Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทฤษฎีธรรมนั้นเปรียบได้ดั่งขยะสำหรับผู้บรรลุ ฟังครั้งแรกก็รู อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2006, 10:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จุดหมายของการศึกษาธรรมคือการบรรลุธรรม หรือ เข้าถึงวิมุตติสุข (สุญญตา,ความสุขจากความว่างสงบ) เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว แผนที่เดินทางก็หมดความจำเป็น เปรียบเหมือนดั่งกองขยะดีๆนี่เอง ผู้ใดได้ยินได้ฟังแล้วอย่าเพิ่งโกรธไปแต่ขอให้เข้าใจว่า ประโยคนี้คือคำของผู้ที่บรรลุวิมุตติแล้วนั่นเอง



พระที่ได้วิมุตติแล้วนั้น จะถูกเรียกว่าพระอรหันตสาวก ( เฉพาะผู้ที่บวช ) ถือว่าเป็นผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลสอาสวะทั้งปวง ไม่มีการเกิดตัวทุกข์อีก แต่เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีเหนือกว่านี้อีก ก็คือ บุคคลจำพวกที่ละวิมุตติสุขทิ้งเสีย ออกเผยแพร่พระธรรม ตั้งจิตไปที่การบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อที่จะกลับมาเกิดในโลกธาตุแสดงธรรมโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ นับว่าเป็นความเมตตากรุณาอย่างสูงส่งเลยทีเดียว



ดังนั้นแล้ว ท่านที่บรรลุทั้งหลายโดยมากจะกลับมาศึกษากองขยะอีก ศึกษาด้วยความเป็นตถตา ตถตาถ้าจะพูดให้สมบูรณ์ก็คือวิธีการกระทำของพระอรหันต์นั่นเอง ศึกษาจนรู้สำเร็จลึกซึ้งทุกระดับแล้วก็นำไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นเข้าใจ เป็นการสะสมบุญบารมีเพื่อที่จะได้บรรลุเป้าประสงค์ ( อิทธิฤทธิ์ที่ได้มาก็คงเป็นเพราะผลจากการนี้ )



ท่านเว่ยหลางกล่าวไว้ว่า สิ่งมีชีวิตทั้งปวงล้วนสามารถเข้าถึงจิตดั้งเดิมแท้ได้ ( วิมุตติสุข,จิตบริสุทธ์,สุญญตา ) พวกเราชาวพุทธจึงถือได้ว่าโชคดีที่ได้ฟังทางลัดสำเร็จเร็วจากพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเสียเวลาสะสมบุญความดีเป็น 10 ชาติ 100 ชาติ เพื่อการบรรลุด้วยตนเอง



คุณผู้อ่านคิดอย่างไรบ้างเชิญชี้แจงแจ้งให้ฟัง ขอบคุณหลายๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2006, 2:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



.....ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น จะรู้ได้ก็ด้วยการฝึกตนด้วยวินัยอันเคร่งครัดเป็นเวลานาน ต้องอดทนต่อสิ่งที่อดทนได้ยาก และด้วยการปฏิบัติสิ่งที่ปฏิบัติได้ยาก คนที่มีบารมีและมีปัญญาไม่ถึงก็จะไม่เห็นธรรมนั้น คนเช่นนั้นถึงจะพยายามอย่างไรก็ไม่ได้ผล..... เซน.....ท่านโพธิธรรม.....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
เขม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2006, 7:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การจะมองให้ทะลุถึงแก่นได้ก็ต้องมองเปลือกฯลฯ มาก่อนแล้วด้วย



ยกตัวอย่าง เรารู้จักศาสนาพุทธ นับถือมาแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เรารู้จักจากทฤษฎีก่อน หรือรู้แก่นมาก่อน



เรารู้จากภายนอกมาก่อน ขั้นแรกเลยอาจเป็นพิธีกรรม แล้วก็ค่อยๆ มาเรียนรู้คำสอนจากตำรา รู้ตำราพอสมควรแล้ว จึงลงมือปฏิบัติ เป็นขั้น ๆ มาอย่างนี้



เหมือนเรามองต้นไม้ เราเห็นเปลือกก่อน แล้วค่อยๆมองลึกลงไปๆ จนถึงแก่น.....



ต้นไม้ทั้งต้นมีความสำคัญทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นเปลือกเป็นใบเป็นกะพี้ มีความสำคัญทั้งนั้น...



ครูจบปวส. สอนเรา แล้วครูก็สอนอยู่แค่นั้น ส่วนตัวเราจบปวส. แล้ว เรียนต่อไปเรื่อย ๆ จนจบปริญญาเอก ครูคนนั้นไม่มีบุญคุณต่อเราเลยหรอ ไม่มีความสำคัญเลยหรอ



เราไม่รักและเคารพครูคนนั้นของเราเลยหรอ



.

 
เขม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2006, 7:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกนิดยังไม่สมบูรณ์



พระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้เป็นศาสดาเองในโลกแล้ว ทรงเปรียบพระองค์เองว่า เหมือนไก่ตัวแรกที่เจาะกะเปาะฟองไข่ออกมาก่อนใคร ควรเรียกว่า เป็นพี่ แต่พระองค์ก็ไม่ ทนงตนว่า เป็นพี่ใหญ่ แต่ทรงหาที่พึ่งว่าใครหนอจะเป็นที่พึ่งของเรา เราการอยู่โดยไม่มีที่พึงเลยเป็นอยู่ได้โดยยาก มอง ๆ หาก็ไม่เห็นใคร (ที่เป็นบุคคล) ทรงเห็นแต่ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั้นแหละ จึงปลงพระทัยว่า พระธรรมนั้นแหละจะเป็นที่พึ่งของเรา



พระธรรมก็มีทั้งโลกียะและโลกุตตระ.........



พระองค์ทรงสอนธรรมให้เหมาะแก่วัยแก่ความรู้สติปัญญาของผู้ฟัง ฯลฯ

เพราะเหล่าชนท่านเปรียบเหมือนดอกบัว 4 เหล่าแล
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง