ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
นายอยากรู้
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2005, 4:39 pm |
  |
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
12 ธ.ค.2005, 1:02 am |
  |
เทววิทยา (Theology) เป็นปรัชญาสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างพระเป็นเจ้ากับโลก บางตำราเสริมว่า เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างพระเป็นเจ้า มนุษย์และโลก แต่บางตำราเพิ่มเติมว่า หัวข้อของเทววิทยาคือ พระเป็นเจ้า, มนุษย์, โลก, ความปลดปล่อย และ Eschatology (การศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์สุดท้ายในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ) โดยที่แนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเป็นเจ้ากับโลก มี ๔ ลัทธิ คือ
๑. เทวัสนิยม (Deism) หมายถึง ทรรศนะที่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้า (God) ผู้สร้างโลกอยู่จริง แต่เมื่อสร้างแล้วไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกอีกในบางกรณี มีผู้ใช้คำนี้ หมายถึง ความเชื่อที่ว่า มีพระเป็นเจ้า แต่พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างโลกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลก
๒. สรรพเทวนิยม (Pantheism) หมายถึง ทรรศนะที่ถือว่า พระเป็นเจ้า (God) คือทุกสิ่ง และทุกสิ่ง คือพระเป็นเจ้า (God is all and all is God.)
๓. เทวนิยม (Theism) หมายถึง ทรรศนะที่เชื่อว่า พระเป็นเจ้า (God) มีจริง ทรงเป็นผู้สร้างและคุ้มครองโลก และทรงไว้ซึ่งอัพภันตรภาพ/อยู่ในโลก (Immanence) และอุตรภาพ /อยู่เหนือโลก(Transcendence)
๔. สากลเทวนิยม (Panentheism) หมายถึง ทรรศนะที่เชื่อว่า สิ่งทั้งปวงอยู่ในพระเป็นเจ้า แต่พระเป็นเจ้าไม่ใช่สิ่งทั้งปวง (All is in God (pan all, en-in, theos-God) but God is not all (pan-all, theos-God).
ความคิดเรื่องการมีอยู่ของโลกมักจะเชื่อมโยงกับการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า ศาสนาประเภทเทวนิยม (Theisitic Religions) เชื่อและยอมรับการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าในฐานะเป็นมูลการณ์หรือปฐมเหตุ (The First Cause) คือ เป็นผู้สร้างโลก สรรพสัตว์ และสรรพสิ่งในฐานะพระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาชีวิตภาคปฏิบัติ (Practical Philosophy of Life) คือ เป็นระบบความรู้ ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์
ซึ่งปฏิบัติตามความรู้นั้น แม้ว่าจะปฏิเสธถึงการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า แต่คัมภีร์พระพุทธศาสนาได้ให้ข้อมูล แนวคิดเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าของบุคคลในยุคนั้น ท่าทีที่มีต่อพระเป็นเจ้า ข้อผิดพลาดในความเชื่อเรื่องพระเป็นเจ้าไว้อย่างเพียงพอพระพุทธศาสนายอมรับเพียงแต่ความมีอยู่ของเทพเจ้า ซึ่งมหาพรหมที่เข้าใจกันว่าเป็นพระเป็นเจ้า ก็รวมอยู่ในเทพเจ้าด้วย เทพเจ้าเหล่านั้น ดำรงฐานะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏเช่นเดียวกันกับสัตว์โลกทั้งมวล |
|
|
|
   |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
12 ธ.ค.2005, 1:06 am |
  |
พระพุทธศาสนาแสดงเทพเจ้าไว้ ๓ ประเภท คือ
๑. สมมติเทพ เทพเจ้าโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระราชินี พระราชกุมาร และพระราชกุมารี
๒. อุปปัตติเทพ เทพเจ้าโดยกำเนิด แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๒.๑ เทพเจ้าชั้นกามาวจร (ผู้ยังเกี่ยวข้องกับกาม) มี ๖ ชั้น คือ
๒) ดาวดึงส์
๓) ยามา
๔) ดุสิต
๕) นิมมานรดี
๖) ปรนิมมิตวสวัตดี
๒.๒ เทพเจ้าชั้นรูปาวจร (รูปพรหม) มี ๑๖ ชั้น คือ
1) พรหมปาริสัชชา พวกบริษัทบริวารมหาพรหม
2) พรหมปุโรหิตา พวกปุโรหิตมหาพรหม
๓) มหาพรหมา พวกท้าวมหาพรหม
๔) ปริตตาภา พวกมีรัศมีน้อย
๕) อัปปมาณาภา พวกมีรัศมีประมาณไม่ได้
๖) อาภัสสรา พวกมีรัศมีสุกปลั่งซ่านไป
๗) ปริตตสุภา พวกมีลำรัศมีงามน้อย
๘) อัปปมาณสุภา พวกมีลำรัศมีงามประมาณมิได้
๙) สุภกิณหา พวกมีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า
๑๐) เวหัปผลา พวกมีผลไพบูลย์
๑๑) อสัญญีสัตว์ พวกสัตว์ไม่มีสัญญา
๑๒) อวิหา ผู้คงอยู่นาน
๑๓) อตัปปา ผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร
๑๔) สุทัสสา ผู้งดงามน่าทัศนา
๑๕) สุทัสสี ผู้มองเห็นชัดเจนดี
๑๖) อกนิฏฐา ผู้สูงสุด
๒.๓ เทพเจ้าชั้นอรูปาวจร (อรูปพรหม) มี ๔ ชั้น คือ
๑) อากาสานัญจายตนภูมิ ชั้นของผู้ที่เข้าถึงภาวะมีอากาศไม่มีที่สุด
๒) วิญญาณัญจายตนภูมิ ชั้นของผู้ที่เข้าถึงภาวะมีวิญญาณไม่มีที่สุด
๓) อากิญจัญญายตนภูมิ ชั้นของผู้เข้าถึงภาวะไม่มีอะไร
๔) เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ชั้นของผู้เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่พระเป็นเจ้า ซึ่งมีผู้เข้าใจกันว่า คือ มหาพรหมในฐานะเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ จัดอยู่ในเทพเจ้าขั้นรูปาวจรด้วย
๓. วิสุทธิเทพ เทพเจ้าโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย
นิรุกติศาสตร์ของคำว่า พระเป็นเจ้า ในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา ซึ่งเป็นคัมภีร์ประเภทพจนานุกรมภาษาบาลี ได้รวบรวมศัพท์ที่บ่งถึงพระเป็นเจ้า ไว้ดังนี้
๑. ปิตามโห หมายถึง สัตว์ผู้เป็นบรรพบุรุษของสัตว์โลก แปลตามศัพท์ คือ สัตว์ผู้เป็นปู่ของสัตว์โลกนั่นเอง
๒. ปิตา หมายถึง สัตว์ผู้ดำรงตนอยู่ในฐานะบิดาของสัตว์โลกทั้งมวล
๓. พฺรหฺมา หมายถึง สัตว์ผู้มีสรีระใหญ่
๔. โลเกโส หมายถึง สัตว์ผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์โลกทั้งหลาย
๕. กมลาสโน หมายถึง สัตว์ผู้เกิดในดอกบัว
๖. หิรญฺญคพฺโภ หมายถึงสัตว์ผู้มีคุณอันงดงาม แปลตามศัพท์คือสัตว์ผู้มีความงามดังทอง
๗. สุรเชฏฺโฐ หมายถึง สัตว์ผู้เป็นใหญ่กว่าเทพเจ้าทั้งหลาย เพราะมีคุณคือฌาน เป็นต้น
๘. ปชาปติ หมายถึง สัตว์ผู้เป็นเจ้าของหมู่สัตว์
๙. มหิสฺสโร หมายถึง ผู้ยิ่งใหญ่
๑๐. สิโว หมายถึง ผู้มีคุณอันประเสริฐ
๑๑. สูลี หมายถึง ผู้ถือหลาวเป็นอาวุธ
๑๒. อิสฺสโร หมายถึง ผู้เป็นใหญ่
๑๓. ปสุปติ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน
๑๔. หโร หมายถึง ผู้นำทุกสิ่งไป คือ ผู้เป็นใหญ่นั่นเองนอกจากนี้แล้ว ยังมีศัพท์ที่บ่งถึงพระเป็นเจ้าอีก เช่น อตฺตภู, ปรามฏฺฐิ, สยมฺภู, ปปิตามโห, สพฺพญฺญู ฯลฯ |
|
|
|
   |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
12 ธ.ค.2005, 1:15 am |
  |
ความหมายของพระเป็นเจ้า
คำว่า พระเป็นเจ้า ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า God มีความหมายแตกต่างกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดท่าทีของพระพุทธเจ้าที่มีต่อพระเป็นเจ้าได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ได้เข้าใจความหมายของศัพท์นี้เสียก่อน
The Concise Oxford Dictionary : พระเป็นเจ้า คือผู้เป็นใหญ่ยิ่ง, ผู้สร้าง และผู้ปกครองโลก (God : Supreme being, Creator and Ruler of the Universe)
The Book of Common Prayer : พระเป็นเจ้าคือผู้ทรงชีพและเป็นผู้แท้จริงชั่วกัลปาวสาน ไม่มีร่างกาย ไม่มีกิเลสตัณหา มีอำนาจ มีปัญญาและมีความดีไม่มีที่สิ้นสุด ผู้สร้างและผู้พิทักษ์สรรพสิ่งทั้งที่ ที่มองเห็นและมองไม่เห็น (There is but one living and true God, everlasting without body, parts or passions; of infinite power, wisdom and goodness, the Maker and Preserver of all things both visible and invisible
)
Websters New World Dictionary : พระเป็นเจ้า ในศาสนาเอกเทวนิยม คือ ผู้สร้าง และผู้ปกครองโลก ถือว่านิรันดร์, ไม่มีที่สิ้นสุด, ทรงอำนาจ และ สัพพัญญู, ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง (God : in monotheistic religions the creator and ruler of the universe regarded as eternal, infinite, all-powerful, and all-knowing, Supreme Being)
จากการศึกษาคำนิยามของพระเป็นเจ้าจากอาคตสถานต่าง ๆ พอสรุปได้ว่า พระเป็นเจ้าคือผู้สร้างโลก มีตัวตน ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง มีลักษณะคือสัพพัญญุตา (ความรู้สมบูรณ์) อำนาจอันล้นพ้นและความดีไม่สิ้นสุด
พระพุทธศาสนา : อเทวนิยม
พระพุทธศาสนาทั้งเถรวาท และมหายานเป็นอเทวนิยม คือ เชื่อว่าไม่มีพระเป็นเจ้า แต่นักปราชญ์ชาวตะวันตกบางคนยังพยายามหาหลักฐาน และเหตุผลสนับสนุนความชื่อที่ว่าพระพุทธศาสนานิกายมหายานเพิ่งมีขึ้น เมื่อตอนต้นคริสต์ศักราชและว่า ในมหายานนั้น พระพุทธเจ้าถูกนับถือว่าเป็นพระเป็นเจ้า ความเชื่อทั้ง ๒ ประการนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่าพระพุทธศาสนามหายานเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อคราวมีการสังคายนาครั้งที่ ๒ โดยมีพระสงฆ์ ซึ่งมีความคิดอิสระคณะหนึ่งไม่เห็นด้วยกับพระสงฆ์ที่อนุรักษ์คำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า โดยไม่ยอมเพิกถอนเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติใด ๆ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วประมาณ ๑๐๐ ปี จึงแตกแยกเป็น ๒ นิกาย คือ เถรวาท และ มหายาน รวมทั้งยังแตกแขนงเป็นนิกายสาขาย่อย ๆ ไม่พบว่า พระพุทธเจ้าถูกยกขึ้นเป็นผู้สร้างโลกแต่อย่างใด
พระปิยทัสสีเถระ (Ven. Piyadassithera) เสนอไว้ในหนังสือ The Buddhas Ancient Path ว่า
พระพุทธเจ้าทรงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งไม่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นใดเลย พระองค์ไม่ใช่ทรงเป็นทั้งพระเป็นเจ้า องค์อวตารของพระเป็นเจ้า หรือบุคคลทางเทพนิยาย พระองค์ทรงเป็นเพียงมนุษย์ แต่ทรงเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม มนุษย์มหัศจรรย์ ( อจฺฉริยมนุสฺส ) ในทางภายในหรือจิตภาพ พระองค์ทรงอยู่เหนือภาวะมนุษย์ธรรมดา แม้ว่าในทางภายนอกหรือกายภาพ พระองค์ทรงดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดา ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงทรงได้รับการขนานพระนามว่า มนุษย์ผู้มีเอกลักษณ์พิเศษ มนุษย์ผู้สูงสุด ( ปุริสุตฺตม )
ทำให้ย้อนนึกถึงคัมภีร์อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต มีดังนี้
พราหมณ์ผู้หนึ่ง ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพเจ้า
พระพุทธเจ้า : แน่ะพราหมณ์ เทพเจ้าเราก็จักไม่เป็น
พราหมณ์ : ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นคนธรรพ์
พระพุทธเจ้า : คนธรรพ์เราก็จักไม่เป็น
พราหมณ์ : ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นยักษ์
พระพุทธเจ้า : ยักษ์เราก็จักไม่เป็น
พราหมณ์ : ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นมนุษย์
พระพุทธเจ้า : มนุษย์เราจักไม่เป็น
พราหมณ์ : เมื่อเช่นนั้น ท่านผู้เจริญจะเป็นใครกันเล่า
พระพุทธเจ้า : นี่แน่ะพราหมณ์ อาสวะเหล่าใดที่เมื่อยังละไม่ได้ จะเป็นเหตุให้เราเป็นเทพเจ้า... เป็นคนธรรพ์... เป็นยักษ์... เป็นมนุษย์ อาสวะเหล่านั้นเราละได้แล้ว ถอนรากเสียแล้ว หมดแล้ว ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกต่อไป เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลก เติบโตขึ้นในโลก แต่เป็นอยู่เหนือโลก ไม่ติดกลั้วด้วยโลก ฉันนั้น นี่แน่ะพราหมณ์ จงถือเราว่าเป็น พุทธะ เถิด |
|
|
|
   |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
12 ธ.ค.2005, 1:24 am |
  |
พระพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม แต่ต้องไม่ลืมว่า อเทวนิยมแบบพระพุทธศาสนานั้น แตกต่างจากอเทวนิยมแบบวัตถุนิยม (Materialistic Atheism) ซึ่งปฏิเสธสันตติ (การสืบต่อ) กรรมวิบาก (ผลของการกระทำ) ความรับผิดชอบ คุณค่า และพันธะทางศีลธรรมและทางจิตใจ
นอกจากนั้น พระพุทธศาสนา มีรูปแบบเป็นอเทวนิยม ด้วยเหตุผลที่ว่า พระพุทธศาสนาปฏิเสธว่า โลกหรือเอกภพไม่ได้เป็นผลิตผลมาจากการสร้างสรรค์ของพระเป็นเจ้า ผู้สร้างโลกขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง และวางแผนทำลายสลายโลกไปในที่สุด จึงทำให้สอดคล้องกับคำสอนอื่น ๆ เช่น ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น ปฏิจจสมุปบาทสอนว่า สรรพสิ่งปรากฏในลักษณะเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ไม่มีปฐมเหตุ (The First Cause) การอ้างว่า มีพระเป็นเจ้าอยู่เหนือเหตุปัจจัยเหล่านั้น คือเป็นปฐมเหตุ สร้างเหตุปัจจัยจึงไม่ถูกต้อง
บ่อเกิดของความเชื่อเรื่องพระเป็นเจ้า
บ่อเกิดของความเชื่อที่มีต่อพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นรูปธรรม มีตัวตน มีองค์เดียวเป็นผู้สร้างและปกครองโลก มีปรากฏอย่างเห็นได้ชัดเจนจากพรหมชาลสูตร[ii] แห่งทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ผู้เขียนขอคัดพุทธวจนะมาเสนอไว้ ณ ที่นี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้พินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้ง บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้กลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฏว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานนั้นแต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสัน ความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหม เป็นสหายของสัตว์ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้น (คือ สัตว์ที่มาภายหลัง) ก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพสิ้นกาลยืดยาวช้านาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้นผู้ที่เกิดก่อนมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอาหาร เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ สัตว์เหล่านี้เรานิรมิต ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุที่ว่า เราได้มีความคิดอย่างนี้ก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้ และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้ แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้แล เป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอีศวร (อิสระ) เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ พวกเราอันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า พวกเราได้เห็นพระพรหมผู้เจริญนี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ที่เกิดก่อนมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณดีกว่า มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลัง มีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แลที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ (เกิดเป็นมนุษย์) เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสอาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยการประกอบเนือง ๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิตตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้ใดแลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอีศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ พระพรหมผู้เจริญใดที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้
เมื่อศึกษาพุทธวจนะในพรหมชาลสูตร จะพบนัยเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า ดังนี้
๑. มหาพรหม ซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าในที่นี้ตรงกับความเชื่อของลัทธิเอกเทวนิยม คือมีความเชื่อว่า มีพระเป็นเจ้าสร้างโลกเพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต
๒. ประเด็นที่ว่า มนุษย์ในโลกทราบว่า มีมหาพรหม และพระพรหมนั้นเป็นผู้สร้างพวกตนและสรรพสิ่ง ก็ด้วยอาศัยผู้ที่เคยอยู่ร่วมกับมหาพรหมในพรหมโลกมาก่อน ต่อมาจึงจุติจากพรหมโลกมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วบางคนออกบวชเป็นบรรพชิต บำเพ็ญสมาธิ จนกระทั่งได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ชาติก่อน เพียงแต่หยั่งรู้ถึงสมัยที่เคยเกิดเป็นพรหมอยู่ร่วมกับมหาพรหมได้เท่านั้น แต่ชาติก่อนแต่นั้นระลึกถึงไม่ได้ จึงนำความรู้เกี่ยวกับมหาพรหม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นพระเป็นเจ้า ในฐานะเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งมาแสดงแก่มนุษยชาติด้วยกัน แสดงถึงว่า บ่อเกิดของความเชื่อพระเป็นเจ้าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของสมาธินั่นเอง
องฺ. จตุกฺก. โทณสูตร. ๒๑/ ๓๖
[ii] ที.สี. พรหมชาลสูตร. ๙/ ๓๙- ๔๔
พระพุทธศาสนากับเทววิทยา
โดย ผศ.มานพ นักการเรียน
http://www.mbu.ac.th/index.php?option=content&task=view&id=267 |
|
|
|
   |
 |
สงสัยอีก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ธ.ค.2005, 5:35 pm |
  |
แล้วที่บางท่านประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว และว่าพระพุทธเจ้าในขณะปัจจุบันยังกำลังตรัสรู้อยู่นั้น บุคคลผู้อ้างว่าบรรลุพระอรหันต์รู้ได้อย่างไร |
|
|
|
|
 |
เมตตา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 2:58 am |
  |
|
|
 |
tanawaqt30
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 9:07 am |
  |
ดูก่อนความเห็นที่ 5 ผู้เจริญ
ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้ายุคใดสมัยใดก็ตาม พึงต้องตรัสรู้อริยสัจ 4 ด้วยกันทั้งสิ้น อริยสัจ 4 มี 4 ข้อไม่เคยเปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนเนื่องมาจากปัจจัยและที่มาของมนุษย์แต่ละยุคไม่เหมือนกัน เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม เช่นคนสมัยปัจจุบัน มีกิเลสในรูปของกามราคะมาก เช่น อยากได้แหวนสวย ๆ อยากได้บ้านหลังใหญ่ อยากได้หน้าที่การงานที่ดี อยากรวย ฯลฯ แล้วมีสันดานชั่ว เช่น ความโลภ ความโกรธ ความถือตัว ฯลฯ เป็นอวิชชา แต่คนสมัยพุทธกาลปฏิบัติสมาธิกันมาก แต่ปฏิบัติไม่ถูกต้องเป็นอวิชชา ทำให้ลักษณะของกิเลสที่มี จะออกไปในรูป คุณวิเศษในฌาณ อยากมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ฯลฯ
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้า ไม่ว่าใครก็ตามในยุคนี้ จึงต้องตรัสรู้อริยสัจ 4 ตามที่ผมบอกเพื่อมาแก้ปัญหาความทุกข์ให้กับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน และนี่คือเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องตรัสรูอริยสัจ 4 เพราะเป็นความสัจจริงที่เปลี่ยนไปตามแต่ละยุค เช่นถ้าเป็นสมัยพระพุทธเจ้าองค์เดิม ความสัจจริงจะเป็นตามที่พระพุทธเจ้าองค์เดิมบอก แต่พอมาเป็นยุคปัจจุบัน ความสัจจริงก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยปัจจุบันที่ทุกำคนสามารถพิสูจน์ความสัจจริงนั้นได้ด้วยตนเอง
แล้วพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะมองเห็นและตรัสรู้อริยสัจ 4 ได้ เพราะเป็นผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง นี่คือข้อพิสูจน์ในทางทฤษฎี อีกอย่าง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องเข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ และสรรพสิ่งที่มีในยุคปัจจุบัน สามารถอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคนที่แสดงออกมาว่ามีเหตุที่มาจากปัจจัยอะไรบ้าง ทั้งที่พระองค์รู้จัก หรือไม่รู้จักก็ตาม
อีกอย่างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ต้องชี้แนะวิธีปฏิบัติ วิธีประเมินผลเบื้องต้น และวิธีประเมินผลในระยะต่าง ๆ ตามหลักสูตรของพระองค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าที่ไม่ใช่ปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องรู้เป็นการเบื้องต้นก่อนข้อธรรมอื่นเสมอ
ความเห็นที่ 6 ผู้เจริญ พึงใช้ปัญญาคิดว่าใครแกล้งใครกัน |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 9:13 am |
  |
ตอบผิดคำถามไปนิดนึง แต่ก็ตอบไปแล้ว คงใช้ได้เหมือนกันเนาะ ดันไปอ่านคำถามว่า พิสูจน์ความเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ถ้าถามว่าพิสูจน์ความเป็นพระอรหันต์อย่างไรคงไม่ตอบนะครับ เพราะเป็นปัจจัตตัง แต่อริยสัจ 4 เป็นเรื่องที่ทุกคนพิสูจน์ได้ด้วยเหตุและผลของตนเอง |
|
|
|
    |
 |
ฮิฮิ น่าขำ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 ธ.ค.2005, 6:35 am |
  |
เป็นพระอรหันต์ยังไม่พอ จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ต่อจากพระพุทธเจ้าองค์เดิมสมัยพุทธกาลอีกหรือไง และมาตรัสรู้อริยสัจจ์สี่ใหม่ตามแบบของคุณอีก?????????? |
|
|
|
|
 |
แหะๆ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 ธ.ค.2005, 6:38 am |
  |
อยากทราบหลักสูตรของพระพุทธเจ้าที่ใช้ประเมินผลในเรื่องต่างๆ ที่คุณขี้ตู่เล่านะครับ ว่าใช้หลักเกณฑ์แบบไหนครับ |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
17 ธ.ค.2005, 11:51 am |
  |
ความเห็นที่ 9 และที่ 10 ผู้เจริญ อยากทราบต้องมาปฏิบัติ ผมจะบอกแค่อริยสัจ 4 พอ เมื่อเป็นอริยสัจ 4 ทุกคนต้องคิด้วยเหตุผลว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
ทุกข์ เกิดจากทุกข์ชั่วคราวกับทุกข์ถาวร
ทุกชั่วคราว ผมไม่พูดถึง เพราะคุณรู้และสัมผัสได้อยู่แล้ว ได้แก่ทุกข์กาย ทุกใจ แล้วผมก็เพิ่มทุกข์ทางสติปัญญา อีกอย่าง ทุกข์ทางสติปัญญา คือมีปัญหาแต่คิดอะไรไม่ออก หาวิธีแก้ให้ตนไม่ได้ เป็นผลมาจากความทุกข์ใจ และทุกข์กาย
ทุกข์ถาวร เป็นทุกข์ที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ ได้แก่ ความรู้ ความเห็น ความเป็น ที่ตนมี โดยปกติไม่ก่อให้เกิดความทุกข์แต่อย่างใด อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น แต่เมื่อมีสิ่งที่ขัดแย้งกับความรู้ ความเห็น ความเป็น ที่ตนมีอยู่ ความทุกข์เช่นนั้นจะสำแดงออกมาเป็นความทุกข์ใจ ในรูปของการต่อต้าน โต้แย้ง หรือโกรธ ริษยา อาฆาต ซึ่งเป็นทุกข์ชั่วคราว ในรูปของความทุกข์ใจ และจะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังไม่สามารถความทุกข์ถาวรเช่นนี้ออกจากตนได้ ความทุกข์ถาวรเช่นนี้ จะก่อทุกข์ให้กับตนซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบที่ยังเป็นมนุษย์อยู่
สมุหทัย คือกรรมที่เราทำข้ามภพข้ามชาติ แล้วมาแสดงออกในปัจจุบันทำให้เราได้รับทุกข์เวทนาต่าง ๆ ตามสมควรที่เราได้รับ กิเลสเกิดจากสันดาน ที่มาปรุ่งแต่งให้เกิดความอยากต่าง ๆ ก่อทุกข์ให้ตนอยากได้โน่น ได้นี่ เช่นอยากรวย อยากมีบ้านหลังใหญ่ ต้องดิ้นรนมากมาย หรือแม้แต่ความโกรธ ความริษยาต่าง ๆ ต้องหาทางแก้แค้น ส่วน วิบาก คือสิ่งที่เพิ่งกระทำ เช่น เพิ่งฆ่าคนตายเมื่อกี๊ เราอาจจะมานั่งกังวลว่า ตำรวจจะจับได้มั้ย จะโดนประหารมั้ย ต้องคอยอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นต้น ทั้งกิเลส และวิบาก มีเหตุมาจากสันดานชั่วของเรา
นิโรธ กำจัดกิเลสและวิบาก ด้วยการใช้กำลังสมาธิมาขจัดสันดานชั่วให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไป กำจัดกรรม คือการใช้กำลังสมาธิที่บริสุทธปราศจากสันดานชั่ว ณ. เวลาใดเวลหนึ่ง กำจัดกิเลสและวิบากออกไป ธรรมชาติแล้ว สันดานที่มี = กรรมทั้งหมดที่มี นั่นคือถ้ากรรมชั่วน้อยลง สันดานชั่วของเราจะน้อยลงตามไปด้วย พิสูจน์ได้จาก ความสงบนิ่งของจิตที่แท้จริงที่เรามี ถ้าไม่มีกรรมชั่ว จิตเราจะว่างตลอด ตลอดเวลาที่ไม่มีกรรมชั่วนั้น ความว่างจึง ว่างอยู่ได้ทน ว่างอยู่ได้นาน ว่างไม่มีจำกัดขอบเขตของเวลา
มรรค คือทางไปสู่นิพพานนั้น คือให้เรานึกอยู่เสมอว่า ทุกคนมีสันดานชั่วอยู่ในตน จึงต้องหาทางกำจัดให้ได้ แล้วต้องไม่เข้าข้างตนเอง ตนมีก็รู้ว่ามี ตนไม่มีก็รู้ว่าตนไม่มี สันดานชั่วนี้เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงตนและการถือตัว ความริษยา ความพยาบาท ฯลฯ ถ้ากำจัดหมดจริงคุณก็ถึงมรรคแน่นอน
ทั้งหมดนี้ให้ใช้เหตุผล พิจารณาตรึกตรองดูแล้วคุณจะรู้ว่าเป็นอย่างไร |
|
|
|
    |
 |
|