Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ขอความช่วยเหลือเข้ามาวิจารณ์ ตำหนิติเตียน ศึกษาเรื่องขันธ์ 5
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
ตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2005, 10:11 am
" ถ้าโจรจับเธอมัด แล้วเอาเลื่อยเลื่อยจากหนังถึงเนื้อ จากเนื้อถึงกระดูก จากกระดูกถึงเยื่อในกระดูก ภิกษุใดมีความขัดแค้นต่อโจรผู้นั้น ภิกษุนั้นมิใช่คนของเรา "
เป็นประโยคที่อ่านแล้วรู้สึกน่ากลัวและน่านับถือในเวลาเดียวกัน คงหมายความว่าอย่าให้ ความโกรธ ขัดแค้น มาครอบงำจิตใจ คงเป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่ผมว่าอย่าอยู่ให้เขาจับเลื่อยเลยดีกว่าเนอะ
สวัสดีทุกท่านผู้เคารพนับถือพระพุทธเจ้า สิ่งใดจะรู้ได้ก็ด้วยการศึกษา การศึกษาจะถูกต้องมีประโยชน์ก็ต้องประกอบด้วยปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ง่ายๆก็ด้วยศึกษาธรรมประกอบ ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการค้นหาประสบพบด้วยตัวเองให้ชักช้าอยู่ ขอแรงกำลังสมองของผู้สนใจเข้ามาอ่าน วิจารณ์รอยรั่วข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วย
คำว่า " พุทธทาส " ถ้าแยกกันคงจะได้ประมาณนี้ คือ " พุทธ " " ทาส " หรือ ผู้เป็นทาสรับใช้พระพุทธศาสนา คิดแล้วดูเหมือนทุ่มเทไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แท้จริงจะแปลว่าอะไรนั้น ผมก็คงไม่อาจรู้ได้เพราะท่านเสียไปซะก่อนแล้ว....
ในความรู้สึกส่วนตัวของผมแล้ว ท่านพุทธทาสเป็นพระที่บรรยายธรรมได้ บ้าพลัง มาก ประมาณว่าถ้าเอ่ยปากบอกท่านพุทธทาสให้ช่วยเกาบริเวณที่คัน ท่านคงแทบจะกระโดดถีบเข้าจุดที่บอกว่าคันพอดิบพอดี ครั้งเดียวหาย ทีเดียวอึ้ง ได้ความรู้สึกถึงพลังจริงๆ อาจมีอาการงงแปลกใจเล็กน้อยในระยะแรกๆ กับคำพูดบางประโยค แต่พอตั้งใจฟังด้วยสมาธิไปนานๆก็จะพอเข้าใจในเรื่องที่ท่านพูดไปเอง เช่น ถ้าพวกเราชาวบ้านเข้าไปถามท่านว่า อตัมมยตา คืออะไร กินได้ไหม คำตอบที่ได้สนองความอยากรู้ คือ" อตัมมยตา มันแปลว่า พอกันที พอกันที กูไม่เอากับ
xxx
แล้วโว้ย "ฟังแล้วเหมือนถูกที่คัน รุนแรงได้พลังมากครับ ( นี่เป็นการพูดเล่นเฮฮา อย่าถือสาอารมณ์ขันเล็กน้อยเลย ไม่ได้ลบหลู่ประการใดจริงๆ )
คำว่า เบ๊ นี้ใช้ในความหมายว่า ลูกเด็ก ลูกกระจ๊อก ไว้เรียกใช้ไปซื้อโอเลี้ยง ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นศิษย์ ความรู้จึงมีไม่เท่ากับศิษย์ใกล้กุฏิ อ่านแต่เพียงหนังสือที่ท่านเขียนไว้เท่านั้น คู่มือมนุษย์เล่มแรกที่อ่านของท่านพุทธทาส ถือได้ว่าเป็นอาจารย์ทางพุทธคนแรก ที่ชี้แจงให้ผมเข้าใจพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่เคยสนใจเลย งานเขียนของพระท่านอื่นก็พออ่านศึกษาอยู่บ้าง แต่ข้อมูลความคิดส่วนใหญ่จะมาจากท่านพุทธทาสมากกว่า การอ่านเอง มั่วเอง จึงอาจผิดพลาดบ้าง อันนี้ไม่เกี่ยวกับชื่อที่ใช้โพสนะครับ
ใครรู้อะไร คิดอะไรออก ก็นำมาบอกกล่าวจะได้ศึกษากัน ผิดถูก ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละคน ไม่ต้องอายเพราะเราไม่เห็นหน้ากัน มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่าเห็นธรรม คือ เห็นพระองค์ (พระพุทธเจ้า) หากเรานำธรรมมาศึกษากันในยามว่างเว้นจากกิจทางโลก สักวันคงจะเข้าใจแนวคิด คำพูดของมหาบุรุษผู้นี้เอง
( มีต่อ เกี่ยวกับขันธ์ 5 )
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
ตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2005, 12:04 pm
( ต่อจากข้างบน ได้โปรดอ่านให้จบก่อนนะครับ แล้วค่อยคิดหาคำวิจารณ์ )
ตัวตนของขันธ์ 5 ความหมายในความเข้าใจของผม
1.รูป คือ สิ่งทั้งหมดทั้งปวงในจักรวาลที่อยู่ในการรับรู้ของจิตเรา ทั้งที่มองเห็น ( รูป ) และมองไม่เห็น ( อรูป ) เช่น ร่างกาย วัตถุ สิ่งมีชีวิต รสที่อยู่ในวัตถุ กลิ่น เสียง
2.เวทนา คือ ความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดจากการที่ประสาทสัมผัส ทั้ง 6 ของร่างกายเรากระทบกับ รูป ได้เป็นความรู้สึกเช่นว่า เหม็น เสียงดัง เสียงไพเราะ เผ็ด แข็ง นิ่ม
หิว ปวด เหนื่อย สวย ไม่สวย น่าสงสาร น่ากลัว เป็นต้น
3.สัญญา คือ การจดจำ หมายรู้ ทุกสิ่ง ที่ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัส 6 ทั้ง รูป เวทนา เช่น การจดจำ รูปร่าง สีสรรต่างๆ เสียงต่างๆ รสต่างๆ เวทนาต่างๆ เป็นต้น กิเลสยิ่งแรงส่งผลให้เวทนาแรงตาม สัญญาจึงยิ่งจดจำได้แม่นยำ
4.สังขาร คือ ตัวตนที่เกิดจากการนำเอา กิเลส รูป เวทนา สัญญา มาปรุงเป็นความคิด ภาพจินตนาการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจ เช่น เสื้อสีแดงตัวนี้สวย ประกอบด้วย กิเลสความ ยึดมั่นหลงใหลในรูป รูปคือเสื้อตัวสีแดง เวทนาคือการมองเห็นว่าสวยงาม สัญญาคือการจดจำสิ่งที่มองเห็น นำทั้งหมดมาผสมได้เป็น ความคิดว่า เสื้อสีแดงตัวนี้สวย ( สังขารนี้แสดงออกมาทั้งใน รูปแบบ ความคิด จินตนาการเคลื่อนไหว การกระทำต่างๆก็เกิดจากการปรุงเป็นความคิดก่อนเสมอ เป็นต้น )
5.วิญญาณ คือ ตัวตนที่ปรุงสำเร็จสมบูรณ์แล้วจนเป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ (ไม่ใช่เวทนา)พุ่งไปครอบงำ จิต ให้เกิดการเสพโดยมากจะเสพ สุข หลีก ทุกข์ สุขทุกข์ในทางโลกคือสิ่งที่จะส่งผลให้ใจ(จิต)เศร้าหมอง
เหล่านี้ คือ ความหมายบางประการของขันธ์ 5 ที่ผมเข้าใจ
ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันของตัวตนขันธ์ 5
ตัวอย่างการยึดมั่น บางครั้งที่เรากำลังรับประทานอาหารอร่อยๆอยู่นั้น มีเหตุการณ์บางอย่างแทรกเข้ามาทำให้หมดอารมณ์อร่อยไป หรือ ความอร่อยลดลง นี่ผมเรียกว่า การที่จิตยึดสิ่งหนึ่งแล้วเปลี่ยนไปยึดอีกสิ่งหนึ่งแทน กำลังมีกิเลสอย่างอร่อยก็ต้องหมดอารมณ์ไปยึดกับสิ่งอื่นแทน
ตัวอย่างการไม่รู้กิเลสก็ไม่เกิด จากนิทานย่อยเรื่องหนึ่ง กล่าวถึง หลวงจีนท่านหนึ่งเก็บเด็กทารกชายมาเลี้ยงแต่แบเบาะ อยู่แต่ในวัดบนเขาไม่เคยออกไปไหน พอโตเป็นหนุ่มหลวงจีนพาไปเที่ยวเดินเล่นในเมือง เด็กหนุ่มเห็นหญิงสาวเกิดใจหลงใหลแต่ด้วยไม่เคยเห็นผู้หญิงมาก่อนจึงถามหลวงจีนว่าสิ่งนั้นคืออะไร หลวงจีนแกล้งตอบให้น่ากลัวว่าเป็นเสือ พอกลับไปที่วัดเด็กหนุ่มก็เอาแต่เพ้อรำพันถึงเสือ หลวงจีนจึงกล่าวกับตัวเองว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่มีบุญได้บวช
จิตบริสุทธ์ รับรู้ รูป ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6 เกิด กิเลส ตัณหา อุปาทาน ยึดมั่นใน รูป พอยึดมั่นในรูป เวทนาก็เกิด เวทนาทำให้เกิดสัญญา สัญญาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ ( ถ้าหากไม่มีร่างกายไม่มีการยึดมั่นในประสาทสัมผัส 6 จิตก็ยังคงไม่รู้หรือบริ-สุทธ์)
ตัวอย่างความสัมพันธ์เชื่อมโยง รถเก๋งคันสีแดงนี้สวยมากอยากได้มาเป็นเจ้าของเหลือเกิน
ประสาทสัมผัสการรับรู้รูป คือ ดวงตา
เกิดกิเลสความสนใจเข้าไปยึดมั่นในรูป
รูปคือรถเก๋งคันสีแดง
เวทนาคือความสวยงาม
สัญญาคือการจดจำ รูป เวทนา
สังขารคือ รถเก๋งคันสีแดงนี้สวยมากอยากได้มาเป็นเจ้าของเหลือเกิน (กิเลส+รูป+เวทนา+สัญญา)
วิญญาณคือ ใจยึดติดหลงใหลเก็บไปคิดให้เป็นทุกข์ ถ้าได้มาก็เป็นสุข ส่งไปครอบงำจิต
เหตุผลในสรรพสิ่ง ( รูป ) ที่ควรทราบ คำว่า จีรังยั่งยืน และ ไม่จีรังยั่งยืน
จีรังยั่งยืน คือ ความเป็นอยู่เช่นนั้นตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมสลาย ไม่แตกหักเสียหาย ไม่สูญหาย เป็นไปได้ดั่งใจหมายเสมอ มีตัวตนที่คงรูปเดิมอยู่ถาวรนิรันดร์
ไม่จีรังยั่งยืน คือ เป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง (รูป) ทุกอย่างมันไม่เป็นดั่งใจหมายเสมอ ไม่ได้ดั่งใจ เสื่อมสลายได้ แตกหักเสียหายได้ สูญหายได้ ไม่มีตัวตนที่คงรูปเดิมอยู่เสมอ ไม่มีตัวตนที่ยั่งยืนตลอดกาลให้ยึดถือ ดังนั้น การเข้าไปยึดถือ รูป ของ ขันธ์ 5 ด้วยความต้องการที่ว่า มันจะเป็นดั่งใจหมายอยู่เสมอ มันจะเป็นดั่งเราต้องการอยู่เสมอ มันจะคงอยู่กับเราไปตลอดกาล มันต้องได้ดั่งใจเราปรารถนาอยู่เสมอ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เมื่อไม่ได้ดั่งใจหมายต้องการย่อมยังให้เป็นทุกข์เศร้าหมอง ยิ่งยึดหนัก ยึดแรง ยิ่งทุกข์มาก
เมื่อรู้ดังนี้แล้วว่า รูป จึงเป็นสิ่งไม่จีรัง ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้อย่างยั่งยืน ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้ดั่งใจหมาย บังคับไม่ได้ดั่งใจต้องการเสมอ
รูปเป็นเหตุให้เกิดเวทนา เมื่อรูปไม่เที่ยง เวทนาย่อมไม่เที่ยงตามไปด้วย เวทนาจึงเป็นสิ่งไม่จีรัง ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้อย่างยั่งยืน ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้ดั่งใจหมาย บังคับไม่ได้ดั่งใจต้องการเสมอ
เวทนาเป็นเหตุให้เกิดสัญญา เมื่อเวทนาไม่เที่ยง สัญญาย่อมไม่เที่ยงตามไปด้วย สัญญาจึงเป็นสิ่งไม่จีรัง ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้อย่างยั่งยืน ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้ดั่งใจหมาย บังคับไม่ได้ดั่งใจต้องการเสมอ
สัญญาเป็นเหตุให้เกิดสังขาร เมื่อสัญญาไม่เที่ยง สังขารย่อมไม่เที่ยงตามไปด้วย สังขารจึงเป็นสิ่งไม่จีรัง ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้อย่างยั่งยืน ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้ดั่งใจหมาย บังคับไม่ได้ดั่งใจต้องการเสมอ
สังขารเป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ เมื่อสังขารไม่เที่ยง วิญญาณย่อมไม่เที่ยงตามไปด้วย สุขทกข์จึงเป็นสิ่งไม่จีรัง สุขทุกข์ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้อย่างยั่งยืน สุขทุกข์ไม่มีตัวตนให้จิตยึดถือได้ดั่งใจหมาย บังคับไม่ได้ดั่งใจต้องการเสมอ สุขทุกข์ทางโลกจึงเป็นของวุ่นวายเกินไปไม่ควรนำมายึดถือแม้แต่น้อยเลย เป็นเพียงความรู้สึกชั่วครู่ข้ามคืน ไม่มีตัวตนให้ยึดถือได้อย่างแท้จริงนิรันดร์
รูปส่งผลให้เกิดเวทนา เวทนาส่งผลให้เกิดสัญญา สัญญาส่งผลให้เกิดสังขาร สังขารส่งผลให้เกิดวิญญาณ (สุขทุกข์) เมื่อรู้ว่ารูปไม่เที่ยงแล้วดังนี้ จิตจึงควรคลายความยึดมั่นในรูปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้สุขที่มากไร้ประโยชน์ ทุกข์ที่เราไม่ต้องการ มาครอบงำจิตใจให้เกิดความเศร้าหมอง
( มีต่อนะ)
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
ตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2005, 12:09 pm
นี่เป็นความเห็นเกี่ยวกับขันธ์ 5 ท่านใดมีความเห็นที่แตกต่างไปกรุณาชี้แนะ บอกกล่าวด้วยขอบคุณที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2005, 1:37 pm
ขอเสนอความเห็นเกี่ยวกับขันธ์ 5 ในอีกนัยหนึ่ง
1.รูป คือ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นั้น นี้เรียกว่า รูปทั้งหมด.
2.เวทนา คือ ความรู้สึกอารมณ์ เช่น ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เวทนา มีในสมัยนั้น.
3.สัญญา คือ การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.
4.สังขาร ความรู้สึกอารมณ์ที่ไม่รวมเวทนาและสัญญา คือธรรมที่มีรูปเป็นอารมณ์ หรือ มีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น เช่น ผัสสะ เจตนา จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ อโลภ อโทสะ อโมหะ อนภิชฌา อัพยาปาทะ (สัมมาทิฏฐิ หิริ โอตตัปปะ) กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา จิตตุชุกตา สติ สัมปชัญญะ สมถะ วิปัสสนา ปัคคาหะ อวิกเขปะ เป็นต้น
5.วิญญาณ คือความรู้อารมณ์ที่เกิดจากรูปมากระทบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ เช่นเมื่อรูปมากระทบตาเป็นต้น เรียกว่าวิญญาณ
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 9:32 am
ขันธ์ 5 (อีก ความหมายหนึ่ง)
1. รูปขันธ์ เป็นไฉน
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ รูปอดีต รูปอนาคต รูปปัจจุบัน รูปภายใน รูปภายนอก รูปหยาบ รูปละเอียด รูปทราม รูปประณีตรูปไกล รูปใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่ารูปขันธ์
2. เวทนาขันธ์ เป็นไฉน
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เวทนาอดีต เวทนาอนาคต เวทนาปัจจุบัน
เวทนาภายใน เวทนาภายนอก เวทนาหยาบ เวทนาละเอียด เวทนาทราม เวทนา
ประณีต เวทนาไกล เวทนาใกล้ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่าเวทนาขันธ์
3. สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ สัญญาอดีต สัญญาอนาคตสัญญาปัจจุบัน
สัญญาภายใน สัญญาภายนอก สัญญาหยาบสัญญาละเอียด สัญญาทราม
สัญญาประณีต สัญญาไกลสัญญาใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า
สัญญาขันธ์
4. สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือ สังขารอดีต สังขารอนาคต สังขารปัจจุบัน สังขาร
ภายใน สังขารภายนอก สังขารหยาบ สังขารละเอียดสังขารทราม สังขารประณีต
สังขารไกล สังขารใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่าสังขารขันธ์
5. วิญญาณขันธ์ เป็นไฉน
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ วิญญาณอดีต วิญญาณอนาคตวิญญาณปัจจุบัน
วิญญาณภายใน วิญญาณภายนอก วิญญาณหยาบวิญญาณละเอียด วิญญาณทราม
วิญญาณประณีต วิญญาณไกลวิญญาณใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่าวิญญาณขันธ์
ขันธ์ 5 (อีก ความหมายหนึ่ง)
1. รูปขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุวิญเญยยรูป โสตวิญเญยยรูป ฆานวิญเญยยรูป ชิวหาวิญเญยยรูป กายวิญเญยยรูป มโนวิญเญยยรูป รูปขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้
2. เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนาฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา เวทนา
ขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้
3. สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุสัมผัสสชาสัญญา โสตสัมผัสสชาสัญญา ฆานสัมผัสสชาสัญญา ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา กายสัมผัสสชาสัญญานโนสัมผัสสชาสัญญา สัญญา
ขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้
4. สังขารขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา โสตสัมผัสสชาเจตนา ฆานสัมผัสสชาเจตนา ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา กายสัมผัสสชาเจตนามโนสัมผัสสชาเจตนา สังขารขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้
5. วิญญาณขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ วิญญาณขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้
เป็นความหมายของขันธ์5 ทั้งหมดแต่แสดงกันคนละนัย ขอยกมาเพียงเท่านี้นัยอื่นยังมีอีกในที่นี้เพียงต้องการให้ทราบว่าความหมายของขันธ์5 นั้นมีหลายนัย
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
ตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 12:02 pm
ขอบคุณมากครับ ขันธ์ 5 ที่ผมอ่านส่วนใหญ่เขาจะตีความโดยรวม แปลโดยย่อมาให้แล้ว ส่วนคำที่เป็นภาษาเดิมนั้น(ภาษาพระ)ผมแทบจะไม่รู้เลยครับ การละขันธ์ 5 ในกระทู้นี้ดัดแปลงมาจาก อนัตตลักษณสูตร ในมนตร์พิธีแปล พออ่านแล้วรู้สึกเชื่อมโยงกับคำสอนของท่านพุทธทาสที่ให้ละขันธ์ 5 ด้วยรู้ว่ามันไม่เที่ยง และมันเชื่อมโยงกับบทสวดที่ว่า รูปัง อนัตตา เวทนา อนัตตา สัญญา อนัตตา สังขารา อนัตตา วิญญาณัง อนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ความคิดที่พวกคุณเข้ามาอ่านก็ได้จากการนำสิ่งที่กล่าวไว้มาผสมกัน
เพราะผมคิดว่า เกิดอีกเพราะมีกรรม กรรมมีเพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุ การละกิเลส ตัณหา อุปาทาน จึงเป็นการจัดการที่ต้นเหตุ
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
ตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 12:32 pm
http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=dhammajak&No=3686
http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=dhammajak&No=3618
ว่างๆก็เข้าไปชี้แจงมุมมองที่แตกต่างได้คับ ขอบคุณมาก
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 3:28 pm
ต้องขออภัยด้วยความเคารพในทุกท่านครับที่จำเป็นต้องยกความหมายของขันธ์5 เป็นภาษาพระ(ปรมัตถ์ธรรม) และไม่ได้มีความประสงค์จะแสดงตัวตนอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการสื่อให้มีความเข้าใจในขันธ์5ในหลายมุมมองเท่านั้นในการเข้าใจแบบปรมัตถ์นั้น ความจริงเวลาที่ปฏิบัติธรรมตามแนวทางวิปัสสนา สติปัฏฐาน4 นั้นผู้ปฏิบัติก็จะพิจารณาสภาพธรรมของขันธ์เป็นปรมัตถ์อยู่แล้ว เพียงแต่ทำไปโดยที่รู้และเห็นสภาพธรรมนั้นๆเองตามธรรมชาติของมันเอง แม้ไม่ได้พิจารณาหรือรู้เป็นคำบรรยายที่เป็นภาษาพระแต่ก็เข้าใจได้เองโดยนัยอยู่แล้ว ผมจะขอยกตัวอย่างที่ท่าน เบ้ท่านพุทธทาสยกตัวอย่างด้วยประโยค ที่ว่า
รถเก๋งคันสีแดงนี้สวยมากอยากได้มาเป็นเจ้าของเหลือเกิน
จักขุวิญเญยยรูป คือ รถเก๋งคันสีแดง
จักขุสัมผัสสชาเวทนา คือความสวยงาม
จักขุสัมผัสสชาสัญญา คือการจดจำ รูป เวทนา
จักขุสัมผัสสชาเจตนา คืออยากได้มาเป็นเจ้าของเหลือเกิน
จักขุวิญญาณ คือ การเห็นรถเก๋งคันสีแดง
ส่วนคำอธิบายที่แปลมาโดยย่อนั้นก็เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายโดยเป็นการอธิบายในแง่มุมของบัญญัติธรรม เป็นสมมุติ ถ้าจะเอาคำอธิบายนี้มาเจริญวิปัสสนาก็จะทำได้ยากกว่าและอาจจะสับสนได้ด้วยว่าเป็นการพิจารณาสิ่งที่เป็นบัญญัตินั่นเอง ส่วนภาษาพระที่ว่าเป็นปรมัตถ์นั้นไม่มีบุคคล ตัวตน สัตว์ สิ่งของเข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้การพิจารณาธรรมเกิดปัญญารู้ธรรมได้ง่ายกว่า
ประการสุดท้าย ประโยคที่ว่า สัญญา คือ การจำ กิริยาที่จำ ความจำอันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ท่านลองพิจารณาถึงการที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำได้มาพิจารณาดูครับแล้วจะเห็นว่าช่างใกล้เคียงกับการที่เกิดเพราะมีสัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ช่างเป็นการอธิบายที่เหลือเชื่อเพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นมา 2500 กว่าปีมาแล้ว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th