Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความเป็นอรหันต์ของคนเดินดิน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เพียงพบเห็น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 1:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปุ๋ย ไม่ได้เอาทฤษฏีมาเถียงคุณหรอกค่ะ ทราบค่ะว่าตรงฌาณนี่ เข้าใจผิดคิดว่าตนเองนิพพานมีเยอะแยะค่ะ

Dec 11, 13:28 tanawat3 แต่แจ้งประจักษ์ต่อตนเองยังไม่พอ แต่กับคนอื่น คนแล้วคนเล่าที่ปฏิบัติอย่างเดียวกับผม นี่ไม่ใช่ผมคนเดียว

Dec 11, 13:29 ปุ๋ย หลงในคุณวิเศษที่ตนได้รับก็หลงติดอยู่กับฌาณนาน ปัญญาไม่แทงถึงเหตุก็ติดฌาณข้ามชาติต่อไปอีก

Dec 11, 13:29 tanawat3 มันมีวิธีพิสูจน์ครับคุณปุถ๋ย คนนิ่งปกติ ถ้าถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่ตนมี สิ่งนั้นจะแสดงออกมา แต่ถ้าคนนิพพานจริง ตั้งแต่ต้นจนจบ อารมณ์ไม่ขึ้นไม่ลง นิ่งตลอดไม่ต้องใช้ความอดทนมาก

Dec 11, 13:30 ปุ๋ย สิ่งที่คุณโพสก็พิสุจน์ความเป็นคุณธนวัฒน์อยู่แล้วค่ะ

Dec 11, 13:30 tanawat3 แล้วถ้ามองในมุมกลับ เราเอาปัญญามาใช้ฌาณให้เกิดประโยชน์ไม่ได้หรือ





อดคันปากไม่ได้ ดื้อยิ่งกว่าชฎิลตอนที่พระพุทธเจ้าไปโปรดอีก อึอึอึ
 
Montree
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 11 ธ.ค. 2005
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเป็นพระอริยบุคคลชั้นต่างตั้งแต่พระโสดาบัน ถึงพระอรหันต์ เค้าละสังโยชน์อะไรบ้างครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 3:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สังโยชน์ 10



1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง



2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น



แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ



สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ



- สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ



- วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์



- สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด



- อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ



3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้



4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า



- สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น



- วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ



- สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล



- กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต



- เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป



- เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน



- เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก



แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด



- มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ



- อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว



- อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า



ถ้าเราเป็นพระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหxxxิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต



5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก



http://www.dhammapratarnporn.com/sivamok4/sivamok_page11.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
เพียงพบเห็น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 4:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รวบรวมข้อมูลไว้เอง แล้วเขียนหนังสือสักเล่มดีกว่า อย่าไปโทษใครเลย นะครับ
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 4:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมโดนลบข้อความที่ผมโพสต์ต่อจากคุณปุ๋ย ผมไม่กลัวพวกคุณหรอกนะครับ ข้อความนี้ก็ให้ลบไปด้วย ไม่อยากจะมีเรื่องกับใครเหมือนกัน ความรู้จากการปฏิบัติ เป็นปัจจัยของแต่ละคน ผมไม่โทษเจ้าของกระทู้หรอก ไม่โทษใครทั้งนั้น เวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรได้อย่างนั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 5:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Dec 11, 14:34 tanawat3 ใช้แล้วเกิดผลอย่างไร ส่วนที่ไม่เกิดประโยชน์ ผมก็ไม่เอามา

Dec 11, 14:35 ปุ๋ย การปฏิบัติพิจารณาอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติแล้วสภาวะธรรมเป็นอย่างไร ภาษาธรรมดาที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันค่ะ

Dec 11, 14:35 tanawat3 โพธิญาณ คือผู้ที่บรรลุอรหัตผลแล้ว มีความปรารถนาดีอยากแนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องให้คนอื่น

Dec 11, 14:36 tanawat3 ผมบอกว่า พระไตรปิฎกใช้คำว่าอนุสัย ใช้เยอะด้วย แล้วรู้เหตุผลด้วยว่าทำไมถึงใช้ แต่ผมไม่ใช้

Dec 11, 14:37 tanawat3 ผมใช้คำว่าสันดานก็แล้วกัน แล้วสวรรคต่าง ๆ ก็ว่ากันไปตามสันดานแต่ละคนว่ามีความละเอียดของความคิดแตกต่างกันอย่างไร

Dec 11, 14:37 ปูคุง เป็นกำลังใจทุกคน

Dec 11, 14:37 tanawat3 ถ้าเราไม่รู้ตัวเรา แล้วเราจะประเมินผลได้อย่างไร

Dec 11, 14:38 ปุ๋ย คืออธิบายการปฏิบัติค่ะ และสภาวะธรรมตามลำดับค่ะ

Dec 11, 14:39 tanawat3 สวรรคชั้นที่ 1 ประเมินว่า เรามีความกังวลหรือไม่ ละความกังวลได้หรือยัง ถ้ายังหมดสิทธิ์นะครับ ประเมินตัวคณเองไม่ใช่คนอื่น เมื่อคุณละความกังวลได้แล้วก็ขึ้นสวรรค์ชั้น 2

Dec 11, 14:39 ปูคุง

Dec 11, 14:40 ปุ๋ย ค่ะ อันนี้คุณโพสไว้ในกระทู้แล้วค่ะ ขอสภาวะธรรมดีกว่าค่ะ

Dec 11, 14:40 tanawat3 สวรรค์ชั้นที่ 2 มีความปิติครับ แต่ความปิติยินดี ทำให้เกิดความหลงตนและการถือตัว ต้องละความหลงตนและการถือตัว ถ้าละไม่ได้อดเช่นกัน

Dec 11, 14:41 tanawat3 แต่นั่น คือสิ่งที่ให้เราประเมินผลตัวเอง หลักสูตรทุกหลักสูตร ต้องประเมินตนเองได้

Dec 11, 14:42 tanawat3 คุณเท่านั้นที่รู้ตัวคุ(ณ ผมเท่านั้นที่รู้ตัวผม

Dec 11, 14:42 ปุ๋ย ค่ะ เข้าใจค่ะ คุณได้โพสไว้แล้วในกระทู้ค่ะ มันเหมือนหัวข้อเท่านั้นค่ะ ก็หมายถึงระดับจิตที่ได้รับการพัฒนาให้ละเอียดขึ้นตามลำดับค่ะ

Dec 11, 14:44 tanawat3 สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เกิด กิเลส และวิบาก เป็น สมุหทัย 2 ใน 3 ประการที่เป็นสมุหทัยของคนยุคปัจจุบัน

Dec 11, 14:45 ปุ๋ย คืออธิบายสภาวะธรรมไม่ได้หรือค่ะคุณธนวัฒน์

Dec 11, 14:45 ปุ๋ย เพราะอันนี้อ่านแล้วค่ะ

Dec 11, 14:46 tanawat3 คือถ้างั้น ความกังวลทำให้เกิดการหลงตนและการถือตัว การหลงตนและการถือตัวทำให้เกิดความโลภ ความโลภทำให้เกิดความขี้เกียจ ความขี้เกียจทำให้เกิดความริษยาและเห็นแก่ตัว ความริษยาและเห็นแก่ตัวทำให้เกิดความโกรธ ความโกรธทำให้เกิดความพยาบาท ความพยาบาททำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้น .....ความพยาบาทมากขึ้น.....

Dec 11, 14:47 tanawat3 มันเป็นเหมือนขั้นบันไดครับ คือต้องละออกไปทีละเรื่อง ตามขั้นตอน

Dec 11, 14:48 tanawat3 ดังนั้น ถ้าเราจะตัดวงจรตัวนี้ เราต้องเริ่มสำรวจดูตัวเอง โดยการทำอานาปานสติ เพื่อตัดวงจรแห่งกิเลส และวิบาก ก่อน

Dec 11, 14:49 tanawat3 แล้วเมื่อจิตบริสุทธิ์ ตัดเรื่องพวกนี้ออกไปจากจิตได้แล้ว จึงค่อย ตัด กรรม ซึ่งเป็นสมุหทัย ทัวที่ 3 ออก

Dec 11, 14:51 tanawat3 จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมได้ เราต้อง แผ่เมตตา โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอแผ่เมตตาให้สรรพจิตสรรพวิญญาณให้ขึ้นสู่สุคติและแผ่เมตตาให้มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มีความสุขความเจริญ กุศลที่ได้ อุทิศให้กับ สรรพจิตสรรพวิญญาณ

Dec 11, 14:52 tanawat3 แต่การแผ่เมตตา จะเหนี่ยวนำเอาสันดานของเจ้ากรรมนายเวรมาติดเราอีกรอบ ทำให้เมื่อเราแผ่เมตตาไปสักพัก จิตจะเริ่มฟุ้งซ่านอีก จึงต้องล้างสันดานออก อีกรอบนะครับ

Dec 11, 14:53 tanawat3 ตอนนี้ขอให้ทุกคนปฏิบัติกันดู หวังว่าคงจะเข้าใจกันนะครับ ชัดเจนกว่าเมื่อวาน

Dec 11, 14:53 ปุ๋ย คือว่า เข้าไปพิจารณาอย่างไรค่ะ วิธีการปฏิบัติ กำหนดอะไร พิจารณาอะไรบ้างไงค่ะ

Dec 11, 14:55 tanawat3 พิจารณาสันดานของเราไงครับว่ามีมั้ย อย่างไร พอนึกถึงรู้ตัวว่ามี ก็ใช้กำลังสมาธิขจัดออกไป

Dec 11, 14:55 tanawat3 กำลังสมาธิ จะมีพลังอำนาจ แทนที่จะเอาไปใช้ในเชิงอภิญญา เอามาใช้ทำพวกนี้ดีกว่า อภิญญาผมก็ไม่เน้น

Dec 11, 14:55 ปุ๋ย กำหนดอะไรบ้างค่ะ

Dec 11, 14:57 tanawat3 เช่นถ้าเรามีความกังวล เราก็พิจารณาว่ามี เมื่อมีแล้วให้นึกว่าให้หมดไปจากตนให้ได้ นึกให้ออกไป ไล่ไป

Dec 11, 14:57 ปุ๋ย ดูลมหายใจแล้วสภาวะเป็นอย่างไรบ้าง สภาวะภายในกาย และจิตเป็นอย่างไรบ้างค่ะ

Dec 11, 14:58 tanawat3 ลมหายใจปล่อยไปตามปกติ ไม่ต้องไปกำหนดอะไรทั้งนั้น

Dec 11, 14:59 tanawat3 สิ่งที่ผมบอก คือให้ล้างสันดาน กับแผ่เมตตาเป็นปฏิเวธ เป็นนิโรธ เพราะนี้คือทางดับ กรรม กิเส และวิบาก

Dec 11, 15:00 tanawat3 ส่วนมรรค คืออย่าเข้าข้างตนเอง เมื่อรู้ว่ามีอยู่ อย่าปลอบใจตัวเองว่าไม่มีสันดานชั่วอยู่ในตน ไม่งั้นจะไม่เจอมรรคแน่นอน

Dec 11, 15:00 tanawat3 ขอเวลาพักแป๊บนึง

Dec 11, 15:01 ปุ๋ย อือม..ไม่เห็นอธิบายสภาวะธรรมเลยค่ะ

Dec 11, 15:01 ปูคุง ผมเหนื่อยแล้วล่ะ ลาสวัสดีคุณปุ๋ย คุณธนวัฒน์ก่อน

Dec 11, 15:01 tanawat3 ข้อสำคัญ เราจะทำอะไรก็ได้ในชีวิตเรา แต่อย่าให้สิ่งที่เราทำไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นด้วยเจตนาของเราก็พอแล้วครับ

Dec 11, 15:01 ปูคุง

Dec 11, 15:19 ปุ๋ย



พิสูจน์กันเอาเองนะครับ ผมก็มีที่ผมโพสต์ไว้เหมือนกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
คุณtanwat30
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 10:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถือว่าตอบได้ดี มีสติในการตอบครับ ขอถามเป็นการส่วนตัวนะครับ ทำงานอะไรอยู่
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 2:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อนความเห็นที่ 46 ผู้เจริญ



ผมปฏิบัติธรรมอย่างเดียวครับ ผมปฏิบัติธรรมอย่างเดียวครับ แต่ที่ไม่บวชเพราะผมก็อยากรู้ว่าถ้าเราเอาธรรมมะของพระพุทธองค์มาปฏิบัติ แล้วศึกษาตามหลักปฏิจสมุทรบาท จะได้หรือไม่ วิธีปฏิบัติได้ตามความเห็นที่ 45 ผลที่ได้ คุณต้องปฏิบัติเอง



ผมสงสารผู้ศึกษาธรรมยุคนี้ ที่เอาธรรมมะในเชิงทฤษฎีมาโต้แย้ง โดยที่ตนเองเข้าใจ หรือว่าแจ้ง มันแจ้งจริงหรือเปล่า เพราะถ้าแจ้งต้องมีผลที่ได้รับจากการปฏิบัติเป็นรูปธรรม และนามธรรม ออกมาอย่างชัดแจ้งเสมอ ถ้าแจ้งจริงต้องทำให้ตนพ้นทุกข์ เป้าหมายของพุทธศาสนาคือทำให้คนพ้นทุกข์ มิใช่เอาตำราหรือแม้แต่ในพระไตรปิฎกมาเถียงว่าถูกหรือผิด เพราะการทำเช่นนี้ไม่ทำให้ตนหรือใครพ้นทุกข์ได้เลย เรียกว่าเอาตำรามาท่วมทับปัญญา



หลักปฏิจสมุทรบาท คือหลักพิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์ หรือสิ่งอื่นใดว่าหาทางทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด เช่น เหตุปัจจัยแรกสงผลให้เกิดปัจจัยที่ 2 เหตุปัจจัยที่ 2 ทำให้เกิดปัจจัยที่ 3 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปัจจัยสุดท้าย หรือจากปัจจัยสุดท้ายไล่ลงมามาถึงปัจจัยแรกก็ได้ เมือสอบทานถึงเหตุปัจจัยที่มาด้วยเหตุและผล จะรู้ได้แม้กระทั่งคำสอนในพระไตรปิฎกที่มีถูกต้องทั้งหมดหรือไม่



สิ่งที่คนควรรู้และไม่รู้อีกมากมาย เช่นปัญหาโรคระบาด ปัญหาภัยธรรมชาติ ปัญหาการเมือง ปัญหาสังคมในยุคปัจจุบัน จะใช้ธรรมมะในการแก้ไขสิ่งเหล่านี้อย่างไร แต่ดันไปถกเถียงกันเรื่องในพระไตรปิฎกที่ผ่านมา 2500 ปีแล้ว ถ้าเอาธรรมมะมาถกเถียงกันเรื่องปัจจุบันและหาทางแก้อย่างไรจะดีกว่า เพราะการปล่อยวาง วางอุเบกขามันง่ายเกินไป



มีอีกหลายประเด็นที่ผมค่อนข้างเห็นใจผู้ศึกษาธรรมในสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสำนัก จำนวนวิธีในการปฏิบัติมากมาย คนปฏิบัติก็สับสน ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร



แล้วที่ผมมีสติ ตอบได้ตลอด เพราะผมทำได้อย่างที่ผมพูดจริงทุกคำพูดในทางปฏิบัตินะครับ แต่ผมก็ไม่ได้บอกให้ใครเชื่อ แล้วผมถึงไม่กลัวว่าใครจะเอาของผมมา เพราะผมพูดไว้ดีแล้ว คนมีปัญญาจะรู้เอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 11:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอยากทราบว่า การกล่าวตู่นั้น อย่างไรถึงเรียกว่าการกล่าวตู่ และมีโทษอย่างไร ถ้าไปบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 11:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กล่าวตู่ ก็คือ เรื่องไม่จริง ไปบอกว่า เรื่องจริง หรือ เรื่องจริง ไปบอกว่า เรื่องไม่จริง โดยมีบุคคลผู้ถึงกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องไงล่ะครับ



ต่างจาก โกหก ตรงที่ โกหก นั้น อาจไม่มีบุคคลที่ถูกพาดพิงเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้



เช่น เรื่องนี้พระพุทธเจ้าสอน ก็ไปบอกว่า ไม่ได้สอน ส่วนเรื่องนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ก็ไปบอกว่า พระองค์สอน เป็นต้น



โทษของการกล่าวตู่ น่ะหรือครับ ถ้าผู้ที่ถูกกล่าวตู่มีพระคุณมาก และได้รับความเสียหายมาก ก็จะทำให้ผู้กล่าวตู่ ลงมหานรกขุม 4 หรือ ขุม วจีกรรม พ้นจากนรกมาแล้ว เมื่อมาเป็นมนุษย์ก็จะถูกใส่ร้ายใส่ความต่างๆ โทษอย่างเบาที่สุดคือ พูดจากับใครก็ไม่มีใครเชื่อถือน่ะครับ



ดังเช่น ชาติในอดีตของพระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นชายหนุ่ม ไปกล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งว่า ทุศีล ทำให้ พระองค์ลงนรกอยู่นาน ชาติสุดท้ายแม้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังต้องถูกพวกเดรถีย์ จ้าง นางจิญจามาณวิกา หรือ นางสุนทรีมาใส่ร้ายน่ะครับ (ตรงนี้ผมจำไม่ได้ว่า นางใดนะครับ เพราะยังมีอีกกรรมหนึ่งในอดีต ทำให้พระพุทธเจ้ามาถูกอีกนางหนึ่งใส่ร้าย)

 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 11:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อนความเห็นที่ 48 ผู้เจริญ



คำกล่าวนั้น เป็นคำกล่าวที่ทำให้เจตนารมณ์ของพุทธศาสนาถูกบิดเบือน เจตนาที่แท้จริงของพุทธศาสนาคือนำเอาธรรมมะมาปลดเปลื้องความทุกข์ให้ตนได้โดยวิธีการปฏิบัติ ไม่ใช่เอาธรรมมะของพระพุทธองค์มาถกกันว่า ฉันรู้แบบนั้น เธอรรู้แบบนี้แล้วไม่ทำให้เจตนารมณ์ของพุทธศาสนาที่แท้จริงเกิดขึ้น ซึ่งถ้าสิ่งที่ผมกำลังทำผิดไปจากสิ่งที่คนอื่นรู้ ก็ไม่แปลก เพราะผมต้องการนำวิธีการปลดทุกข์มาบอกให้รู้ ส่วนการบรรลุอรหันต์นั้น นัยของความหมายย่อมพูดได้ เมื่อวานผมฟังหลวงตามหาบัว ท่านยังพูดถึงการบรรลุอรหัตผลในความหมายเลยครับ นี่คือข้อเท็จจริง



เช่นสัมมาทิฏฐิ ผมได้มาจากตัวเองเลย อันไหนที่ทำแล้วเป็นโทษ อันนั้นก็ไม่สัมมา ผมก็ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร อันไหนทำแล้วเกิดผลเป็นประโยชน์ก็คือสัมมา ยึดตามเจตนารมณ์ของพุทธศาสนาครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 12:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็แสดงว่า การกล่าวตู่นั้น ไม่ได้หมายถึงการให้ร้าย หรือ บุคคลที่ไม่ชอบพระองค์ เช่นพวกเดียรถีย์ พระเทวทัต เท่านั้น แต่หมายถึง คนที่รัก และ ศรัทธาในพระองค์ด้วย



อย่าง คนที่ศรัทธาในพระองค์ แต่ กล่าวตู่พระองค์ คือ นำคำสอนไปเผยแพร่ ต่างไปจากที่พระองค์ทรงสอน แบบนี้ก็เรียกว่าการกล่าวตู่ด้วยใช่ไหมครับ





แล้วบางคนหลงผิด คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพบเจอคือ ของแท้ ของจริง แล้วไปสอน ทั้งที่จริงแล้วไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ถาวร คือเจ้าตัวอาจมีเจตนาดี อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น อยากแนะนำสิ่งที่ตัวเองรู้ ให้กับผู้อื่น คือ มีเจตนาดี ต่อผู้อื่น แต่ สิ่งที่บอกนั้นมันผิดทางแบบนี้ ก็เรียกว่าการกล่าวตู่ใช่ไหมครับ แล้วจะตกนรกไหมอะครับ แบบนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
lily
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 1:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีเจตนาดี ต่อผู้อื่น แต่ สิ่งที่บอกนั้นมันผิดทาง ตกไม่ตก น่าคิดครับ
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเห็นที่ 51 ผู้เจริญ



คำสอนในพุทธศาสนา ไม่มีคำว่าผิดหรือคำว่าถูก มีแต่ได้ผลกับไม่ได้ผล ตามหลักแล้ว การปฏิบัติแล้วได้ผลดีต่อตนเองทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ถือว่าเป็นคำสอนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ แต่คำสอนใด ที่ให้โทษในการปฏิบัติต่อตนเอง ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ



การบรรลุธรรมชั้นใด ผู้อื่นตัดสินแทนตนไม่ได้ นอกจากผู้มีฌาณด้วยกัน ซ.งจะเป็นผู้ทรงอภิญญา รู้วาระจิตของผู้อื่นได้



คำสอนที่ทำแล้วให้ผลตามความประสงค์ของพุทธศาสนา คือคำสอนที่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธองค์ อยู่แล้วครับ แต่คำสอนที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง หรือไม่แน่ใจ ต้องใช้ปฏิจสมุทรบาทในการพิสูจน์เสียก่อน แม้เป็นคำกล่าวของพระพุทธองค์ก็อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าผลนั้นจะปรากฏชัดแจ้งประจักษ์ต่อตนเองก่อนแล้วจึง ค่อยเชื่อ ขอให้เชื่อในผลที่ตนได้รับก่อน แล้วความเชื่อหรือความทรัทธาจะไปตกอยู่ที่ตัวพระพุทธองค์ท่านเอง การเชื่อก่อนเห็นผลประจักษ์แจ้งต่อตนเองด้วยการปฏิบัติ หรือการเชื่อที่อ้างเพียงว่าพระพุทธองค์ท่านบอก ถือว่าผิดหลักคำสอนในพุทธศาสนา ถือว่าเป็นความงมงาย ผมเปิดดูในพระไตรปิฎกแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่หน้าไหน ของ อ. ชูชีพ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 4:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความคิดเห็นที่ 53 ท่านหมายถึง กาลามสูตร หรือ เปล่า ใช่ปะใช่ปะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ร่วมด้วย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 4:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เคยได้ยินแบบนี้เลย



"คำสอนที่ทำแล้วให้ผลตามความประสงค์ของพุทธศาสนา คือคำสอนที่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธองค์ อยู่แล้วครับ แต่คำสอนที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง หรือไม่แน่ใจ ต้องใช้ปฏิจสมุทรบาทในการพิสูจน์เสียก่อน แม้เป็นคำกล่าวของพระพุทธองค์ก็อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าผลนั้นจะปรากฏชัดแจ้งประจักษ์ต่อตนเองก่อนแล้วจึง ค่อยเชื่อ ขอให้เชื่อในผลที่ตนได้รับก่อน แล้วความเชื่อหรือความทรัทธาจะไปตกอยู่ที่ตัวพระพุทธองค์ท่านเอง การเชื่อก่อนเห็นผลประจักษ์แจ้งต่อตนเองด้วยการปฏิบัติ หรือการเชื่อที่อ้างเพียงว่าพระพุทธองค์ท่านบอก ถือว่าผิดหลักคำสอนในพุทธศาสนา ถือว่าเป็นความงมงาย ผมเปิดดูในพระไตรปิฎกแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่หน้าไหน ของ อ. ชูชีพ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน"



เพราะพระพุทธองค์สอนให้คนมีความศรัทธาก่อน แล้วนำศรัทธานั้นมาปฏิบัติ และกาลามสูตร ก็สอนว่าให้เชื่อสิ่งที่เป็นกุศลและไม่เชื่อสิ่งที่เป็นอกุศล เพื่อเป็นความเชื่อเบื้องต้นในการรักษาศีล ไม่คอยให้เกิดผลที่ตนได้รับแล้วจึงไปเชื่อ เพราะเห็นผลแล้วย่อมรู้



 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 5:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใช่ครับ ความเห็นที่ 54 คนต้องรู้จักใช้ ผมรู้จักเรื่องนี้จากการปฏิบัติสมาธิภาวนาครับ



ความเห็นที่ 55 ผู้เจริญ ศรัทธาในวิธีปฏิบัติ ถูกครับ แต่ยังไม่ให้เชื่อในผลว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง หรือถึงไม่ต้องศรัทธาก่อนก็ได้ ให้ปฏิบัติก่อน อย่างผมก็ปฏิบัติก่อน ศรัทธาทีหลังครับ คือลอง ๆ ดูว่าจริงหรือไม่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 6:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบคุณนิวส์ ความเห็นที่ 51

ใช่แล้วล่ะครับ และแม้จะไม่ได้ตั้งใจโกหกเลย แต่เข้าใจผิด แล้วก็สอนผิดในสิ่งที่หลักสำคัญของชีวิต คือ ศีล 5 ก็จะต้องลงนรกกันแบบนับไม่ไหวเลยล่ะครับ



เช่น บางลัทธิ สอนว่า ปลา เป็นอาหารที่เทพเจ้า ประทานมาให้มนุษย์ ผลก็คือ มีคนเชื่อ แล้วไปตกปลากันทั่วโลก และสั่งสอนต่อๆ กันมาถึงลูกหลาน ลูกหลานก็ไปตกกันทั่วโลก



ทุกครั้งที่ใครฆ่าปลาด้วยความเชื่ออย่างนี้ บาปก็จะมีส่วนไปยังผู้สอนไปในแต่ละครั้งเลยล่ะครับ และตราบใดที่ยังมีคนเชื่อนี้แล้วไปฆ่าปลา บาปกรรมก็จะมีไปยังผู้สอนเช่นนี้ไปตลอด แม้ตัวเขาจะตายไปแล้วก็ตาม บาปยังคงตามให้ผลตลอดครับ

 
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 6:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะความไม่รู้นี้แท้ ๆ ทีเดียว ถ้ารู้ก็คงจะไม่ทำ น่ากลัวจริง เวรกรรมนี่ ถ้าสำคัญตนผิด และสอนในสิ่งผิด ใครที่เชื่อ แล้วทำตาม ( ในทางที่ผิด) แทนที่จะให้เขาได้ไปถูกทาง หาทางพ้นทุกข์ได้ แต่ กลับสอนเขาหลงทาง เข้ารก เข้าพง ผิดซ้ำผิดซ้อนไป หูยยยยยยยยยยย ผมไม่อยากจะนึกถึง บาปกรรมนี้เลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 7:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อน ความเห็นที่ 57-58 ผู้เจริญ



คนปฏิบัติแล้วเขาไม่เชื่อก็ได้ครับ ผิดถูกอยู่ที่ผลที่ได้รับ ไม่ใช่วัดจากตำราครับ นรกผมไม่กลัว เพราะผมตั้งใจดี ผมไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ หรือไม่ได้บังคับให้ใครปฏิบัติ กาลเวลาจะพิสูจน์สิ่งที่ผมทำวันนี้เอง เหมือนกับ คนปัตตานีเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไม่มีใครสนใจ แต่ตอนนี้มีแต่คนเรียกหา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง