจะเรียกนิพพานก็ได้ เป็นธรรมที่ไม่ม้วยมรณ์ คือไม่ตาย เป็นธรรมที่อยู่เหนือโลก พ้นโลก หมดสมมติ หมดบัญญัติ หมดกริยา เป็นอกริยา ไม่มีการไปการมา นี้เรียกว่า นิโรธ สมกับที่ว่า พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เห็นอยู่ ปรากฏอยู่ ซึ่งธรรมทั้งหลายแก่พราหมณ์ทั้งหลายผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ด้วยสติ ปํญญาอันละเอียดเช่นนี้ รู้ว่าธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ย่อมรู้เหตุและปัจจัยของธรรมทั้งหลาย และรู้ความสิ้นไปแห่งเหตุและปัจจัยธรรมทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลายนั้นย่อมหายจากความสงสัย ย่อมเป็นผู้มีสติปัญญาสว่างโร่อยู่อย่างนั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามาร คือมาร และเสนามาร ได้แก่ กิเลสมารย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้น ย่อมกำจัดมืดให้อากาศสว่างฉะนั้นไม่มีความสงสัยเลย
กรกต
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 ม.ค. 2006, 11:28 pm
นิโรธะ คือเป็นผู้ดับเหตุ ดับปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทำเหตุทำปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งหลายให้สิ้นไป ดับเหตุ ดับปัจจัย ละเหตุ ละปัจจัย วางเหตุ วางปัจจัย ปล่อยเหตุ ปล่อยปัจจัย สละเหตุ สละปัจจัย แห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือตัณหานั้น พราหมณ์นั้นเป็นผู้มีความเพียรเพ่งอยู่อย่างนี้ด้วยความมีสติ ด้วยความมีปัญญา มากำหนดรู้ชัดว่าธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุและปัจจัย แล้วทำเหตุและปัจจัยของธรรมทั้งหลายที่เป็นตัวสังขาร เป็นตัววัฏฏะ เป็นตัวสังขารจักร ให้เสื่อมไป ให้สิ้นไป ให้หมดไป โดยไม่เหลือนั้นเทียว ดับเหตุดับปัจจัย โดยไม่ให้เหลือ ละเหตุละปัจจัย โดยไม่ให้เหลือ วางเหตุวางปัจจัย โดยไม่ให้เหลือ ปล่อยเหตุ ปล่อยปัจจัย โดยไม่ให้เหลือ สละเหตุ สละปัจจัย แห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น โดยไม่ให้เหลือนั้น-นั้นเทียว นี้เรียกว่า นิโรธ จะไปน้อมจิตเข้าสู่นิโรธนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นท่านว่า-จะทำได้อย่างไร เมื่อไม่มีปัญญารู้ชัด เหตุและปัจจัยของธรรมทั้งหลายแล้ว มันก็เป็นนิโรธที่เดาที่สมมติบัญญัติเท่านั้น ผิดจากสัจจธรรม
พอใกล้เข้าพรรษา หลวงปู่ท่านก็ได้ลากลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสำนักเดิมของท่าน ภายหลังท่านได้พิจารณาธรรมสากัจฉาตามที่ได้สนทนากัน พระลูกศิษย์ของท่านได้กลับมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านได้ชมว่า สมัยอยู่ที่ถ้ำจันทร์นั้นดีนัก ท่านภาวนาได้กำลังมากที่สุด ถ้าไม่ได้ท่านจวนอยู่ร่วมด้วย จะเสียเลย และท่านก็ชมเชยในธรรมสากัจฉาซึ่งกันและกัน ท่านว่า ท่านหายสงสัยในธรรมมะของพระพุทธเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าฟังแล้ว ก็พลอยอนุโมทนาสาธุการยินดีกับท่านด้วย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่มีคุณธรรมอะไร ไม่มีภูมิธรรมอะไร ข้าพเจ้าเป็นเพียงปุถุชนคนมีกิเลสหนาปัญญาหยาบธรรมดาๆ หินชาติ หินชนของคนเราไม่มีอะไร แต่หากว่าได้จำคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ได้ศึกษาไว้ และสดับตรับฟังมาตามตำรับตำราและตามครูบาอาจารย์เท่านั้น จึงสามารถมาสนทนากับหลวงปู่ได้ ไม่ใช่สมบัติของข้าพเจ้าเลย
ขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และขอขมาลาโทษต่อพระอาจารย์จวนที่ได้ตัดข้อความบางข้อความออกกลัวจะยาวเกินไป แต่คงข้อความเดิมทุกประการ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th