Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สรุปๆ .......... (2) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ดำจังแก ^_^
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ธ.ค.2005, 11:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ใดสนใจจะสนทนาธรรมก็ โทร. (๐๓๖)๓๓๓๖๙๕ ได้ตลอดทั้ง ๒๔ ชม......อ.กตธุโร



มีสติดูจิตคิดอะไรจิตจะมาจะไปก็ให้เห็น

จิตจะขึ้นจะลงปลงให้เป็น ให้ตามเห็นตามดูอยู่ทุกวัน

แล้วมาดูสติซิของใคร ประเดี๋ยวมีประเดี๋ยวหายใครจัดสรร

ดูกันมาดูกันไปของใครกัน ไม่ใช่ของใครทั้งนั้นก็หยุดดู

ดูอะไรๆก็ไม่มี ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้มีแต่รู้

ถ้าปล่อยให้มันว่างต่างไม่ดู ทั้งตัวรู้ตัวดูก็หายไป



เมื่อหมดตัว มันเลิกกลัว หมดทุกสิ่ง

ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ให้ไต่ถาม

มันมองเห็น เป็นเพียงรูป เป็นเพียงนาม

มันไม่ตาม มันไม่ถอย ลอยไปไหน



จิตที่พ้นภาวะสละออก

สุดจะบอกอธิบายให้ใครรู้

ไม่เหมือนลิเกละครฟ้อนให้ดู

สบายอยู่ว่างอยู่รู้ตนเอง



ช่วยกันหน่อยช่วยกันหน่อยค่อยๆดู

ว่าตัวกูกายกูอยู่ตรงไหน

ถ้าไม่มีไม่เห็นไม่เป็นไร

ถึงดูไปก็จะรู้กูไม่มี



ถ้าไม่มีตัวเราเขาก็ว่าง

เพราะว่าเราเข้าไปขวางว่างไม่ได้

ก็เพราะเราสร้างเราไม่เข้าใจ

จิตจึงได้หลงไหลว่ามีเรา



ต้องว่างจากตัวตนจึงพ้นทุกข์

ต้องว่างจากความสุขสนุกสนาน

"ต้องว่างจากรู้จากเห็นเป็นนิพพาน"

"ต้องว่างจากว่างทุกด้านสู่ธาตุเดิม"



เราไม่ได้เกิดมาน่าจะรู้

เรามาตู่โลกเขาเป็นเราได้

ถ้าใครรู้อย่าฝืนคืนเขาไป

แล้วจะอยู่สบายไม่มีเรา



ใครจะด่าจะชมอารมณ์รื่น

ไม่ต้องฝืนไม่ต้องข่มอารมณ์ไว้

เพราะมันเป็นมายาทุกคราไป

ไม่มีอะไรให้โง่ตอบโต้กัน...



กายใจไม่ใช่ตนถ้าพ้นได้

กายใจไม่มีอยู่รู้ไว้ด้วย

กายจิตคิดว่ามีนี้แหละซวย

รู้ไว้ด้วยมันว่างอย่างไม่มี...



มันไม่มีอะไรอยู่ในว่าง

แต่มันมีอยู่อย่างคือตัวเห็น

ใครที่เห็นเห็นรู้ก็ดูเป็น

ใครหมดเห็นหมดรู้อยู่สบาย



จิตนั่นแหละคือธรรมจำเอาไว้

ถ้าเห็นจิตเห็นใจอะไรเหลือ

เหมือนเอาเกลือแช่น้ำแล้วตามเกลือ

สิ่งที่เหลือให้เห็นเป็นมายา



จิตนั่นแหละคือธรรมและความว่าง

อย่ามัวสร้างมัวคิดให้จิตบ้า

ไม่ต้องหลบปรากฏการณ์ให้มันมา

xxxตัวคิดตัวบ้าจะหนีไป



ขันธ์ห้าเป็นของว่างวางไว้ก่อน

แล้วมาย้อนคิดค้นเป็นคนหรือ

หรือเป็นคนแค่กล่าวแบบข่าวลือ

เลยเสียชื่อไม่พ้นว่าคนจริง



จิตไม่มีรูปร่างแต่สร้างได้

ไม่มีมามีไปไร้ทุกสิ่ง

เป็นสิ่งเดียวกับธาตุประหลาดจริง

จิตนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย



กิเลสหมดมันหยุดและพูดน้อย

มันจะคอยแต่ฟังนั่งเฉยๆ

ถึงจะพูดเพื่อก่อแล้วพอเลย

แล้วก็เฉยรับรู้กูไม่มี



ขอให้ดูตัวกูอยู่บ่อยๆ

มากหรือน้อยให้เห็นเป็นนิสัย

ถ้าตัวกูยังมีในที่ใด

จะสร้างทุกข์มากมายให้ทุกคน



ต้องฟอกจิตให้สะอาดขาดจากจิต

อย่าให้ติดอะไรในโลกนี้

จิตต้องทิ้งทุกสิ่งได้ใดๆมี

แม้แต่จิตอันนี้ก็ละวาง



ภาษาโลกภาษาธรรมต้องกล้ำกัน

ต้องแบ่งสันเวลาเอามาใช้

รู้ทุกอย่างจนหมดรู้อยู่ที่ใจ

โลกและธรรมสมมุติไว้ให้ใช้กัน



ต้องทำตัวทำตนให้พ้นค่า

ไม่มีใครไปมาเพราะค่าหาย

พอไร้ค่าจากคนพ้นอบาย

จะมีค่ามากมายเมื่อไร้คน



ถ้าดูใจติดต่อยังพอเห็น

ตามกฏเกณฑ์ที่เสนอเผลอไม่ได้

เมื่อใดเผลอเป็นอัตตาจะพาไป

จึงดูใจไม่ใช่กูอยู่ประจำ



มันไม่มีอะไรจะให้กล่าว

มีแต่เรื่องเปล่าๆในโลกนี้

ถ้าใครติดใครงงหลงว่ามี

ก็เป็นเรื่องที่มีไปเกิดตาย

แม้แต่เรื่องไม่มีนี้ก็ติด

หมดสิทธิ์ที่จะไปนิพพานได้

จะต้องทิ้งให้หยุดหลุดที่ใจ

แล้วก็ทิ้งสุดท้ายใจไม่มี





แม้แต่เรื่องไม่มีนี้ก็ติด

หมดสิทธิ์ที่จะไปนิพพานได้

จะต้องทิ้งให้หยุดหลุดที่ใจ

แล้วก็ทิ้งสุดท้ายใจไม่มี



ดินอยู่เฉยไม่เคยจะมีเรื่อง

น้ำไม่เคืองผู้ใดและใฝ่หา

ลมไม่เคยทุกข์ร้อนตอนพัดพา

ไฟไม่เคยคิดบ้าฆ่าตัวเอง

พอดินน้ำไฟลมผสมขึ้น

ก็ลุกยืนต่อสู้ว่ากูเก่ง

สู้ไม่ได้หมดค่าฆ่าตัวเอง

ที่อวดเก่งนั้นใครให้ไปดู



ให้มองจิตปัจจุบันนั้นดีๆ

มันก็ว่างทุกทีมีที่ไหน

มันว่างมาแต่แรกไม่แปลกใจ

แต่ทำไมหลงคิดว่าจิตมี



ให้มองกายธาตุสี่นี้ดูบ้าง

ที่มันสร้างขึ้นนี้หามีไม่

มันก็ว่างเหมือนจิตถ้าคิดไป

ที่หลือไว้แต่ว่างอยู่อย่างเดียว



ให้ฟังเสียงระฆังยังไม่ตี

เสียงมันมีไม่มีไม่ต้องถาม

ถ้าจิตหยุดดับลงทุกโมงยาม

มันหยุดถามหยุดปรุงยุ่งหมดไป



ให้ฟังเสียงระฆังยังไม่ตี

มันเงียบฉี่สนิทจิตก็หาย

ทั้งตัวตนคนสัตว์สลัดไกล

ที่เหลือไว้คือว่างอย่างนิพพาน



ไม่มีเราในคนพ้นเด็ดขาด

ไม่มีเราในธาตุขาดสูญหาย

ไม่มีเราในธรรมย่ำเกิดตาย

ไม่มีเรามาไปบนโลกเลย



มันเป็นมันจริงๆทิ้งเราได้

มันเป็นมันเกิดตายไปเฉยๆ

มันเป็นมันไม่มีเราที่กล่าวเลย

มันเป็นมันตั้งเสียเคยให้เป็นเรา



ทั้งมันเราก็เปล่าๆและปลี้ๆ

จึงไม่มีสิ่งใดจะให้กล่าว

หมดทุกสิ่งทุกอันทั้งมันเรา

จะต้องกล่าวไปไยไปนิพพาน



จิตของอริยะที่ละแล้ว

จะผ่องแผ้วบริสุทธิ์ดูผุดผ่อง

กิเลสไม่ฟูมฟักและหมักดอง

แต่คนมองไม่รู้ดูเหมือนคน



ถ้าจิตเป็นอนัตตาดังว่าไว้

จะยึดจิตทำไมให้สับสน

จิตจะมีไม่มีอยู่ที่คน

ถ้าใครพ้นจิตได้ไม่ไปมา



(โดย อ.กตฺธุโร)
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2005, 7:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





สาธุด้วยครับ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สอดแนม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2005, 10:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ไม่ต้องทำอะไร"



อาจารย์ครับผมมีปัญหาคาใจอยู่ไม่แจ่มแจ้งจากใจเลย คำว่าไม่ต้องทำอะไรกับการเรียนธรรมะของอาจารย์นั้นช่วยขยายให้กระจ่างหน่อยเถอะอาจารย์ อาจารย์ว่าถ้าขยายมันก็ไม่ใช่เซนน่ะซี อาจารย์สอนเซนก็ให้ตรงแน่วไปสู่จิตหนึ่งเท่านั้น เถอะน่า! ไม่ต้องเซนสักครั้งไม่ได้เลยหรือ เป็นพิเศษก็แล้วกันหนอ ครับๆดีครับ ตัวจิตปัจจุบันประจำขันธ์ห้านี้จริงๆมันว่างอยู่รู้อยู่ พอปรุงเป็นความคิดขึ้นมันก็เกิด-ตายขึ้นเป็นกรรมทันที ดีหรือชั่ว ชอบไม่ชอบ มันเลยบังจิตเดิมเขาเสีย เลยไม่เห็นหน้าเดิมเพราะหน้าเดิมเขาว่างอยู่ประจำอยู่แล้ว ยามใดไม่คิดปรุงแต่งอะไรมันไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะจิตปัจจุบันมันว่างเลย เป็นว่างพร้อมกับว่างเดิมเขา จึงไม่ต้องไปทำอะไรเลยไงล่ะ แต่ถ้าขยับขึ้นนิดเดียวก็บังทันที จึงต้องแบมือทั้งสองข้างเสีย เลยว่างไม่ต้องยึดอะไรๆไงล่ะ ครับอาจารย์เที่ยวนี้แจ่มจริง

ขอบพระคุณอาจารย์มากเลยครับ



อ.กตธุโร...
 
ลาดตะเวน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2005, 11:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปฐมพุทธพจน์



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ เราด้วยและเธอทั้งหลาย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน คือ เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดซึ่ง ทุกข์....เหตุแห่งทุกข์....ความดับทุกข์....ข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ เราด้วย และเธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราด้วยและเธอทั้งหลายด้วยได้ตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้วซึ่งอริยสัจ ๔ ประการ...ตัณหาในภพขาดสูญแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพใหม่สิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี "(1)



สังสารวัฏฏ์



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯลฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นไปบนอากาศ บางคราวก็ตกลงทางโคน บางคราวก็ตกลงทางขวาง บางคราวก็ตกลงทางปลาย แม้ฉันใดสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ก็ฉันนั้นแล บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุใด เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้...(2)

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ กัปหนึ่งนั้นนานมาก มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่าเท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือว่าเท่านี้ ๑๐,๐๐๐ ปี ..ฯ ดูก่อนภิกษุ เหมือนอย่างว่า ภูเขาหินลูกใหญ่ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบทั้งก้อน บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสีมาปัดภูเขาลูกนั้น ระยะเวลาที่ปัด ๑๐๐ ปีต่อครั้ง ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงหมดไป สิ้นไป เพราะความพยายามนี้ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงกาลหมดไป สิ้นไป ระยะกัปนานอย่างอย่างนี้แล

บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วในวัฏฏสงสาร มิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่แสนกัป... ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ เพียงพอแล้ว ที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพียงพอเพื่อจะละคลายความกำหนัด เพื่อก้าวไปสู่ความหลุดพ้น..."(3)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอทั้งหลาย ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ โดยกาลนานนี้แหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา...ของพี่ชาย น้องชายพี่สาวน้องสาว...ของบุตรธิดา ...ความเสื่อมแห่งญาติ...ความเสื่อมแห่งโภคะ ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรคตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอนั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ เพียงพอแล้ว ที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพียงพอเพื่อจะละคลายความกำหนัด เพื่อก้าวไปสู่ความหลุดพ้น ดังนี้ ฯ..."(4)



สิ่งที่ปรารถนาได้ยาก



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้มีน้ำเอ่อล้นเต็มไปหมด บุรุษโยนแอกมีช่องเดียว(ลักษณะคล้ายๆบ่วง) ลงไป ลมในทิศตะวันออกพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศตะวันตก ลมทิศตะวันตกพัด เอาไปทางทิศตะวันออก ลมทิศเหนือพัดเอาไปทางทิศใต้ ลมทิศใต้ พัดเอาไปทางทิศเหนือ เต่าตาบอดตัวหนึ่งจะโผล่ขึ้นมาหนึ่งครั้งต่อ ๑๐๐ ปี เธอทั้งหลายจะสำคัญข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้นซึ่งในระยะเวลา ๑๐๐ ปี มันจะโผล่ขึ้นมาคราวหนึ่ง ...เมื่อโผล่แล้วจะสามารถสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวนั้นได้บ้างหรือไม่หนอ ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่เต่าตาบอด...จะสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวนั้นเป็นของยากพระเจ้าข้าฯ”

“ ฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก การที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกที่เป็นของยาก ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลก ก็เป็นของยาก ความเป็นมนุษย์นี้เธอได้แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นแล้วในโลก และพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วก็เจริญรุ่งเรืองอยู่แล้วในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ” (5)

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง