|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ต้นข้าว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 12:16 am |
  |
กิเลสเกิดจากอะไร
--------------------------------------------------------------------------------
กิเลสเกิดจากอะไร
เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า ทั้งความโลภและความโกรธ ล้วนมีสาเหตุมาจากความยึดมั่นถือมั่นด้วยกันทั้งสิ้น กล่าวคือ ถ้ายึดมั่นพร้อมกับความรู้สึกยินดีพอใจ ก็จะทำให้เกิดแรงดูดคือความโลภ แต่ถ้ายึดมั่นพร้อมกับความรู้สึกยินร้ายไม่พอใจ ก็จะทำให้เกิดแรงผลักคือความโกรธ ความขัดเคืองใจ
แล้วความยึดมั่นถือมั่นมีสาเหตุมาจากอะไร ?
ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเกิดจากการที่ไม่รู้ถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ( โมหะ , อวิชชา , ความหลง , วิปัลลาส ) คือไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่น เพราะสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัย เกิดจากการประชุมปรุงแต่งของเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดที่มีอำนาจเฉพาะตน ไม่มีสิ่งใดที่มีอำนาจเหนือตนหรือเหนือสิ่งที่อื่นจากตน สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่การสร้างเหตุสร้างปัจจัยได้บ้างเท่านั้น ซึ่งเหตุปัจจัยที่สร้างได้นั้นก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเหตุปัจจัยอันมากมายที่คอยกลุ้มรุมห้อมล้อม คอยปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้แปรปรวนไปตลอดเวลา ถ้าร่างกายหรือจิตใจนี้อยู่ในอำนาจของเราแล้ว ในโลกนี้ก็คงจะไม่มีใครเลยที่เป็นทุกข์ เพราะทุกชีวิตก็คงจะบังคับตนเองให้เป็นสุขตลอดเวลา แต่ที่โลกนี้เต็มไปด้วยทุกข์ ก็เพราะร่างกายและจิตใจนี้ ทั้งภายในและภายนอก ล้วนไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น ถ้าใครขืนไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจแล้ว ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่หวังได้
ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วจะเห็นว่า คนที่เป็นคนดีมีคุณธรรมก็เพราะจิตใจของเขานั้นดี คนที่เป็นคนไม่ดีขาดศีลธรรมก็เพราะจิตใจของเขาไม่ดี ความจริงแล้วนั่นเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะแท้จริงแล้วคนที่เป็นคนดีนั้นไม่ใช่เพราะเขาอยากเป็นคนดี และคนที่ไม่ดีก็ไม่ใช่เพราะเขาอยากเป็นคนไม่ดี แต่เป็นเพราะจิตแต่ละดวงนั้นผ่านเหตุผ่านปัจจัยมาต่างกัน ทำให้จิตทั้งหลายมีสภาพมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน และมีความจำได้หมายรู้ ( สัญญา ) ในสิ่งต่าง ๆ แตกต่างกันไป คือมีทัศนคติหรือโลกทัศน์ที่ต่างกันไป จึงทำให้มีการปรุงแต่ง คือมีความรู้สึกนึกคิดที่ต่างกันไป มีความต้องการที่แตกต่างกันไป จึงทำกรรมแตกต่างกันไป นั่นคือการที่คนเป็นคนดีหรือไม่ดีนั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นผลของเหตุของปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้น
ถ้าลองคนที่คนนิยมกันว่าเป็นคนดีนั้นไปผ่านเหตุผ่านปัจจัยที่ไม่ดีเข้าอย่างมากพอและต่อเนื่อง เขาก็จะกลายเป็นคนไม่ดี ( ยกเว้นอริยบุคคล เพราะเชื้อแห่งความไม่ดีได้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ) และคนที่ถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีนั้น ถ้าได้ผ่านเหตุปัจจัยที่ดีอย่างมากพอและต่อเนื่อง เขาก็จะกลายเป็นคนดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่นองคุลีมาลย์ เมื่อผ่านเหตุปัจจัยต่าง ๆ เข้าก็เป็นลูกศิษย์ที่ครูอาจารย์รักใคร่ เพราะความมีนิสัยดี ขยันหมั่นเพียร และเฉลียวฉลาด แต่พอผ่านเหตุปัจจัยที่ไม่ดีเข้าก็กลายเป็นมหาโจรที่น่ากลัว และเมื่อผ่านเหตุปัจจัยที่ดีอีกครั้ง ก็กลายเป็นพระอรหันต์ที่น่าเคารพนับถือ น่าบูชา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยเท่านั้นเอง ถ้าจะโทษ ก็ควรโทษเหตุโทษปัจจัยถึงจะถูก จะไปโทษจิตซึ่งเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยจะสมควรหรือ ?
ดังนั้น เว้นนิพพานแล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจึงล้วนไม่เที่ยง ( อนิจจัง ) ถูกสิ่งต่าง ๆ บีบคั้นให้แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา จึงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่นำทุกข์มาให้ (ทุกขัง ) เพราะสิ่งทั้งปวงรวมทั้งนิพพาน ล้วนไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น เป็นเพียงผลของเหตุปัจจัย ( อนัตตา ) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ รวมเรียกว่าไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ คือเป็นธรรมชาติที่แท้จริง และเป็นลักษณะอันเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่งทั่วไปในอนันตจักรวาล
เพราะความไม่รู้ในธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ ดังที่กล่าวมานี้ ( โมหะ )นั่นเอง ความยึดมั่นถือมั่น ( อุปาทาน ) จึงเกิดขึ้น เมื่ออุปาทานเกิดขึ้นแล้วความโลภและความโกรธ ( โทสะ ) ก็เกิดขึ้น ความทุกข์ทั้งหลายจึงเกิดตามมาเป็นทอด ๆ ดังนี้
หมายเหตุ ตามหลักอภิธรรมแล้ว อุปาทานก็คือตัณหา ( ความทะยานอยาก , โลภะ ) ที่มีกำลังมากนั่นเอง และตามหลักปฏิจจสมุปบาทแล้ว ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน คือเมื่อปล่อยให้ความทะยานอยากหรือความเพลิดเพลินยินดี เกิดขึ้นบ่อย ๆ แล้วอุปาทานย่อมเกิดตามมา
ส่วนในที่นี้กล่าวว่าอุปาทานเป็นสาเหตุของความโลภนั้น หมายความว่า ตัณหาในเบื้องต้นเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานในเบื้องกลาง และอุปาทานในเบื้องกลางเป็นปัจจัยให้เกิดความโลภในลำดับต่อไป และความโลภที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำให้เกิดอุปาทานต่อไปอีกในอนาคต ทับถมซับซ้อนกันต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น ในที่นี้จึงไม่ขัดแย้งกับหลักอภิธรรมและปฏิจจสมุปบาทแต่อย่างใด
http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=8313#post8313 |
|
|
|
|
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 10:39 am |
  |
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยเท่านั้นเอง ถ้าจะโทษ ก็ควรโทษเหตุโทษปัจจัยถึงจะถูก จะไปโทษจิตซึ่งเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยจะสมควรหรือ ?
ไม่ค่อยเข้าใจประเด็นของข้อความข้างบนที่ยกมาค่ะ
จะโทษปัจจัยหรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายผู้ที่รับโทษ มิใช่จิตดอกหรือ
จิตยังสามารถกำหนดหรือเปลี่ยนเบนและสร้างเหตุใหม่ เพื่อให้ได้ปัจจัยที่ดีต่อไป
ความรับผิดชอบของจิตยิ่งใหญ่นัก ทั้งการรับผิดและรับชอบ
จิตจึงน่าเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ให้การทะนุถนอมดูแล
ไม่ทราบตัวเราเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
|
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 11:24 am |
  |
ผมถึงบอกให้ ขจัดสันดานชั่วด้วยกำลังสมาธิให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปจากทั้งจิตและตัว เพื่อปิดบ่อเกิดอันเป็นสาเหตุแห่งกิเลส โดยไม่เข้าข้างตนเอง หรือมีความจริงใจต่อตนเอง พึงรู้เพียงกิเลสเกิดจากอะไร แต่เอาสาเหตุแห่งกิเลสนั้นออกไปจากตนไม่ได้ ความรู้ที่มีก็ใช้การได้ไม่เต็มที่
สันดานชั่วที่เป็นรากเหง้าของกิเลสที่สำคัญมี 7 อย่าง 1. ความกังวล 2. ความหลงตนและการถือตัว 3. ความโลภ 4. ความเกียจคร้าน 5. ความริษยาและเห็นแก่ตัว 6. ความโกรธ 7. ความพยาบาท |
|
|
|
    |
 |
เขม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 3:48 pm |
  |
|
|
 |
สายลม
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 8:13 pm |
  |
นึกว่าถามว่า กิเลสเกิดจาก กอ อะไร ?
กิเลสเกิดจากความไม่รู้ (อวิชชา) ของมนุษย์
|
|
|
|
    |
 |
นะพล
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2005, 11:44 am |
  |
กิเลสทั้งหลายเกิดจากการไม่"พอ" ตัวเดียว เมื่อไม่พอก็อยากได้ อยากมี.... |
|
|
|
|
 |
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2005, 12:12 pm |
  |
ตามมุมมองของผมแล้วมันน่าจะเกิดจาก
การยึดมั่นในร่างกายตน เราจึงถูกร่างกายและสัญชาตญาณของร่างกายนี้เข้าครอบงำ
การรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 6 + ค่านิยมของสังคม + นิสัยเดิม(กรรมที่ติดตัวมา)หล่อหลอมผลักดันให้เราเข้าไปยึดสิ่งต่างๆด้วยกิเลส
นี่เป็นสาเหตุคร่าวๆ ครับ  |
|
|
|
   |
 |
Montree
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 11 ธ.ค. 2005
ตอบ: 3
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2005, 1:22 pm |
  |
ในความคิดเห็นของผมน่ะครับ เกิดมาจาก "ตัณหา" คือความทะยานอยาก เป็นไปกับความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน (นันทิราคสหคตา) เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั่นๆ มี ๓ คือ
กามตัณหา คือ ความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่
ภวตัณหา คือ ความทะยานอยากในความมีความเป็น
วิภวตัณหา คือ ความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น
นี่คือทุกขสมุทัยอริยสัจจ์ นะครับ  |
|
|
|
   |
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |