Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความงงกับเรื่องของเหตุผลกับความเชื่อของผู้ที่เรานับถือ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 1:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ว่างๆ คิดแล้วงงนะคับ แต่ประโยคนี้บอกถึงความเบื่อหน่ายได้ดี

" บุรุษปั้นมหาปฐพีนี้ให้เป็นก้อน ก้อนละเม็ดกระเบาแล้ววางไว้ สมมติว่านั่นเป็นบิดาของเรา นี้เป็นบิดาของบิดาของบิดาของเราโดยลำดับ บิดาของบิดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุดส่วนมหาปฐพีนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป "

ประโยคนี้บอกให้รู้ว่าเราไม่อาจหาจุดกำเนิดได้เลย มันไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเราเจอจุดกำเนิดแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจุดกำเนิดนี้มีที่มาอย่างไร ตัวอย่างง่ายๆ ตามหลักเหตุผล

ก้อนหินเกิดจากธาตุรวมตัวกัน ธาตุเกิดจากอะตอมรวมกัน แล้วอะตอมเกิดจากอะไร มันมีจุดกำเนิดจากอะไร ใครสร้างมันมา และใครเป็นผู้สร้างมันมา ถามย้อนได้ไม่มีที่สิ้นสุด

สวรรค์ ใครสร้างมันขึ้นมา และใครเป็นผู้สร้างผู้สร้างสวรรค์ขึ้นมา มันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ตามหลักเหตุผล

ถ้าเอามาใช้กับเรื่องกับความเบื่อหน่ายใน สุข ทุกข์ ทางโลกแล้ว คงเหมือนกับว่าเราไม่สามารถหาจำนวนครั้งที่เราเกิดได้ อาจจะเกิด ตาย วนเวียนมาแล้วเป็น 100ล้านครั้งหรืออาจจะมากกว่า เราอร่อยมา 100ล้านครั้ง เราอาจรวยมาหมื่นครั้ง เราป่วย หัวเราะร้องไห้ บาดเจ็บ เศร้าโศก ซ้ำๆกันมา100ล้านครั้ง นับไม่ถ้วนจริงๆ

เช่นนี้จึงพอแล้วกับความสุขทุกข์ทางโลก เพียงพอแล้วกับการเกิดที่ไม่สิ้นสุด ทางปฏิบัติเพื่อเข้าถึงวิมุตติหรือเรียกว่าความสุขทางธรรมจึงเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ได้ในภพปัจจุบัน ไม่ต้องรอไปหาในโลกหลังความตายเพราะตามหลักเหตุผมแล้ว การถามมันย้อนไปเรื่อยๆจะทำให้เราหาคำตอบไม่ได้เลยกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ เราจึงควรถอนศรทุกข์ในปัจจุบันดีกว่า พอจัดการเรื่องปัจจุบันได้แล้วจึงค่อยจัดการกับเรื่องอื่นต่อ

เคยมีคนมาถามเรื่องจุดกำเนิดของโลก แต่พระพุทธเจ้าไม่ตอบแต่บอกในลักษณะที่ว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว ตอนนี้ควรจัดการเรื่องใกล้ตัวก่อนคือการถอนศรทุกข์

ส่วนเรื่องนรกสวรรค์ทรงยกนิทานมาเล่าเปรียบเทียบในทำนองว่า เต่าทะเลนำเรื่องในมหาสมุทรมาเล่าให้กบในบ่อน้ำฟัง กบไม่เชื่อเพราะไม่เคยเห็นเองมันอยู่แต่ในบ่อจ้อยมันจะรู้ได้อย่างไรว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่แค่ไหน ถ้าอยากรู้ก็ต้องเดินทางไปเห็นเอง

ผมมาคิดดูแล้วว่าเรื่อง สุข ทุกข์ ทางโลกมันคงถึงจุดเบื่อหน่ายได้จริง เหมือนกับว่าเรากินข้าวแต่แกงเดียวสักวันคงเอียนระอา เรื่องอื่นก็เหมือนกันถ้าได้ทำซ้ำจนเบื่อจนครบทุกเรื่องจนโลกนี้ไม่รู้จะทำอะไรแล้วเพราะเบื่อหมดแล้ว พวกเราก็เหลือแต่วิมุตติของพระพุทธเจ้าที่ทรงบอกว่า มันจะเป็นเช่นนั้นไปตลอด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ใช่เฉยๆ ให้เข้าไปลิ้มลองว่ามันจะเป็นเช่นว่าหรือไม่

นี่เป็นการพูดแบบหลักเหตุผลนะครับ ตามหลักวิทยาศาสตร์และตามวิธีคิดของพุทศาสนาถือหลักเหตุผลเป็นหลักคิด ทุกสิ่งทำให้เกิดขึ้นซ้ำได้ตามหลักเหตุผล มันต้องมีที่มาและที่ไป มันไม่สามารถเกิดขึ้นลอยๆได้ พวกคุณลองเอาไปคิดกันดูนะครับ



ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน แสดงความคิดเห็น สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 1:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวปแนะนำ ช่วยไปดูหน่อยนะครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะนำเอา ทางวิมุตติ และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับพุทธเช่นขันธ์ 5 ไปเผยแพร่ในต่างถิ่นที่คนอื่นไม่รู้จักให้เขาเข้าใจ

www.supawangreen.in.th
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 2:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งที่รู้ได้ด้วยเหตุผล คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันเท่านั้น การรู้สิ่งใดแล้วนำมาใช้ประโยชน์ไม่ไดเป็นสิ่งที่ไม่ควรรู้ แต่ถ้าอยากรู้แล้วหาคำตอบได้ก็หาคำตอบมา แต่ถ้าหาคำตอบไม่ได้ก็ปล่อยสิ่งสงสัยนั้นไป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 2:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันมีอยู่สูตรหนึ่งที่สอนเกี่ยวกับการเชื่อ 10 อย่าง เอาสูตรนี้มาใช้พิจารณาได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ธรรมมะเหนือจินตนาการ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ธ.ค.2005, 2:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความคิดเห็นส่วนตัวหลักพุทธศาสนาใช้หลักความจริงลึกซึ้งเหนือยิ่งกว่าเหตผลที่ใช้เพียงรากฐานความรู้สะสมจากภายนอกเช่นวิทยาศาสตร์ จึงมิอาจเปรียบเทียบความรู้แจ้งของผู้บรรลุธรรมอันเป็นความจริงซึ่งต้องครอบคลุมความมีอยู่ของสิ่งทั้งปวงรวมทั้งสิ่งที่วิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วด้วย ว่าเป็นความเข้าใจในเชิงเหตผลเดียวกันกับของวิทยาศาสตร์ได้

คิดว่าไม่น่าแปลกใจครับว่าทำไมคนเรารวมทั้งผมจึงหาคำตอบความจริงของทุกสิ่งในโลกนี้ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เราไม่ได้อาศัยจิตอันสามารถรับรู้ได้อย่างไม่จำกัดมาเป็นฐานอ้างอิงในการสร้างความรู้ แต่เราอันหมายถึงผู้ยืนอยู่บนโลกของวิทยาศาสตร์อาศัยสมองที่จดจำเรียนรู้จากระบบประสาทมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเวลาเท่านั้น หากสมองมีพันล้านหน่วยความจำแต่ธรรมชาติ มีสภาพจริงที่หลากหลายเกินกว่าอันนับหน่วยมิได้ แม้นระบบเรียนรู้ธรรมชาติเราใช้วิธีการลดหลั่นการใช้หน่วยความจำให้มากขึ้นเป็นร้อยเท่าล้านเท่าได้ ก็ยังมิอาจเพียงพอที่จะจดจำเพื่ออธิบายให้เข้าใจสภาพที่มีอยู่จริงอื่นที่เหลือซึ่งเราทั้งชีวิตอาจไม่เคยได้สัมผัสสภาพธรรมนั้นเลยก็ได้ ขนาดสมองเราเองมีความชัดเจนสัมผัสได้เรายังไม่สามารถใช้มันทำงานให้ได้ดังใจให้ถึงความสามารถเพียงกึ่งหนึ่งที่ทำได้ในทางธรรมชาติเลย จึงนับอะไรกับจิตที่เราเองส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่ามีอยู่ในตัวเองจริงหรือไม่จะถูกใช้ประโยชน์สร้างปัญญาให้เกิดความเข้าใจแทนการใช้สมองคิดได้ ความไม่สมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่รู้ความจริงครอบคลุมเป็นส่วนหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ มีเพียงการอธิบายถึงความไม่สิ้นสุดที่มีอยู่กับความคืบหน้าในเทคโนโลยี่วิทยาการที่เพิ่มขึ้นมาเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสภาพภายนอกตามธรรมชาติ อย่างหน่วยที่เล็กที่สุดของมวลวัตถุว่าเป็นอะตอม ไม่ว่าอิเลคตรอนโปรตรอนหรือนิวตรอนซึ่งเล็กไปกว่านั้นอีก แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครประกาศการค้นพบเจออะไรที่เป็นอนุภาคของสิ่งนั้นต่อไป หรือหากพบแล้วก็ไม่เห็นจะค้นหาอนุภาคของอนุภาคส่วนประกอบของสิ่งที่ค้นพบนั้นจนให้ถึงที่สิ้นสุดเพื่อพิสูจน์ว่าแนวทางของวิทยาศาสตร์หาคำตอบความจริงทุกอย่างได้เช่นเดียวกันกับจักรวาลที่กว้างออกไปศึกษากันไปไม่เคยสิ้นสุด แต่ที่แน่นอนคือเกือบทุกอย่างที่ค้นพบทุกวันนี้ไม่ได้เสริมสร้างปัญญาให้กับมนุษย์เพื่อให้ถึงความเข้าใจสุดท้ายของการมีชีวิตที่ทุกสิ่งมีชีวิตควรจะมีโอกาสได้รับรู้มากกว่าสิ่งอื่นใด

สิ่งที่ดีและน่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเองเป็นที่สุดจึงน่าจะเป็นเรื่องของการค้นหาหนทางสร้างพลังการรับรู้ในทางจิตให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแล้วอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเราเองเพื่อความเข้าใจสิ่งที่เข้ามาจากระบบธรรมชาติภายนอกการรับรู้ของเราเองได้ อย่างแนวทางการปฏิบัติธรรมเพื่อเสริมสร้างจิตใจที่หลากหลายที่ผมเองเชื่อว่าเป็นสาระที่สำคัญที่สุดที่พระพุทธองค์ทรงคงเหลือไว้ให้กับชาวโลกเพื่อการรู้ด้วยตนเองมากกว่าเพื่อความเข้าใจข้อเท็จจริงเพื่อการจดจำที่อาจอธิบายอะไรคืออะไรใครให้กำเนิดโลกสวรรค์นรกเป็นอย่างไรอะไรต่อมิอะไรมากมายซึ่งสุดท้ายทุกคนก็รู้เองได้เมื่อการปฏิบัติสูงจนเห็นผลโดยไม่ต้องรอนักวิทยาศาสตร์ครับ ปัญหาคือเราจะเป็นฝ่ายค้นคว้าข้อมูลวิธีการปฏิบัติด้วยตัวเองหรือจะรอให้ผู้อื่นคอยเข้ามาถ่ายทอดสิ่งที่เรามิอาจทราบได้ว่าเป็นแนวทางให้เราเข้าถึงสภาพธรรมนั้นด้วยตัวเองได้จริงหรือไม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ

มั่วมายาวมากไปหน่อยขออภัยครับ อย่างไรก็ดี ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
 
อยากพูด
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ธ.ค.2005, 5:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประพฤติมิชอบในกาม เพราะไม่ชอบด้วยใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะไม่พอใจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็เรียกว่าไม่ชอบ

การแต่งงานเป็นความชอบอย่างหนึ่ง เพราะยินยอมพอใจทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ปกครองและคู่ครอง

การมีเมียหลายคน มีผัวหลายคน จะแน่ใจได้อย่างไรว่าชอบใจกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายมาก่อน แต่งก่อน แน่ใจอย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุร้าย ศึก สงคราม ฆ่าฟัน อาฆาต พยาบาท จองเวรไม่สิ้นสุด เป็นวัฏฏะ

ชื่อว่า ผิดศีล เพราะเป็นการเสพกามที่ไม่ชอบ เพราะไม่ได้รับความยินยอม จากเมียหลวง ญาติของเมียหลวง ฯลฯ

ส่วนเรื่องเมียสี่คน หรือ เต๊กกอนั้น ถามใจภรรยาและญาติของคนแรกๆว่า พึงพอใจ และรับได้กับการมีสามีร่วมกับคนอื่นบ้างไหม ส่วนมากเกิดจากภาวะจำยอม ต้องทำใจ เพราะสามีแอบทำไปก่อนแล้วบอกทีหลัง สารภาพผิดในภายหลังเป็นต้น

เอาเข้าจริง หากพี่สาว น้องสาว ลูกสาวเรา หรือมารดาเรา เป็นเมียน้อย เป็นเมียคนที่สี่ ตัวเราเป็นลูกก็ยังไมพอใจเลย แล้วจะเรียกคนมีเมียมากๆผัวหลายๆคน ว่าเป็นการสำรวมในกามได้อย่างไร หรือจะเรียกว่าเป็นการเสพกามโดยชอบได้อย่างไรกัน

เป็นบาป ทำให้เศร้าหมอง ก่อทุกข์ ก่อวิบากกรรมไม่สิ้นสุด



:b41
 
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ธ.ค.2005, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน

สิ่งใดจะเกิดจะดับก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัยของมัน

ไม่ต้องไปทุกข์กับอดีตที่ล่วงไปแล้วหรือกังวลกับอนาคตที่ไม่เป็นไปในอำนาจใด

ให้ตั้งสติให้ดี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะจิต ตัณหาและทิฏฐิจะไม่มี

ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอะไรในโลกนี้ อยู่อย่างไม่ประมาท ยังประโยชน์ให้ถึงพร้อม ทำกิจอันจะนำไปสู่การหลุดพ้นทุกข์ ทำให้ผู้อื่นมีความสุขพ้นจากทุกข์ ทำจิตตนให้เบิกบาน เมื่อผู้อื่นมีความสุขเราก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย

 
นิพพาน
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ต.ค. 2006
ตอบ: 34

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ย.2006, 12:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชีวิตเรา ชั่งสั้นหนัก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กเมื่อวานซืน
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 ต.ค. 2006
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบรี

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ย.2006, 8:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หนักเบาไม่เท่ากัน
บางคนจึงต้องชิมลิ้มลองไปเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ครั้ง จึงจะถึงจุดเบื่อหน่าย ความกำหนัดลดน้อยลง แล้วก็ละได้ในที่สุด

ผู้เข้าใจแจ้งว่าอุปาทานในทุกสิ่งมีนิพพิทาเป็นที่สิ้นสุด ผู้นั้นย่อมรู้จักการคลายอุปาทานอันเป็นเหตุแห่งทุกข์

สาธุ ลองนำไปคิดดูนะครับ
 

_________________
กินเหมือนสุกร อยู่เหมือนสุนัข ฝักใฝ่เสพกิเลสร่ำไป
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง