ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:20 pm |
  |
ใช่ ครับ อย่างที่คุณวรากร ให้คำแนะนำไว้ เจตนา กะ ไม่รู้ว่าทำแล้วบาปนั้นต่างกัน
ไม่เจตนาฆ่า กะ ไม่รู้ว่าฆ่าแล้วบาป ไม่เหมือนกันนะครับ
คุณปิงปอง ม. ราม อธิบายถูกแล้วครับ เปรียบให้เข้าใจง่าย คือ เปรียบว่าเราไปจับเหล็กที่หลอมไฟร้อน ๆ แดง ๆ ยกขึ้นมาจาก เตาหลอม
มีคนสองคน มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้ สองคนนี้ต้องไปจับเหล็ก อันที่ร้อนอันนั้นที่ขึ้นมาจากเตาหลอม เหมือนกัน
เหล็กหลอมไฟอันนี้เปรียบเหมือน กรรมชั่ว ( ที่ถ้าใครไปจับมันแล้ว ต้องได้รับความทุกข์ ทรมานจากมันแน่นอน )
ทีนี้ นายสองคนนี้ คนแรก รู้ ว่า เหล็กนี้มันมีความร้อน ถ้าจับเข้าแล้วร้อนและทำให้ตัวเองเจ็บตัว
อีกคน ไม่รู้เลย ว่าเหล็กอันนี้ มันร้อน และสามารถทำให้ตัวเองที่จับไปแล้ว เจ็บตัวได้
คน แรก รู้ว่าร้อนนะเหล็กนี้ทำให้เมื่อจับแล้วเจ็บปวด ก็จะจับ อย่างไม่เต็มไม้เต็มมือนัก
ผลคือร้อนและเจ็บปวดจากการจับ ( คือได้รับวิบากกรรม จากการทำอย่างนั้น คือได้รับผล ได้รับความเจ็บ แน่นอน ) แต่ทำอย่างรู้ว่าจะเจ็บตัวเอง ก็จะไม่จับอย่างเต็มกำลัง เต็มที่
คนที่สอง ไม่รู้ว่าเหล็กอันนี้ มันร้อน ถ้าจับไปแล้วจะทำให้ตัวเองเจ็บปวด ก็จะจับเหล็กอันนี้อย่างเต็มแรง ( เหมือนกับคิดว่าตัวเอง หยิบจับของ ธรรมดา อย่างเช่น จับ รีโมท จับ ขันน้ำ คือจับอย่างไม่ระแวง จับอย่างเต็มกำลัง ) ผลที่ได้จากการจับเหล็กร้อนคือ เจ็บอยู่แล้ว ( ได้รับวิบากอยู่แล้ว เหมือนคนแรกได้รับความเจ็บปวด จากการจับเหล็ก )
แต่คนแรกรู้ จับด้วยความกลัว ( กลัวเจ็บ ) ก็จะยั้ง ๆ มือไว้ จับแบบคนกลัวเจ็บ ( จับอย่างไร หลายท่านคงพอจะรู้นะ เวลาที่จะจับของร้อน )
คนที่สอง จับอย่างเต็มกำลัง เพราะไม่กลัว ( เพราะไม่รู้ว่าร้อน และ เจ็บ)
ได้รับบาป ( ผลจากการจับ คือ เจ็บเหมือนกัน ) แต่ ความเจ็บปวด ( ความบาป ) ต่างกัน
เปรียบง่าย ๆ สำหรับคนยุคนี้
เอาอาหารไปอุ่นในไมโครเวฟ ( อุ่นให้ร้อน )
มีเพื่อนสองคน ไปนำอาหาร ที่อยู่ในไมโครเวฟออก ( ที่อุ่นจนร้อน แบบ ซะใจแล้ว )
คนแรก เคยใช้ไมโครเวฟ ( คือ รู้ว่าอาหารทีเข้าไมโครเวฟแล้วร้อน ) จะค่อย ๆ จับ เอาออกมา
คนที่สอง ไม่เคยใช้ไมโครเวฟ ( ไม่รู้ว่า ร้อน) ไปเอาออกมา การจับ ก็จะจับ แบบคนไม่รู้ คือ จับ อย่างเต็มกำลัง
ผลคือ เจ็บเหมือนกันครับ แต่ มากน้อยต่างกัน ค่อย ๆ จับ ก็จะเจ็บมือน้อยกว่า จับ อย่างคนไม่รู้ว่าร้อนคือ จับเต็ม ๆ ก็ เจ็บมากกว่า
ผมจึงคิดว่า คน ที่รู้ เรื่องบาปกรรม ได้รับคำสอน ว่าสิ่งนี้ทำแล้วดี สิ่งนี้ทำแล้วไม่ดี ย่อมได้รับทุกข์น้อยกว่า คนที่ไม่รู้เรื่องบาปกรรม ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ทำนั้น ดี หรือ ไม่ดี
( ต่างจากรู้ แล้วทำ กับ รู้ แล้วไม่ทำนะครับ รู้แล้ว ทำก็บาป รู้แล้ว ไม่ทำ ก็ไม่บาป )
( ทำโดย เจตนา กับ ทำโดย ไม่เจตนา นั้น ทำโดยเจตนา นั้น บาปมาก ทำ โดยเจตนานั้นบาปน้อยกว่า กว่า ต่างจาก รู้ และ ไม่รู้ นะครับ ไม่เหมือนกัน )
พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ได้สอนความจริง เรื่อง การพ้นทุกข์ การทำตัวไม่ให้เป็นทุกข์ พระองค์รู้ แล้ว มาบอก ว่าทำแบบนี้ ได้รับทุกข์นะ คนก็จะเบาบางจากการเป็นทุกข์
แต่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ไม่มีคำสอน ให้คนได้ปฏิบัติ คนก็จะทำไปตามอำเภอใจ อำนาจกิเลส ทำอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วเจ็บปวด ก็จะทำอย่างไม่สนใจไม่กลัว ( เพราะไม่รู้ว่า จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวด ต้องทุกข์ทรมาน)
ปล. ใครมีความเข้าใจ นอกเหนือไปจากนี้ หรือ ผมยังเข้าใจไม่ครบถ้วนแนะนำด้วยครับ ถือ ว่าเราเป็นคนศึกษาธรรมเหมือนกัน ไม่ต้องเกรงใจกันครับ |
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:27 pm |
  |
คนธรรมดา รู้ หรือเปล่าครับ ว่า ฆ่า คนเป็นบาป |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:54 pm |
  |
อิอิ นาทีทอง ต้องรีบโพส
เป็นไปได้ไหมว่า เพศของพระมีมาตราฐานทางคุณธรรมสูงกว่าฆราวาส
ขยายความแบบคนไม่รู้ชวนคุยนะคะ
ตามหลักการ ถ้าพระฆ่าคนแล้วก็ปาราชิก เป็นตาลยอดด้วน ห้ามมรรคผลนิพพาน
แล้วถ้าหากคนธรรมดาไปฆ่าคนตาย สมมุติว่ามีเจตนา แต่ภายหลังสำนึกตนได้
หลังจากนั้นตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดี รักษาศีลภาวนา
คนนี้จะถูกตัดโอกาสเข้าถึงพระโสดาในชาตินั้นๆไหม ?
ถ้าใช่ แสดงว่าเกิด double standard (หรือเปล่า?) |
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:57 pm |
  |
ขอโทษ คอมเมนท์ เมื่อตะกี้ ไม่ละเอียด
เอาใหม่นะครับ
คุณ เฮ้อ ตั้งคำถามไว้ ก็น่าสนใจครับ พระบันดาลโทสะ แล้วฆ่าคน ขั้นปาราชิก กะ อีกคน เป็นคนธรรมดา ฆ่า คน
ต้องดูว่ามีปัจจัยที่เหมือนกัน หรือ เปล่า
1 คนธรรมดา นั้น รู้ว่าฆ่าคนเป็นบาปหรือเปล่า
2 พระ และ คนธรรมดา ( ไม่ต้องถือศีล ) นั้น ฐานะไม่เหมือนกัน ก็เทียบกันไม่ได้ |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 11:11 pm |
  |
ดูกร ความคิดเห็นที่ 20 ผู้เจริญ ท่านพูดถูกต้องชอบแล้ว
เพียงแต่เราหนักใจในการชั่งความมากน้อยแห่งบาปเคราะห์
จึงขอแสดงความเห็นตามประสาหยาบว่า
เป็นบุญหนักหนา เกิดมาเป็นคนชาตินี้ ได้พบพระพุทธศาสนา
ได้ขวนขวายฟังธรรมแห่งพระบรมศาสดา จึงพอรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง
แม้นสิ่งใดที่ทำแล้ว น้ำตาจะชุ่มหน้าด้วยความเสียใจ ไม่ทำเสียจะดีที่สุด |
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 11:20 pm |
  |
อืม คุณบัวเบลอ ตาลยอดด้วนเป็นไงอ่า
ที่คุณบัวเบลอว่า ใช่เลยครับ
เพศของพระ มี คุณธรรมสูงกว่า ฆราวาส เทียบกัน ก็ เหมือนมวย คนละชั้น ( เพราะคุณธรรมสูงกว่า ทำสิ่งดี ก็ ดี กว่าฆราวาส ทำสิ่งร้าย ก็ร้ายกว่า ฆราวาส ) |
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 4:47 am |
  |
ดูก่อนความเห็นที่ 23 กับ 25 ผู้เจริญ
พระกับฆราวาสนั้น ถ้าเปรียบเทียบสภาพร่างกายภายนอกแล้วเหมืนกันทุกอย่าง แล้วทำไมการทำบาปถึงต้องบาปมากหรือบาปน้อยกว่ากันด้วย ความเป็นพระหรือเป็นฆราวาสอยู่ที่จิตใจ คำตอบของท่านนั้นเองที่เป็นคำถามและเป็นคำตอบที่แฝงไปซึ่งความทุกข์ถาวร ทื่คนพุทธยุคปัจจุบันพึงมี และเป็นคำถามและคำตอบที่ไม่อาจทำให้ใครก็ตามบรรลุธรรมชั้นสูงได้
ดูต่อมา ผู้จะขึ้นสวรรคชั้น 1 ต้องละความกังวล หรือฌาณ 1 มีวิตกวิจารณ์เป็นองค์นำ (เดี๋ยวจะบอกว่าผมไม่เอามาจากพระไตรปิฎกอีก) เมื่อมีเช่นนี้แล้ว เป็นพระต้องคอยระวังสำรวมมากกว่าฆราวาส ถ้ามองมุมนี้พระจะบำเพ็ญเพียรยากกว่าฆราวาส แล้วก็สำเร็จมรรคผลนิพพานยากกว่าฆราวาสด้วย ถ้ามองตามเหตุผลแล้ว ที่ผมเคยบอกว่าฆราวาสบำเพ็ญเพียรยากกว่าพระก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะฆราวาสไม่ต้องระวังสำรวมอะไรเลย ไม่ต้องมากังวลว่าใครจะมองตนอย่างไร หรือรู้สึกว่าตนเป็นอย่างไร แต่มุมที่ผมเคยบอกว่าฆราวาสบำเพ็ญเพียรยากกว่าพระ เพราะผมตั้งสมมุติฐานว่า ฆราวาสไม่สนใจในการปฏิบัติเท่าพระ ขอบคุณความเห็นคุณ new ทำให้ผมแตกฉานขึ้น ความรู้ที่ผมนำมาโพสต์ได้จากความคิดของคนยุคปัจจุบันนี้แหล่ะ คือคนอื่นคิดอย่างไร ผมก็หาเหตุผลว่าทำไมคนคิดเช่นนั้น ความทุกข์ของคนเหล่านั้นมาจากไหน แก้อย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ เพราะนี่คือเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพุทธศาสนา
สวรรคชั้นที่ 2 มีปิติเป็นองค์นำ ให้ละความหลงตนและการถือตัว พระก็ต้องถือตัวว่าเป็นพระก็ปฏิบัติธรรมยากกว่าฆราวาสเสียอีก เพราะต้องคอยวางมาด ต้องคอยสำรวมระวังตัว ซึ่งดูแล้วพระน่าบำ-เพ็ญเพียรยากกว่าฆราวาส แล้วถ้าพระจะบาปน้อยกว่าฆราวาส ในการทำผิด เพราะพระทำผิดมีฆราวาสเป็นหูเป็นตาให้จะช่วยลดทอนความผิดของพระลงไปได้บ้างแล้ว ยิ่งฆราวาสสนใจพระรูปนั้นมากเท่าไหร่ ยิงชดใช้กรรมให้พระรูปนั้นได้มากเท่านั้น ก็เพราะฆราวาสสนใจพระมากกว่าฆราวาสสนใจฆราวาสด้วยกัน ความเห็นข้อนี้ผมพยายามนั่งหาเหตุผลมาตอบอยู่ แล้วตอบที่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ข้อเวลาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะยังไม่แจ้งประจักษ์ต่อตนเอง ไม่เหมือนข้อธรรมอื่น ๆ ที่เป็นความเห็น ซึ่งได้ตอบไปก่อนนี้แล้ว เพราะการรับรู้ เรียนรู้ ทำให้ตนเข้าใจ และประจักษ์แจ้งต่อตนเองด้วยเหตุและผล อันพึงมีในปัจจุบัน เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอ่านจากตำราใด ๆ นี่คือการตรัสรู้ข้อธรรมด้วยด้วยตนเอง เมื่อประจักษ์แจ้งต่อตนเองแล้ว จึงเอาข้อธรรมนั้นมาอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ซึ่งการตรัสรู้ข้อธรรมแต่ละข้อ ใช้เวลาไม่เท่ากัน เช่นการตรัสรู้เกี่ยวกับกฎของสวรรค์ หรือทำอย่างไรจึงจะไปสู่สุคติ หรือได้มรรคผลนิพพาน ใช้เวลาประมาณ 8 เดือน อริยสัจ 4 ใช้เวลา ประมาณ 2 ปี เพราะความยากง่ายไม่เท่ากัน |
|
|
|
    |
 |
วัยโจ๋
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 5:16 am |
  |
ตกลงพระอรหันต์กินข้าวแกง มาบิดเบือนพระไตรปิฏก รู้กว่าพระไตรปิฎกอีกแล้ว ว่าพระฆ่าคนไม่บาปกว่าฆราวาส เพราะเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ทั้งที่ไม่ได้เป็นนี่ลำบากจริงหนอ เพราะเข้าใจหลักธรรมคลาดเคลื่อนไปทั้งหมด เอาหลักธรรมให้เข้ากับตน แม้สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสก็ยังว่าธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นพระแล้วจะปาราชิก อดมรรคผลนิพพานเน้อ ระวังไว้ |
|
|
|
|
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 9:59 am |
  |
ความคิดเห็นที่ 26 ผู้เจริญ
บอกว่าผมไม่เอามาจากพระไตรปิฎกอีก) เมื่อมีเช่นนี้แล้ว เป็นพระต้องคอยระวังสำรวมมากกว่าฆราวาส ถ้ามองมุมนี้พระจะบำเพ็ญเพียรยากกว่าฆราวาส แล้วก็สำเร็จมรรคผลนิพพานยากกว่าฆราวาสด้วย ถ้ามองตามเหตุผลแล้ว ที่ผมเคยบอกว่าฆราวาสบำเพ็ญเพียรยากกว่าพระก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะฆราวาสไม่ต้องระวังสำรวมอะไรเลย ไม่ต้องมากังวลว่าใครจะมองตนอย่างไร หรือรู้สึกว่าตนเป็นอย่างไร แต่มุมที่ผมเคยบอกว่าฆราวาสบำเพ็ญเพียรยากกว่าพระ เพราะผมตั้งสมมุติฐานว่า ฆราวาสไม่สนใจในการปฏิบัติเท่าพระ
อ่านจากที่ท่านเขียน ยังงงเลย ตกลง พระบำเพ็ญเพียร ยากกว่า ฆราวาส หรือ เป็นฆราวาส บำเพ็ญเพียร ยากกว่า พระ อ่านประโยคนี้ของท่านแล้วผมมึนหัวตึ๊บ  |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 10:19 am |
  |
ตาลยอดด้วน .. ลองจินตนาการตาลยืนต้นยอดด้วนดูจิ
มันไม่เจริญไม่งอกไม่เงย ไม่มีดอกไม่มีผลอะไร
อันนี้จำขี้ปากผู้ใหญ่มาฝอยต่อหรอกนะ
หึ หึ .. อยู่ดึก เอ๊ย เช้าเลยน่อ สุขภาพแข็งแรง จิตใจสดใสๆ  |
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
10 ธ.ค.2005, 10:29 am |
  |
ดูก่อนความเห็นที่ 27 ผู้เจริญ
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผล ถ้าเรารู้จักคิดหาเหตุผล การศึกษาพุทธศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเรายึดติดตำรา ตำรานั้นจะดึงเราให้ยึดติดเช่นเดียวกับมัดตราสังข์ทางปัญญา อย่างไร เรื่องความทุกข์ถาวรที่มนุษย์พึงมี คงอธิบายให้มนุษย์ฟังยาก เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้เข้าใจหลักธรรมคำสอนไม่ต่างไปจากพวกคุณหรอก แต่พอปฏิบัติจริง ประสบการณ์ที่ได้จริงไม่สอดคล้องตามตำราที่มี ก็ต้องมานั่งคิดว่า การกินข้าวเย็น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเปล่า เดือดร้อนอย่างไร ส่วนผมเองไม่กลัวอดมรรคผลนิพพานหรอกนะครับ เพราะผมได้มาแล้วตามสิทธิ์ ก่อนที่ผมจะกลับเข้าร่างมาแนะนำพวกมนุษย์ ตอนที่ผมนิพพานไปแล้ว ผมยังลังเลเลยว่าจะรับมือกับความคิดของมนุษย์ยุคนี้ได้หรือไม่ ก็ตัดสินใจอยู่นานระหว่างมรรคผลนิพพานอยู่ตรงหน้าอยู่แค่เอื้อม กับมนุษย์ตาดำ ๆ ที่ยังไม่พ้นทุกข์ผมจะเลือกเอาแบบไหน แล้วผมก็ได้เลือกของผมแล้ว แต่ถูกหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่รู้ว่าตอนนี้ผมก็ท้อเหมือนกัน แต่ไม่ถอย
ความเห็นที่ 28 ผู้เจริญ ผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียนเลย เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ชวนให้ผมหาคำตอบว่า ระหว่างพระกับฆราวาสถ้าทำผิดแล้วใครจะบาปกว่ากัน อย่างไร ผมก็บอกแล้วว่า ผมพยายามคิดอยู่ รอผมหาคำตอบก่อน กระบวนการตรัสรู้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อธรรมที่ชอบด้วยเหตุผล ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสิ่งนั้นต้องรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวผมก่อนนี่ ยิ่งยากเลยครับ อะไรที่รู้อยู่แล้วไม่เป็นปัญหา แต่อะไรที่ไม่รู้ ที่ผมอธิบายเรื่องพระกับฆราวาส ยังผ่านแค่กระบวนการรับรู้เองครับ ยังไม่ไปขั้นเรียนรู้ เมื่อไม่เรียนรู้ก็ไม่เข้าใจ จึงทำให้ประจักษ์แจ้งต่อตัวผมเองไม่ได้ ขอเวลาสักพักหนึงก็แล้วกัน |
|
|
|
    |
 |
อุ๋งอิ๋ง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2005, 1:24 pm |
  |
กระทู้เรื่องนี้ขอให้ไปดูในหนังสือมิลินทปัญหา จะทราบคําตอบค่ะ |
|
|
|
|
 |
ก ร ก ต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2005, 4:18 pm |
  |
- เจตนากับไม่เจตนา เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
- รู้กับไม่รู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ
ต้องแยกให้ออกว่าทั้งสองอย่างเป็นคนล่ะอย่างกันครับ
ถ้าเจตนาจะฆ่าคนแต่ไม่รู้ว่าเป็นบาปแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร(อาจใช้วิธีที่ทารุณโหดร้ายเพราะไม่รู้ว่าบาป)
ถ้าเจตนาจะฆ่าคนและรู้ว่าเป็นบาป(เขาอาจจะทำอย่างไรให้คนนั้นตายสบายที่สุด)
ตายเหมือนกันแต่ความทรมานต่างกันบาปก็น่าจะต่างกัน
รู้ว่าเป็นบาปแต่ไม่เจตนา ปืนลั่นฆ่าคนจะบาปหรือไม่
รู้ว่าเป็นบาปแต่เจตนา ก็ย่อมเป็นบาป
ไม่รู้ว่าเป็นบาปแต่เจตนาฆ่า จะบาปไหม
ไม่รู้ว่าเป็นบาปและไม่เจตนาฆ่า จะบาปไหม |
|
|
|
|
 |
ปิงปอง ม.ราม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 1:50 am |
  |
ไม่ได้เข้าเวปนี้หลายวันไม่คิดว่าจะมีคนสนใจกระทู้นี้ขนาดนี้ ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมนะครับ ในทางโลกผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดแต่ในทางธรรมไม่รู้เป็นความผิดเดียวที่อภัยไม่ได้ องค์ประกอบของบาปนั้นมีหลายอย่าง ถ้าผู้ถูกฆ่ามีคุณสูงจะบาปมากกว่าผู้ถูกฆ่าที่มีคุณต่ำกว่า ฆ่ายุงย่อมบาปน้อยย่อมบาปน้อยกว่าฆ่าคนเปรียบเทียบได้ว่าเราถูกรถจักรยานชนกับถูกรถสิบล้อชน แต่กรรมอย่างเดียวกันนั้นถ้าผู้ทำเป็นคนละคนผลของบาปอาจจะเป็นคนละเรื่อง กรรมอย่างเดียวกันบุคคลหนึ่งทำแล้วไปนรกแต่อีกคนหนึ่งทำกลับไม่ต้องไปเพราะผู้ทำกรรมคนหนึ่งเป็นผู้ไม่ได้อบรมตนไม่รักษาศีล ไม่เจริญปัญญาเมื่อทำกรรมเพียงเล็กน้อยก็ไปอบายส่วนอีกคนเป็นผู้อบรมตนรักษาศีลเจริญปัญญา ทำกรรมอย่างเดียวไปไม่ต้องไปอบายเหมือนกับเรือสองลำๆหนึ่งเป็นเรือปริ่มน้ำพอใส่ของหนัก 10 กิโลกรัมก็จมลงทันที ส่วนเรืออีกลำเป็นเรือแข็งแรง ลอยอยู่สบายๆใส่ของหนัก 10 กิโลกรัมก็ยังเฉยๆใส่อีก20 กิโลก็อยู่ได้ไม่จมลง ในเรื่องความรู้กับไม่รู้ รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ ถ้ารู้ว่ารักษาศีลจะทำให้สวย หากเราหมั่นรักษาศีลชาติต่อไปก็จะเป็นผู้มีรูปงาม เหตุผลที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็เพื่อสั่งสอนให้สัตว์โลกได้รู้อะไรดีอะไรชั่วอะไรบุญอะไรบาป อะไรเป็นทางแห่งความเจริญอะไรเป็นทางแห่งความเสื่อม เพราะหากไม่มีแสงสว่างแห่งปัญญาของพระพุทธองค์สัตว์โลกคงต้องไปอบายไปเกือบทั้งหมดเนื่องจากความไม่รู้ในเรื่องในกฏแห่งกรรม เคยมีคนเชื่อมาแล้วว่าฆ่าแพะไปบูชายัญจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ ลองคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีดวงอาทิตย์จะเกิดอะไรขึ้นเราคงเป็นอยู่อย่างลำบาก แต่ความไม่รู้อะไรเป็นบาปอะไรไม่เป็นบาปกลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า |
|
|
|
|
 |
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 9:00 am |
  |
ไม่รู้ว่าตบยุงที่มาดูดเลือดว่าเป็นบาป เพราะฉะนั้นยุงกัดทีไรมีเจตนาตบตายทุกที
รู้ว่าตบยุงที่มาดูดเลือดว่าเป็นบาป เพราะฉะนั้นเวลายุงกัดถ้ามีสติจะไม่ตบอาจทำทานให้ดูดเลือดหรือแค่ไล่มันไปโดยยุงไม่ตาย
รู้ว่าตบยุงที่มาดูดเลื่อดว่าเป็นบาปอาจเผลอไปปัดทำให้มันตายโดยไม่เจตนาก็ได้
หวังว่าเพื่อนสมาชิกธรรมคงมองออกแล้วในคำตอบของกระทู้นี้นะครับ |
|
|
|
|
 |
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 9:45 am |
  |
"เหตุผลที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็เพื่อสั่งสอนให้สัตว์โลกได้รู้อะไรดีอะไรชั่วอะไรบุญอะไรบาป อะไรเป็นทางแห่งความเจริญอะไรเป็นทางแห่งความเสื่อม เพราะหากไม่มีแสงสว่างแห่งปัญญาของพระพุทธองค์สัตว์โลกคงต้องไปอบายไปเกือบทั้งหมดเนื่องจากความไม่รู้ในเรื่องในกฎแห่งกรรม "
"แต่กรรมอย่างเดียวกันนั้นถ้าผู้ทำเป็นคนละคนผลของบาปอาจจะเป็นคนละเรื่อง กรรมอย่างเดียวกันบุคคลหนึ่งทำแล้วไปนรกแต่อีกคนหนึ่งทำกลับไม่ต้องไปเพราะผู้ทำกรรมคนหนึ่งเป็นผู้ไม่ได้อบรมตนไม่รักษาศีล ไม่เจริญปัญญาเมื่อทำกรรมเพียงเล็กน้อยก็ไปอบายส่วนอีกคนเป็นผู้อบรมตนรักษาศีลเจริญปัญญา ทำกรรมอย่างเดียวไปไม่ต้องไปอบาย" ปิงปอง ม.ราม
...
จริง ตามคุณปิงปอง กล่าว
...
ผู้รู้บาป แม้มีเจตนา แต่ขณะฆ่ามีจิตเศร้าหมอง ไม่ยินดีในการฆ่า จึงมีวิบากน้อยกว่า
ขณะผู้ไม่รู้ เพลิดเพลินในการฆ่า ติดใจการฆ่า หลงยิ่งๆไปอีก มีทั้งเจตนาและยินดีการฆ่า บาปมากกว่า วิบากกรรมมากกว่า
อุปมาเหมือนจับไฟ คนหนึ่งรู้ว่าร้อน จับเสร็จก็รีบวาง เพราะรู้อยู่ว่า ไฟร้อน
อีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าไฟร้อน ก็จับเต็มๆ จับด้วยความเพลิดเพลิน เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
แต่ไม่ว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ผลก็คือ ไม่ว่าใคร หากจับไฟ ก็ร้อนเหมือนกัน
...
เจตนาเหมือนกัน บาปเหมือนกัน จริง
เจตนาเหมือนกัน บาปไม่เท่ากัน จริง
เจตนาเหมือนกัน บาปกรรมเหมือนกัน วิบากกรรมอาจต่างกัน...จริง
เจตนาเหมือนกัน บาปไม่เท่ากัน วิบากกันไม่เท่ากัน...จริง
...
อนึ่ง วิบากกรรมนั้น เป็น "อจินไตย" รู้ไม่ได้ด้วยการคิดเดา คาดการณ์ หรือพยากรณ์
แต่ตามรู้ได้ด้วยเครื่องมือที่ทัดเทียมกับสิ่งที่ถูกรู้
ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ต้องเสมอกัน จึงตามรู้ได้
และ วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ก็คือ เครื่องมือนั้น
อยากตามรู้ ก็ปฏิบัติเอา เซเว่นไม่มีขาย
... |
|
|
|
|
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
15 ธ.ค.2005, 9:38 pm |
  |
การที่บุคคล ที่ไม่เหมือนกัน แล้วทำกรรมตัวเดียวกัน บาปที่ได้ก็จะต่างกัน อย่างที่ หลายท่านได้ให้คำตอบไว้แล้ว
พอดีนึกถึงประเด็นนี้ ก็เลยนึกถึงเรื่องนึง คือ มีเห็ดเมาอยู่ชนิดนึง อยู่ทางภาคใต้ ไม่แน่ใจว่า อยู่ในอุทยานแห่งชาติ พี พี หรือเปล่า แต่เห็ดเมาชนิดนี้ ถ้าคนไทย กินเข้าไปล่ะก็ ตายลูกเดียว แต่ พอฝรั่งไปกินเข้ากลับกลายเป็นเมา เหมือนพวกยาเสพติด เป็นที่สนใจและรู้จักกันดีในหมู่ฝรั่งขี้ยา
คนไทย กะ ฝรั่งกิน เห็ด ให้ผลไม่เหมือนกัน
คนทำ คนละลักษณะ ทำกรรม ให้ผลไม่เหมือนกัน |
|
|
|
  |
 |
kokorado
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
18 ส.ค. 2008, 12:09 pm |
  |
อนุโมทนาด้วยครับ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
18 ส.ค. 2008, 1:39 pm |
  |
กระผมคิดว่าการฆ่าคนนั้น เป็นกรรมอย่างแน่นอนครับ เพราะกระทำจากเจตนา (รู้ว่าฆ่าแล้วก็ต้องตายแน่) ส่วนเรื่องของบุญ หรือบาปนั้น ก็อยู่ที่เจตนา(ตรงนี้หมายถึงทำไปเพื่ออะไร) อีกนั่นล่ะครับ หากกระทำด้วยเจตนาที่เป็นกุศลก็จะได้บุญ แต่ถ้าหากกระทำด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลก็เป็นบาปครับ ส่วนเรื่องวิบากของกรรมนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับทำกรรมใดไว้ ต้องได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอนครับ เพราะมันเป็น "กรรมนิยาม" |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
18 ส.ค. 2008, 1:57 pm |
  |
ท่านปิงปอง ม.ราม ครับ
ที่ท่านกล่าวว่า " ในทางโลกนั้น ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด "
กระผมเองเจอมากับตัวครับ
กระผมเคยขับรถกะบะ แล้วบรรทุกของครับ ขับขึ้นทางด่วนเลยครับไม่เคยรู้มาก่อนว่ารถกะบะบรรทุกของ ถ้าไม่มีคอกกั้นจะขึ้นทางด่วนไม่ได้ครับ เวลาจ่ายตังค่าทางด่วนเจ้าหน้าที่ที่ด่านก็ไม่บอกครับว่ารถเราวิ่งบนทางด่วนไม่ได้ แถมเก็บเงินออกใบเสร็จให้อีกต่างหาก แต่พอพ้นด่านเก็บเงินไปไม่เท่าไหร่ ตำรวจก็ขี่มอไซด์ตามมาจับผมครับ ด้วยข้อหาบรรทุกของโดยไม่มีคอกกั้น ผมก็บอกกะตำรวจไปว่าผมไม่รู้ว่าขึ้นไม่ได้ แต่ผมก็ต้องไปเสียค่าปรับ ในฐานะผู้กระทำความผิด(ผู้ต้องหา)
ผมทำผิดโดยที่ไม่รู้แล้วทำไมถึงมีความผิดล่ะครับ
กระผมเองแย้งเรื่องนี้มาโดยตลอดครับ และก็จะพยายามบอกกับคนที่มีความเชื่ออยู่อย่างนี้ ว่ามันไม่ถูกต้องครับกับการที่มีทัศนคติแบบนี้
การกระทำผิดนั้นจะรู้หรือไม่รู้นั้นก็คือผิดครับ แต่ผิดโดยไม่รู้นั้นสามารถอภัยให้กันได้ครับ แต่มิใช่ว่าไม่มีความผิด  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
|