|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คนมืดมน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ม.ค. 2006, 12:29 am |
  |
1. พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า " สัตว์มนุษย์มีกายและจิตเป็นที่ตั้ง " หมายความว่าอย่างไรครับ ?
2. กายกับจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เรื่องของจิตมนุษย์ เป็นเรื่องนามธรรมจับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน แล้วอะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่า ดวงจิตของมนุษย์เท่าที่เรารู้กันมามีอยู่จริงๆ แล้วถ้ามนุษย์เราไม่มีดวงจิตจะเป็นยังงัยครับ ?
 |
|
|
|
|
 |
Noname
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ม.ค. 2006, 9:16 am |
  |
ไฟจุดติด ไฟดับหาย ไฟจุดติด ไฟดับหาย  |
|
|
|
|
 |
copyma
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ม.ค. 2006, 10:44 am |
  |
1. สภาพธรรมในพุทธศาสนามี 2 อย่าง คือ ธาตุรู้ กับสิ่งที่ไม่ใช่ธาตุรู้ ดิน น้ำ ลม ไฟเ ป็นสิ่งที่ไม่รู้อะไร การรับรู้ทั้งหกเป็นธาตุรู้ที่รับรู้สิ่งต่างๆ ได้ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราต่างกับซากศพที่มีอวัยวะในการรับรู้ครบทุกอย่างเหมือนกับที่คนเป็นมี
การมีชีวิตแบบฆราวาส ก็พยายามศึกษาและปฏิบัติ กายและจิต ในอันที่จะเดินออกจากความทุกข์ ในวัฏฏสงสารไปด้วย นี่ก็เป็นไปได้ เพราะที่จริงธรรมะนั้นมีอยู่ในทุกสิ่ง มีอยู่ในทุกอย่างมีอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำและทุกความคิด หากทราบวิธีที่จะนำธรรม มาใช้ ซึ่งก็คือการฝึกมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อมในทุก ขณะจิต ในชีวิตประจำวัน ดังที่ครูบาอาจารย์เคยบอกไว้ว่าที่แท้จริง โลก ก็คือเรา คือ กายที่ยาววาหนาคืบกว้างศอกและจิต ของเราแต่ละคนนี้เอง อันนี้ หากได้ลองมาฝึกฝนกายและใจตามแนวสติปัฏฐานดู ก็จะสามารถ เข้าใจแจ่มแจ้งได้ด้วยตนเองว่าทำไมครูบาอาจารย์จึงบอกกล่าวไว้เช่นนี้ ธรรมก็อยู่ที่กายนี้ใจนี้ของเราแต่ละคนเอง ไม่ได้ไปอยู่ภายนอกที่ไหน ดังนั้น ครูบาอาจารย์จึงบอกว่า เมื่อเราปฏิบัติธรรม (คือมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม) กายเราก็เป็นวัด จิตเราก็เป็นวัด อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด อยู่ที่บ้าน บ้านก็กลาย เป็นวัด
........................................................................................................................
2. เนื่องจากการรับรู้ทางใจนั้นเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด และสำคัญที่สุดทางหนึ่ง จิตจึงเป็นสิ่งที่เป็นใหญ่ในการรู้ จิตรู้ทุกอย่างจากทวารทุกทาง และจดจำไว้ จิตเป็นที่สั่งสมกรรมทุกอย่าง ทั้งกุศลและอกุศลโดยอัตโนมัติ อาจทำให้เราเร่าร้อนด้วยความโกรธ หนาวสั่นด้วยความกลัว เขินอายด้วยความประหม่า และซีดสลดด้วยความเศร้า จิตเป็นธาตุรู้
ประสาทรับรู้เป็นสิ่งที่ทำให้คนตาดีต่างกับคนตาบอด คนหูดีต่างกับคนหูหนวก ฯลฯ จิตทำให้คนที่หลับสนิทหรือคนที่อยู่ในภาวะสลบไสลไม่รู้สึกตัวต่างกับคนตาย จิตเป็นสิ่งที่รับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ ตลอดจนความนึกคิด จิตยังเป็นที่สั่งสมกรรมกิเลสตลอดเนื่องมาทุกภพทุกชาติมาจนถึงชาติปัจจุบัน และจนถึงชาติต่อๆ ไป เมื่อภพชาติหนึ่งสิ้นสุดไปก็จะมีภพชาติใหม่เกิดขึ้น
คนตายไม่มีจิต จึงไม่มี ความรู้สึก เจ็บ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ลองพิสูจน์โดยเอามีดไปจิ้มคนตายดู
|
|
|
|
|
 |
เขม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ม.ค. 2006, 9:29 am |
  |
ตอบข้อ 2 ก่อน เมื่อเข้าใจข้อ 2 แล้วก็เข้าใจข้อ 1ได้ไม่ยาก
ถามว่า (ถ้ามนุษย์เราไม่มีดวงจิตจะเป็นยังงัยครับ ?)
ตอบว่า 2. ถ้ามนุษย์ไม่มีจิต ก็ คือ คนตาย
ดูคาถาบาลีดังนี้ครับ
อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวึง อะธิเสสสติ
ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง.
แปลว่า ไม่นานหนอ ร่างกายนี้ ถูกทอดทิ้งแล้ว ปราศจากวิญญาณแล้ว
จักนอนทับแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ซึ่งหาประโยชน์มิได้.
ถามว่า (อะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่า ดวงจิตของมนุษย์เท่าที่เรารู้กันมามีอยู่จริงๆ)
..รู้ได้ไม่ยาก
ถามว่า คุณคิดเรื่องราวต่าง ๆ ไหม
ตอบว่าคิด ความคิดนั้นแหละท่านเรียกว่า จิต (ผู้คิด) คุณจับความคิดได้ไหม จับไม่ได้ นั่นเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้มองด้วยตาไม่เห็น
1. กาย (รูปธรรม) มองเห็นได้ จับต้องได้ เป็นที่ตั้งอาศัยของจิต
มีบาลีว่า ผู้ใดจักสำรวมจิตที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง
มีถ้ำ (คือกายนี้) เป็นที่อาศัย ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร.
กายกับจิตทำงานร่วมกันสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งดังที่คุณเขาใจ.
|
|
|
|
|
 |
pongsakorn28287
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 พ.ย. 2004
ตอบ: 42
ที่อยู่ (จังหวัด): จ.เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
27 ม.ค. 2006, 12:01 pm |
  |
|
   |
 |
วิศรุต
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 ม.ค. 2006
ตอบ: 6
|
ตอบเมื่อ:
28 ม.ค. 2006, 11:17 am |
  |
ถ้าอยากรู้จริง
ต้องปฏิบัติ
แล้วจะรู้เอง |
|
|
|
    |
 |
copyma
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 ม.ค. 2006, 12:51 pm |
  |
ธรรมดาการศึกษาทั้งหลายในโลก ย่อมต้องมีชั้นประถม, มัธยม, อุดม ฉันใด การศึกษาในพระพุทธศาสนา อันได้แก่ ปริยัติ ก็ย่อมต้องมีชั้นประถม, มัธยม, อุดม ก็ฉันนั้น ฉะนั้น การนับจำนวนจิต-เจตสิก-รูป-นิพพานนี้ ก็เพื่อให้รู้ถึงปรมัตถ์สัจจะ ซึ่งเป็นชั้นประถม ในขณะนับอยู่นั้น ก็เป็นอันว่าได้ท่องบ่น ทรงจำเอาพระธรรม คือ พระปรมัตถ์เอาไว้ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจว่า อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม เป็นจิตตานุปัสสนา ธัมทมานุปัสสนา ประเภทสุตมยปัญญา ถ้าหากว่ามีบารมีแก่กล้ามาก ก็อาจให้สำเร็จมรรคผลในขณะนั้นได้ ถ้ามิได้มีปัญญาบารมีแก่กล้ามาก เมื่อปรารถนาจะได้มาซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ อัครสาวก มหาสาวกโพธิญาณแล้ว ก็ปรารถนาให้สำเร็จได้ตามความประสงค์ และเป็นการสั่งสมปัญญาบารมี เอาไว้ในภายภาคหน้า เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์เวลาใด ก็จะได้เป็นพระอรหันต์ ที่ประกอบด้วย ฉฬภิญญา เตวิชชา ปฏิสัมภิทาปัตตะ หาใช่เป็นพระอรหันต์ธรรมดาไม่ การยกสังคายนา ก็ต้องอาศัยพระอรหันต์จำพวกท่านเหล่านี้ เข้าที่ประชุม เพราะอำนาจแห่งการศึกษามาโดยลำดับ แต่ต้นนั่นเอง จึงจะเป็นการสังคายนา ที่มีหลักฐานมั่นคง หาใช่อาศัยพระอรหันต์ธรรมดาไม่ อุปมาเหมือนกับการปลูกบ้านต้องลงเสา เทรากให้ดีเสียก่อน บ้านจึงจะต้านทานต่อลมฝนพายุได้ฉันใด พระปริยัติศาสนา ก็ต้องศึกษามาแต่ต้น คือต้องนับปรมัตถธรรมให้รู้ จำให้ได้ถูกต้องเสียก่อนก็ฉันนั้น จริงอยู่อาจจะมีผู้กล่าวว่า ไม่ต้องนับก็ได้ มิเห็นจะจำเป็นอะไรเลย ข้อนี้ขอตอบว่า ได้เหมือนกัน แต่ความรู้ของท่านผู้นั้นไม่แน่นแฟ้น อาจตอบปัญหาให้สมบูรณ์ถูกต้องไม่ได้ เหมือนกับผู้ที่ศึกษามาตามลำดับ http://www.buddhism-online.org/FAQ.htm
...................................
=ชีวิตคืออะไร=
ตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาการทางโลกนั้น สิ่งมีชีวิตหมายถึง สิ่งที่เจริญเติบโตได้ กินอาหารได้ เคลื่อนไหวได้ และสืบพันธุ์ได้ ซึ่งนอกจากจะหมายถึง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายแล้ว ยังหมายถึงพืชอีกด้วย แต่ในพระอภิธรรมนั้น ให้คำจำกัดความของชีวิตไว้ว่า ชีวิต คือความเป็นอยู่ของร่างกาย จิตและเจตสิก โดยอาศัยกรรมเป็นผู้นำเกิด และตามรักษาดำรงชีวิตและกระทำการต่าง ๆ ได้โดยอาศัยจิต และเจตสิกเป็นผู้กำกับ http://www.buddhism-online.org/Section02A_01.htm |
|
|
|
|
 |
copyma
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 ม.ค. 2006, 1:04 pm |
  |
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |