Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ศรทุกข์คือเรื่องปัจจุบัน วิมุตติคือยาถอน เรามาศึกษากันดีกว่า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 09 ธ.ค.2005, 1:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีทุกท่านชาวพุทธที่แวะเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ลองอ่านดูนะครับ

มนุษย์ทุกคนทำเรื่องเดียวกันหมดคือ เสพสุข หลีกทุกข์ วนเวียนเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด

สุขทางโลกเป็นของร้อน เป็นของไม่เที่ยงไม่คงทนถาวร เมื่อเสพบ่อยเข้าย่อมถึงจุดเบื่อหน่าย



ที่ว่าสุขทางโลกเป็นของร้อน ร้อนอย่างไร ร้อนอย่างนี้ มันรนมันจี้ให้เราต้องกระทำเสมอ หากไม่ทำก็เป็นทุกข์ หากไม่สำเร็จก็เป็นทุกข์ หากไม่ไขว่คว้ามาก็เป็นทุกข์ หาความสงบทางจิตใจไม่ได้เลย ต้องเหนื่อยต้องดิ้นรนอย่างหาที่สุดไม่ได้ วนเวียนเรื่อยไปซ้ำๆเรื่องเดิมตลอดจนตายคือ การเสพสุข หลีกทุกข์ เพียงเท่านี้เอง



ที่ว่าสุขทางโลกเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนถาวร ไม่สามารถอยู่กับเราได้ดั่งใจหมาย ไม่สามารถเป็นไปได้ดั่งใจเราต้องการเสมอ เหตุเพราะความเปลี่ยนแปลงนี่เองเป็นเหตุ ให้ทุกสิ่งไม่ยั่งยืนถาวร เคยสุขเพราะรักแต่ก็ต้องเป็นทุกข์เพราะจาก เคยสุขเพราะได้สมใจแต่ก็ต้องเป็นทุกข์เมื่อไม่ได้สมใจ เมื่อสุขได้ก็ต้องทุกข์ได้ เมื่อทุกข์ได้ก็ต้องสุขได้ สุขทุกข์

สุขทุกข์ วนเวียนเรื่อยไปกับ 2 คำนี้ 2 ความรู้สึกนี้ตลอดจนตาย เพียงเท่านี้เอง



ที่ว่าสุขทางโลกเมื่อเสพบ่อยเข้าย่อมถึงที่สุด คือความเบื่อหน่าย คือความเอียนระอานั่นเอง เป็นทางที่สุดของมันแล้ว เหมือนกับว่าผู้ใดฟังแต่เพลงเดียวย่อมเบื่อหน่าย ผู้ใดกินแต่แกงเดียงย่อมเบื่อหน่าย ผู้ใดกระทำแต่เรื่องเดียวซ้ำๆกันย่อมเบื่อหน่าย ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ทำ เหตุคือเพื่อ เสพสุข หลีกทุกข์ วนเวียนเรื่อยไปตลอดจนตาย เพียงเท่านี้เอง

ขนาดเจ้าชายสิทธัตถะผู้มีพร้อมทุกสิ่งยังขอลาบวชเลย แล้วทำไมพวกเราไม่ลองเชื่อพระองค์ดู



ความเชื่อของพุทธบอกว่ามนุษย์ต้องจุติใหม่เพราะกรรมกิเลสเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะได้พบพระนิพพาน เป็นตัวดับทุกข์ทางโลก ไม่ต้องกลับมาเสพ สุข ทุกข์ ทางโลกซ้ำๆเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุดแบบมนุษย์อีก



พระพุทธเจ้าสอนให้มองปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพ้อพร่ำอาลัยอยู่แต่เพียงอดีต ไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ศรทุกข์จึงเป็นเรื่องปัจจุบันที่ต้องแก้ไข มีวิมุตติเป็นยาถอน นี่ถือว่าเป็นเป้าหมายในภพนี้ ในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องไปสนใจนรกสวรรค์ที่ยังมาไม่ถึง จนฟุ้งซ่านผิดประเด็นที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เป็น มันไกลตัวเกินไป เอาเป็นว่าพอเราใช้หลักอริยสัจ 4 แก้ปัญหาทุกข์ในทางโลกได้แล้ว เวลาว่างเราก็มาศึกษาธรรมเพื่อเข้าถึงวิมุตติกันดีกว่า ธรรมมันเป็นเรื่องประเสริฐโดยแท้



ธรรมเป็นของฟรี บอกให้รู้แจกกันได้เหมือนรับใบปลิว พระพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ได้นั้นต้องลำบากตรากตรำอย่างหนัก ต้องเสียสละความสุขในวังไปเข้าป่านั่งให้ยุงกัด จนสำเร็จรู้วิธีถอนศรทุกข์ และนำมาบอกกล่าวแก่ผู้อื่นเหมือนแจกฟรีไม่คิดเงิน จนผู้ฟังบรรลุตามได้เป็นร้อยเป็นพันนั่งเสวยวิมุตติกันอย่างเมามันส์ ประดุจดั่งสายน้ำหยาดฝนไหลบ่าสาดซ่านไปทางใด ต้นกล้าแห่งโพธิธรรมก็งอกงามในทางนั้น ใครเชื่อใครถามธรรมทางพ้นทุกข์กับพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงบอกไม่ปิดบัง สอนให้หมดโดยเปรียบกับการแบมือเปิดเผยอย่างหมดเปลือก คิดแทบตายแต่แจกฟรีเช่นนี้ประเสริฐขนาดไหน มรดกที่เหลือทิ้งไว้คือพระไตรปิฎกให้พวกเราชนพุทธรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าหาทางถอนศรทุกข์กันเอาเอง (มีต่อ)

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 09 ธ.ค.2005, 1:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป้าหมายเดียวกันแต่ไปคนละเส้นทาง อันนี้ก็แล้วแต่สติปัญญาของผู้ตีความพระไตรปิฎก มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกัน มันเหมือนกับว่ามองกันคนละเหลี่ยม มองกันคนละเส้นทางแต่มีเป้าหมายเดียวกัน ศาสนาพุทธจึงแตกแยกออกไปเป็นนิกายต่างๆตามความเชื่อของแต่ละนิกาย แต่เสียอย่างไรล้วนแล้วมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือนิพพาน แต่ก่อนจะถึงพิพพานต้องผ่านวิมุตติก่อน ซึ่งถือได้ว่าเป็นยาแก้ศรทุกข์ในโลกปัจจุบันนี้ ใครรู้ใครทราบก็แนะนำให้รู้กันบ้างเป็นทานบุญ การให้ธรรมเป็นการให้ที่ประเสริฐ การรับธรรมก็เป็นการรับที่ประเสริฐเช่นกัน ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเข้าถึงวิมุตติผู้นั้นถือได้ว่าประกอบมหาบุญ เป็นเรื่องตรงประเด็นที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ



ผู้มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆหลังการบรรลุแล้ว เอตทัคคะหมายถึงความเป็นเลิศ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำยกย่องจากพระพุทธเจ้า บุคคลที่ยกมาเป็นตัวอย่างได้แก่

พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เป็นเลิศในด้านรัตตัญญู คือเป็นผู้มีประสบการณ์มาก

พระปุณณมันตานีบุตร เป็นเลิศในด้านแสดงธรรม หรือ พระธรรมกถึก

พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี พระนางผู้นี้เป็นเลิศในด้านรัตตัญญูเช่นกัน



ผู้บบรลุธรรมแล้วจะมีฤทธิ์เหมือนกันหมดรึเปล่านั้นผมไม่อาจรู้ได้ เพราะไม่เคยสัมผัสเห็นกับตาของตัวเองมาก่อน จะเชื่อสิ่งใดก่อนนั้นต้องเห็นเอง ได้ยินเอง พิจารณาเองแล้วจึงจะสมควรปักใจเชื่อ มีคำสอนอยู่สูตรหนึ่งซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้ว รู้แต่เพียงว่าสอนให้พิจารณาตามหลักคำสอน 10 ประการก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดก็ตาม ( ไม่แน่ใจว่าเป็นกาลามสูตรรึเปล่า ) ดังนั้นใครรู้ธรรมเพื่อวิมุตติ ใครรู้ทางเพื่อวิมุตติ ช่วยบอกช่วบแนะนำให้ทีเสมือนครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงออกเผยแพร่ธรรมชี้แนะทางวิมุตติให้กับมนุษย์ โดยเมตตากรุณาไม่คิดค่าเหนื่อยใดๆเลย ผมเชื่อว่าวิมุตติมีอยู่จริงไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่สละราชสมบัติในวังมาบวชหรอก และมันต้องมีอยู่จริงจนบัญญัติเป็นศาสนาได้ อย่าช้าอยู่เลยเรามาศึกษาทดลองกันดีกว่า



เท่าที่เคยศึกษาอ่านตำรามา ผู้ที่เคยบบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยมีมาก่อนหน้าเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว เพียงแต่พวกท่านเหล่านั้นไม่สามารถแสดงธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามได้ โดยเหตุผลประการใดก็ไม่อาจแจ้งได้ ผมก็เลยคิดว่าถึงแม้พระพุทธเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์เหมือนในพระไตรปิฎกแต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับความสามารถที่จะแสดงธรรมให้ผู้อื่นบบรลุตามเข้าถึงวิมุตติสุขได้ ตรงนี้สำคัญมากครับ เพราะว่าตอนที่ตรัสรู้แล้วก็ทรงท้อใจที่จะเผยแพร่สิ่งที่รู้ ด้วยเห็นว่าเป็นของยาก แต่ด้วยความเมตตากรุณาและความปรีชาสามารถส่วนพระองค์ก็ทำสำเร็จได้ในที่สุด จนเกิดเป็นศาสนาพุทธได้ดั่งปรา กฎทุกวันนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 09 ธ.ค.2005, 2:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

( ต่อครับ )

ธรรมเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นของจริงใช้ได้จริง คำที่ว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก เป็นเรื่องจริงเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่คู่กันไป เมตตาธรรมคือความดี ความดีได้มาจากธรรม ได้มาจากการศึกษาธรรม ทุกคนในโลกจะอยู่กันอย่างสันติได้ก็ด้วยความดี หากขาดสิ่งนี้ไปโลกย่อมวุ่นวายมีแต่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจนบางครั้งอาจไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รักสงบ รักเหตุผล ไม่ปรากฎในประวัติศาสตร์ว่าเคยมีพระใช้กำลังอำนาจก่อศึกสงครามฆ่าฟันผู้คนเพียงเพื่อบังคับให้เชื่อในศาสนาพุทธ อริยสัจ 4 เป็นเรื่องของการใช้เหตุผล วิมุตติเป็นทางสงบ สงบคือสันติ ไม่สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้ใคร ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธด้วยใจจริง ย่อมจัดได้ว่าเป็นผู้รักสันติและรักเหตุผล พุทธแท้จึงสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้หมด มีเพียงผู้อื่นเท่านั้นที่จะอยู่ร่วมกับพุทธแท้ไม่ได้ ในเมื่อธรรมเพื่อความสงบมีอยู่จริงใช้ได้จริง ธรรมเพื่อเข้าสู่ความสงบวิมุตติก็ย่อมมีอยู่จริงตามไปด้วย และถ้าคนพากันศึกษาวิมุตติกันมากๆ ก็ยิ่งดีเพราะวิมุตติเป็นทางสงบ พอคนสงบสังคมก็สันติ พอสังคมสงบประเทศก็สงบ พอประเทศสงบโลกก็สงบสุขสันติ นิวเคลียล์ปรมาณูก็จะได้เก็บไว้ยิงลูกอุกกาบาตที่จะพุ่งมาชนโลกเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องหันเป้าเบี่ยงเบนมาถล่มมนุษย์ด้วยกันเอง ( ต่อ )
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 09 ธ.ค.2005, 2:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใครรู้ทางวิมุตติก็ช่วยบอกช่วยแนะนำด้วย ผมเชื่อว่าผู้ที่บรรลุแล้วย่อมมีความเป็นเอตทัคคะต่างกัน เป็นเลิศในด้านต่างๆแตกต่างกันสุดแล้วแต่บุญบารมีที่สะสมบำเพ็ญมาในชาติปางก่อน บรรดาท่านที่สำเร็จบบรรลุจนมีฤทธิ์มากมายนั้น ผมว่าคงหาได้ยากในปัจจุบัน

เพราะส่วนใหญ่คงบรรลุไปมากแล้วในสมัยพุทธกาลไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้อีก คง

เหลือแต่พวกเราปัจจุบัน ที่บุญน้อยรอคำชี้นำจากผู้รู้เพื่อบรรลุตาม ถึงแม้ว่าจะไม่มีฤทธิ์ใดๆ

ก็คงเป็นเพราะบุญบารมีสะสมมาน้อย ทำได้เพียงถอนศรทุกข์ชิมวิมุตติสุขบ้างก็ถือว่าเป็นโชคดีที่เกิดมาพนมไหว้พระนับถือผ้าเหลือง



มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า " พระอรหันต์ คือ ผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์รู้พร้อม ไม่สร้างความเดือดร้อนไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร กรรมที่ก่อกับพระอรหันตร์จึงหนักกว่ากรรมอื่นนัก " ผมศึกษามาน้อยรู้เพียงแค่นี้ ทุกท่านผู้มีน้ำใจเข้ามาอ่าน เข้ามาวิจารณ์แสดงความคิดเห็น ในฐานะชาวพุทธผู้รักเหตุผลเคารพใช้อริยสัจ 4 กราบไหว้พระพุทธเจ้า โปรดนำข้อความทั้งหลายนี้ไปพินิจพิจารฌาด้วยเทอญ



มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนไทยอยู่เกาะอังกฤษ เธอกำลังเผยแพร่ธรรมมะชี้ทางนิพพานให้กับผู้ที่ไม่ได้นับศาสนาพุทธได้รู้จักกัน ชื่อ คุณศุภวรรณ ครับ ผมว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจในคำสอนถอนทุกข์ของพระพุทธเจ้า จึงถือว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ เก่ง และ แกร่ง มาก เหมือนบ้าแต่ไม่บอ เล่าประสบการณ์ชีวิตได้อย่างจริงใจดี วิธีปฏิบัติก็มีให้รู้ ผู้ใดว่างลองเข้าไปเยี่ยมชมดูเรื่องราวความคิดเห็นได้ใน www.supawangreen.in.th เผื่อว่าอาจมีคนสำเร็จบรรลุได้ตามคำชี้แนะของเธอบ้าง



" สุขใดเล่าเสมอเท่าความสงบ ( วิมุตติ ) หามีไม่ "



ถ้อยคำจากผู้คงเชื้อสายกษัตริย์ ศาสดาผู้ละทิ้งความสุขในพระราชวังมาแสวงหาทางนิพพานในป่าเขา ลำเนาไพร....



ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และวิจารณ์ตามมุมมองความเห็นที่แตกต่างกัน นานาจิตตัง



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 09 ธ.ค.2005, 8:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ปกติเห็นข้อเขียนยาวๆแบบนี้จะกลัวนะ



พอเห็นเป็นคุณเบ๊ฯ คิดว่าต้องได้แง่คิดประเทืองปัญญาแน่ๆ เลยอ่านซะจบ ขอบคุณค่ะ



วิมุตติ
สำหรับเราคงพอเปรียบกับปลาคนึงถึงป่า ลิงรำพึงถึงโลกใต้สมุทร



เราไม่รู้หรอก เราพอใจแค่ว่า ตอนนี้เรามีคุณภาพของใจที่สงบสบายหรือเปล่า

แบบว่าเป็นคนมักน้อยอะนะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วรากร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ธ.ค.2005, 12:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ใดอ่านธรรมจากกระทู้ด้านบน เขาผู้นั้นได้ทำการปลุกดอกบัวที่จะพ้นในไม่ช้า



" สุขใดเล่าเสมอเท่าความสงบ ( วิมุตติ ) หามีไม่ "



หาให้เจอ ก็จะรู้เอง



สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง