Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตดั้งเดิมนั้นแท้จริงแล้วบริสุทธิ์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
tanawat30
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 11:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเห็นที่ 24 ถ้าเราไม่เดินทางไปดูเอง เราก็อาจจะไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นเมืองหลวงหรือเมืองลับแล มันจะต้องมีคนที่เคยไปมาแล้วทั้ง 2 เมือง คือไปท่งเมืองหลวง แล้วก็ไปทั้งเมืองลับแล แล้วถ้าเปรียบเทียบตามตัวอย่างนี้ ผมไปมาแล้วทั้ง 2 เมือง ผมรู้ว่าเมืองหลวงตั้งตรงไหน เมืองลับแลตั้งตรงไหน แต่ละเมืองมีลักษณะอย่างไร เมื่อผมไปมาทั้ง 2 เมืองดังนี้แล้ว ผมก็สามารถบอกได้ว่าทางไหนเป็นเมืองหลวง แต่สมมุติว่าถ้าผมบอกว่าทางนี้เป็นเมืองหลวง บอกให้คนที่ไม่เคยไป แต่ถ้าผมบอกว่านี่คือทางไปเมืองหลวง แต่คนนั้นคิดว่าผมโกหก บอกว่าผมกำลังบอกทางไปเมืองลับแล แล้วถ้ามีอีกคนหนึ่ง ผมให้ชื่อว่า F แล้ว F ก็มาออกมาโกหกว่าทางไปเมืองลับแล ก็คือทางไปเมืองหลวงแล้วเราจะทำอย่างไร เราจะมีทางรู้มั้ยว่า F โกหก ถ้าเราไม่เคยไปเมืองลับแลมาก่อน



การศึกษาแผนที่ บางทีแผนที่ก็เป็นของหลอกเราได้ บางทีแผนที่ก็บอกเส้นทางไม่ถูกต้อง หรือเป็นเส้นทางที่พาเราหลงทาง บางครั้งต้องอาศัยคนที่เคยไปมาแล้วทั้ง 2 เมือง เดี๋ยวนี้คนกำลังเดือดร้อน เพราะบางคนเก็บหอมรอมริบแล้ว ออกจากชนบทมาเมืองหลวง แต่ออกจากลับแลมาถึงอุตรดิตถ์ ก็คิดว่าอุตรดิตถ์คือเมืองหลวง หรือออกมาถึงสุโขทัย ก็บอกว่าสุโขทัยเป็นเมืองหลวง สังเกตได้จากสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบัน ไปหาพระสะเดาะเคราะห์ กลับมาก็ยังเดือดร้อนอยู่ หรือคนไปวัดทำบุญตักบาตรทั้งชีวิตก็ไม่เห็นชีวิตของคนเหล่านั้นดีขึ้นเป็นนามธรรมสักเท่าไหร่



แต่คนที่ปฏิบัติสมาธิกับเห็นผลเป็นนามธรรม หรือรูปธรรมชัดเจน นามธรรมเช่นฐานะการเงินดีขึ้น รูปธรรมเช่น มีคนแก่คนหนึ่ง ชื่อยายพิศ อายุ 80 กว่า ๆ ได้แล้วมั้งครับ เดินมาเดินขาตรง ๆ ไม่ได้ ต้องเดินแบบขางอ ๆ เดินแบบกึ่งเดิน กึ่งนั่งยอง เพราะเขายืดขาไม่ได้ มาปฏิบัติสมาธิกับผมประมาณ 5 วัน ขาเขาเดินตรงเห็นชัดเป็นนามธรรมเลยครับ หรือมีน้องอยู่คนหนึ่ง ชื่อน้องน้ำ อยู่ปัตตานี เขาเป็นโรคลูคิวเมีรย หมอบอกกับแม่ของเขาว่า น้องน้ำอยู่ได้อีกไม่นานอย่างมาก 6 เดือน ทำสมาธิกับจนหายจากโรคลูคิวเมียหายภายในเวลา 2 ปี แล้วตอนนี้ก็แข็งแรง ฉลาด ซุกซนตามภาษาเด็ก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงครับ ด้วยพลังอำนาจแห่งสมาธิแหล่ะครับ กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะคนแรกที่ได้รับผลเช่นนี้คือตัวผลเอง เช่นผมเป็นโรคหัวใจ ตอนนี้หายสนิทแล้วครับ เมื่อก่อนหัวใจเต้นแรงมาก เต้นแรงรู้สึกได้เหมือนหัวใจจะหลุดออกจากทรวงอก เหนื่อยและอ่อนเพลียเป็นประจำ ฯลฯ
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 11:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่อ ๆ ครับ



แต่ตอนนี้ไม่มีอาการเช่นนั้น ปรากฏให้เห็นมาเกือบ 5 ปีแล้วครับ ทางด้านสติปัญญาก็ถูกพัฒนาขึ้นอย่างเช่นกัน สิ่งที่ผมเล่ามาเป็นเพียงบางตัวอย่างนับร้อยนับพัน จากที่ผมเจอทั้งหมด เพราะถ้าให้ผมเล่าคงแต่งหนังสือออกมาได้เป็นเล่มแน่นอน จึงขอเล่าเป็นบางส่วนเท่านั้น สิ่งที่ผมเล่าเป็นความจริง แต่ผมไม่อยากให้ใครเชื่อจนกว่าจะปฏิบัติสมาธิภาวนาจนเห็นผลประจักษ์ต่อตนเอง หรือเห็นผลประจักษ์แล้วจะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่แต่ละคน แต่คนที่ปฏิบัติสมาธิภาวนากับผมทุกคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมาปฏิบัติสมาธิภาวนากับผมก็เท่านั้นเองครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 11:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ เบ๊ท่านพุทธทาส ไม่มีประโยชน์ที่จะทำความเข้าใจโดยไม่ลงมือปฏิบัติ เหมือนคนหิวข้าว มาบ่นหิว ๆๆๆ แต่ไม่ลงมือกินข้าวก็จะคงหิวต่อไปเช่นนั้น ตอบความเห็นที่ 20 นะ



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



คความเห็นที่ 21 ต่อจากความเห็นที่ 19 นะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
งมโข่ง
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 03 ธ.ค. 2005
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับทุกท่าน...



เพิ่งเข้ามาอ่านครับ แล้วก็เกิดข้อสงสัย จึงอยากจะเรียนถามดังนี้ครับ

จิตเดิมนั้นปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัด(ว่าง)

งั้นก็หมายความว่าจิตเดิมคือสภาวะนิพพาน(รึเปล่า)

ถ้าใช่นั่นก็หมายความว่าเราทุกคนเคยนิพพานกันมาก่อนแล้ว

แล้วทำไมยังกับมามีเราได้อีก



ช่วยตอบให้กระจ่างด้วยครับ สงสัยจริงๆ

ขอบคุณครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณถามได้ถูกใจจิงๆคับ นี่แหละเป้าหมายของการตั้งกระทู้ ได้คำตอบและคำถามใหม่ๆที่บางครั้งตัวเองก็คิดไม่ถึง ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาแสดงความคิดเห็น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตเดิมทุกจิต แต่กำเนิดมีความว่างหรือมีสภาวะเป็นนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น แต่จิตที่เกิดใหม่ยังมิได้บำเพ็ญเพียร ทย่อมไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดกิเลส โดยธรรมชาติของกิเลสเกิดจากสันดานที่ไม่ดี แล้วถ้าจิตที่บริสุทธิ์ไปแปค่องแวะกับจิตที่ไม่บริสุทธิ์ แล้วจิตที่ไม่บริสุทธิ์ได้นำสันดานที่ไม่ดีไปแปดเปื้อนจิตที่บริสุทธิ์ แล้วจิตที่แต่เดิมบริสุทธิ์อยู่นั้นไม่รู้จักวิธีการนำความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากจิตตน ในขณะเดียวกันก็ได้สั่งสมพอกพูนความไม่บริสุทธิ์ขึ้นในตน ในที่สุดจิตที่บริสุทธิ์ก็จะกลายเป็นจิตที่ไม่บริสุทธิ์



ลักษณะนี้พออธิบายกับคำสุภาษิตไทยที่ว่า จะดูลูกให้ดูที่แม่ ดูแน่ ๆ ให้ดูที่ยาย นั่นคือพอเราเกิดมา สมมุติว่าเป็นมนุษย์ เราก็อาจจะถูกคนชั่วหรือคนพาลชักนำไปให้เรากระทำชั่วตามเขา แล้วถ้าสมมุติว่าตอนเกิดมาเป็นคนดี แต่ถูกคนชั่วชักนำไปให้เราทำชั่วแล้วเราก็ไปทำชั่วตามเขา ในที่สุดจากเราที่เคยเป็นคนดีก็จะถูกความชั่วเข้าครอบงำ และพัฒนาความชั่วขึ้นในตนจนเกิดความชั่วขึ้นในตนในที่สุด ลักษณะของจิตที่คุณความเห็นที่ 23 ถามมาก็เป็นเช่นเดียวกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากที่เคยอ่านมานะคับ

พระพุทธเจ้าท่านว่า จิตของเรามันมาจากอีกที่หนึ่งคับ มาจากพรหมรึเปล่าก็จำไม่ค่อยได้แล้วแต่พอมาที่โลกนี้ก็เกิดชอบ ติดใจ กับสิ่งที่เห็นหรือเกิดกิเลสนั่นเอง จึงเข้ามาสิ่งสู่ด้วยกิเลสแล้วเวียนว่ายตายเกิดเรื่อยมา

ข้อมูลที่พิมพ์นี้เป็นแบบคร่าวๆ ถ้าจะลงลึกและถูกต้องกว่า ต้องไปถามผู้ที่ศึกษาเองนะคับ



แต่จากข้อมูลที่ได้ทำให้พอจะทราบว่า

1.เราเกิดอีกเพราะกิเลส ด้วยความไม่รู้ว่ากิเลสนี้เองเป็นตัวทำให้เกิด การเกิด การเกิดทำให้มีทุกข์เพราะร่างกายนี้เป็นที่รวมของความทุกข์ และ สุข

2.กิเลสเกิดเพราะมันเป็นของใหม่ น่าลอง มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็น ผมคิดว่าจิตของแต่ละคนมันมีความเข้มแข็งไม่เท่ากัน มันก็เลยพิศมัยกับสิ่งแปลกใหม่หลงใหลไปกับมัน ก็เลยสิงสู่ เหมือนกับว่าเวลาเราไปเจออะไรแปลกใหม่ไม่เคยพบเห็นบางอย่างก็ทำให้เรารู้สึกชอบมันได้เมื่อได้ลองทำไปแล้ว



แต่ถ้าจะถามว่าจิตเราเกิดมาจากไหน ใครทำให้เกิดขึ้นมา คงบอกไม่ได้จริงๆมันเป็นปัญหาโลกแตกหาคำตอบได้ยากมาก เท่าที่รู้มาคือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบคือ ทางพ้นทุกข์ที่เกิดจากกิเลสในปัจจุบันนี้ ส่วนโลกหลังความตายนั้นไว้ตายเองก็จะรู้เองดีกว่าผมว่านะ เรามาแก้ไขปัจจุบันให้ถูกตามหลักคำสอนของท่านดีกว่า



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมฝึกแต่อานาปานสติอย่างเดียว ส่วนสมาธิอย่างอื่นผมไม่รู้ สมาธิอย่างไรจึงรักษาโรคได้ช่วยแนะนำหน่อยคับ เผื่อว่าได้ไปแนะนำผู้อื่นบ้าง ถือว่าเป็นทานบุญ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบความเห็นที่ 26 จิตนั้นเกิดจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดจากพระอรหันต์ขึ้นไป เพราะท่านสามารถตัดแล้วซึ่งกิเลสจึงเป็นแม่แบบของจิตที่จะเกิดใหม่ได้ เมื่อเกิดมาแล้วก็เป็นแบบที่คุณบอกนั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่าผมเองก็ไม่อยากลงลึก ขอตอบแต่เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์จริง ๆ เท่านั้น เรื่องจิต เรื่องธรรมมะ สำหรับผู้ใฝ่ธรรม คุยกันเป็นปีก็ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งถ้าคนไหนสามารถตรัสรู้ข้อธรรมได้ ธรรมมะที่ผู้นั้นแสดงออกก็ไม่มีวันหมดเช่นกัน เพราะเขามีหนังสือติดตัวอยู่ตลอด เข้าห้องน้ำ กินข้าว นอน หรือยืนโหนรถเมล์ เขาก็อ่านหนังสือได้ตลอด วิธีอ่านก็เข้าสมาธิอ่าน อ่านแล้วประมวลผล ทำให้แตกฉานแก่ตนเอง แล้วจึงสามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังได้โดยไม่ต้องกางตำราใด ๆ ทั้งสิ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมไม่รู้คับว่า จิตประภัสสรเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยเห็นเอง รู้แต่ว่า ถ้าพระอาทิตย์คือจิต ก้อนเมฆคือกิเลส ผมจะดีดออกทั้งเมฆและพระอาทิตย์ ให้เหลือแต่ท้องฟ้าเปล่าๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 1:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมหมายถึงต้นกำเนิดของจิตคับ ผมไม่รู้จิงๆ ว่ามาจากไหน หาคำตอบไม่ได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 2:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาอย่างนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพระอรหันต์ เอาเรื่องธรรมดา นี่แหละครับ

เอาเป็นว่า คุณเบ๊ตอบผมให้ได้ก่อนได้ไหมครับว่า พริกนี่ เผ็ดอย่างไร ถ้าตอบได้ว่า พริก นี่เผ็ดอย่างไร แล้วเราถึงจะเข้าใจว่า จิตบริสุทธิ์นี่ บริสุทธิ์อย่างไร



แต่ถ้ายังตอบไม่ได้ว่า พริก เผ็ดอย่างไร แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรถึงสภาวะที่เหนือไปกว่านั้น โดยการอธิบายของคนอื่น นอกจากลองกินพริกด้วยตัวคุณเอง แล้วจะรู้ว่า เผ็ดอย่างไร
 
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 2:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วเราจะอธิบายให้พวกช่างสงสัย ชอบขบคิด แต่ไม่ปฏิบัติ เน้นคิดสมองซีกซ้ายได้อย่างไร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 2:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ถูกกิเลสเอ๊ยถูกใจคำตอบคุณเกียรติมากมาย



ใช่ๆๆ ... แค่ความรู้สึกหยาบๆว่าเผ็ด จะเล่าให้คนอื่นรู้รสด้วยได้อย่างไรหนอ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 3:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อนท่านผู้เจริญ



ตอบความเห็นที่ 27 ก่อนที่จะพูดถึงว่าสมาธิภาวนารักษาโรคได้อย่างไร ต้องถามว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นได้อย่างไร หาสมุหทัยของการเป็นโรคให้ได้เสียก่อน สาเหตุของโรคเกิดจาก 3 สาเหตุด้วยกัน คือ กรรม กิเลส และวิบาก เพราะโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นทุกข์ตัวหนึ่งของมนุษย์ เมื่อเราทราบดังนี้แล้ว การเจริญอานาปานสิติอย่างเดียวจึงไม่อาจทำให้เราพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บได้ การจะทำให้เราพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ต้องเจริญอานาปานสติไปด้วย แล้วนึกถึงข้อบกพร่องของตนเอง เช่นความโลภ ความโกรธ ความหลงตนความถือตัว ความโกรธและความพยาบาท ฯลฯ นึกสำรวจแล้วนำพลังอำนาจสมาธิที่ได้จากการทำอนานาปานสติขจัดสันดานที่ไม่ดีเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป จะช่วยลดการเกิดกิเลสและวิบากได้ เมื่อเราขจัดสันดานที่ไม่ดีจนหมดสิ้นไปในแต่ละรอบแล้วนั้น จะสังเกตว่าจิตของเราจะสงบนิ่ง ไม่คิดฟุ้งซ่าน ก็ให้เราใช้จังหวะนั้น ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอแผ่เมตตาให้สรรพจิตสรรพวิญญาณให้ขึ้นสู่สุคติและแผ่เมตตาให้มนุษย์และสรรพสัตว์ให้มีความสุขความเจริญ กุศลที่ได้มาอุทิศให้สรรพจิตสรรพชีวิต เมื่อเราแผ่เมตตาไปได้สักพัก เกิดสันดานที่ไม่ดีอีกก็ให้เรากลับไปใช้อานาปานสติสำรวจข้อบกพร่องของเราอีก การแผ่เมตตาก็เป็นการกำจัดกรรม เมื่อเรากำจัด กรรม กิเลส และวิบากได้แล้วนั้น ก็ไม่มีสาเหตุที่ทำให้เราเป็นโรคได้อีก โรคที่เราเป็นอยู่จะค่อย ๆ ทุเลาจนหายไปได้ในที่สุดด้วย เพราะสมุหทัยของโรคได้ถูกกำจัดสิ้นไปจากตัวเรา



ส่วนที่ว่า กรรม กิเลส และวิบาก วิบากคือกรรมทันตาเห็น ทำให้เกิดโรคได้อย่างไร ในมิติของกรรมนั้นก็ชัดเจน ว่าในอดีตชาติเราไปทำอะไรมา ในปัจบันชาติสิ่งนั้นก็ตามติดเรามา ส่งผลให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนกิเลส ผมขอยกบางตัวอย่าง เช่นความโลภ คือความอยากได้ผลประโยชน์มาสู่ตนมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจวาสนา ฯลฯ เมื่อยากได้ก็ไปดิ้นรนแสวงหา เช่นคนอยากรวยก็คิดว่าทำอย่างไรจึงจะรวย หาทางทำกิจการนั่น ขายสินค้านี่อยู่ตลอดเวลา สภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดความเครียด ความเครียดจึงผลักดันให้เกิดโรค แล้วโรคที่เกิดจากความเครียดที่เด่นชัดคือโรคหัวใจ เป็นต้น หรือวิบาก คือกรรมทันตาเห็น เช่นเราเพิ่งเอาปืนไปยิงคนตายมาเมื่อกี๊ เราก็มานั่งนึกเสียใจว่าเราไม่น่าทำเช่นนั้นเลย ทำไมเราต้องทำแบบนั้นไปด้วย ถ้าเราไม่ทำคงไม่ต้องติดคุก นึกสารพัดต่าง ๆ นา ๆ สุดท้ายทำให้เกิดความเครียดแล้วก็เกิดโรคที่มีสาเหตุจากความเครียดได้เช่นกัน



ความเห็นที่ 29 ถ้าพระอาทิตย์คือจิต แล้วก้อนเมฆคือกิเลสนั้น เราไม่สามารถทำให้จิตคือพระอาทิตย์หายไปได้ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อาจทำให้จิตท่านหายไปได้เช่นกัน เช่นคนทำชั่วสุดขีดยังมีว่าตกนรกโลกันต์ไปชดใช้กรรม แล้วคนที่ทำดีที่สุดได้มรรคผลนิพพานต้องสูญหายไปไม่มีโอกาสเสวยบุญ แล้วความยุติธรรมอยู่ตรงไหน คนเราถูกสอนให้เข้าใจผิดถึงเรื่องของการบรรลุอรหันต์และการเข้าถึงพระนิพพานว่าตายแล้วดับสูญมานานแล้ว ก็เลยทำให้เกิดคำพูดที่ว่า ถ้าจิตเราเป็นพระอาทิตย์ จะทำให้พระอาทิตย์หายเหลือแต่ท้องฟ้า ซ่งในทางปฏิบัตินั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะไม่ป็นการยุติธรรมกับผู้ทำความดี



ความเห็นของความเห็นที่ 30 คำตอบอยู่ในความเห็นที่ 25 แต่ถ้าถามว่าจิตแรกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร คำตอบคือไม่มีใครรู้แน่ชัดเช่นกันว่าเกิดมาได้อย่างไร เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมหรือใครก็ตอบไม่ได้ทั้งนั้น เพราะถึงแม้ว่าจิตแรกที่เกิดขึ้นมา เขายังไม่รู้เลยว่าเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 3:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



กราบสวัสดีคุณเบ๊



การที่จะเข้าใจในภาษาที่อธิบายทฤษฏีเรื่องจิตประภัสสรได้อย่างถ่องแท้ ก็ต้องปฏิบัติ เปรียบเหมือนคุณอ่านผลการทดลองวิทยาศาสตร์ โดยคุณไม่เคยลงมือทำแล็บให้ทราบผลด้วยตัวเอง ก็เหมือนกัน คุณก็ได้แต่อ่านผลแล็บของคนอื่น ก็เท่านั้น ไม่ใช่ผลแล็บของคุณเอง



เรากล่าวถึงกายใน จิตใน เวทนาใน ธรรมใน กล่าวถึงกรรมฐานซึ่งแนะนำการปฏิบัติตั้งหลายสิบกอง แต่ไม่เคยพิจารณาคิดจะลงมือปฏิบัติ ได้แต่อ่านและทำใจตามภาษาตัวอักษรไปวันๆ เอาแค่สงบไปวันๆ อย่างนี้ จิตประภัสสรก็ยังคงสถิตย์อยู่ในตำราเท่านั้น....ลองอ่านตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ ...ถ้าปฏิบัติไปแล้วก็จะเข้าใจ



http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_poem&No=1757



เจริญในธรรม



มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 3:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเห็นที่ 32 ไม่มีทางอธิบายได้เลย ถึงเข้าใจก็เข้าใจแค่เพียงผิวเผิน พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างเดียวเท่านั้น เช่นเราหิวข้าว เราเอาข้าวมาทาผิวหนังก็ไม่มีวันอิ่ม หรือเราเอาข้าวมาดมก็ไม่ทำให้เราอิ่มเช่นกัน



ความเห็นที่ 31 ธรรมชาติของสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากกิเลส แต่ดั้งเดิมดวงจิตอยากจะเป็นอย่างไรก็คิดว่าอยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ธรรมชาติของกิเลสคือเราอยากได้ผลประโยชน์ของผู้อื่น แต่เราไม่อยากเสียสิ่งที่เรามีให้กับผู้อื่น จิตทุกดวงจึงวิวัฒนาการของตน ด้วยการมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ การที่พริกมีรสเผ็ด เพราะพริกไม่อยากให้สัตว์กินพืชมากินพริก พริกก็เลยมีรสเผ็ด เคยมีคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ก่อนตายเราอยากจะไปเกิดเป็นอะไร จิตจะไปเกิดตามนั้น โดยมีกรรมเป็นแรงผลักดันให้ไปเกิด สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจึงถือมาเพื่อเบียดเบียนซึ่งกันและกันเสมอ ทำไมเราต้องมีเชื้อโรค ทำไมต้องมีพาหะนำโรค ทำไมต้องมียุง ทำไมต้องมีแมลงวัน หรือแมลงสาบ ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้เสมอ ข้อนี้จึงเป็นสัจธรรม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
นายจิตติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 4:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนคุณเบ๊

จิตเป็นนามธรรมที่มีสภาพรู้ คือรู้อย่างเดียวแต่เมื่อจิตเกิดก็มีสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน เจตสิกนี้เองที่เป็นธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้เกิด โลภ โกรธหลงเป็น จึงพดกันว่าจิตนั้นบริสุทธิ์

ขอเปรียบเทียบกับคลื่นวิทยุที่ถูกส่งออกมา เมื่อยังไม่ถูกนำมาขยายปรับเสียงทุ้มแหลมก็เป็นคลื่นบริสุทธ์แต่เมื่อนำมาปรับเสียงทุ้มแหลมแล้วส่งออกลำโพงก็เป็นการปรุงแต่งคลื่นนั้น คลื่นวิทยุก็เปรียบคล้ายจิตที่ปริสุทธ์

อธิบายสั้นๆหวังว่าคุณเบ๊คงพอจะเข้าใจได้นะครับ

การจะศึกษาให้เข้าใจสภาพของจิต เจตสิก รูป นิพพาน ได้นั้นต้องรู้เกี่ยวกับปรมัตถธรรมซึ่งเป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่พวกเราๆจะเรียนรู้ได้ถ้ามีความพยายามและค่อยๆศึกษาทั้งจากตนเองและจากการฟังผู้อื่น
 
งมโข่ง
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 03 ธ.ค. 2005
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 6:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย...



ต้นกำเนิดของจิตมาจากไหน

สรุปแล้วในเรื่องนี้เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบใช่มั๊ยครับ

จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือไม่มี แล้วจึงมี มีได้อย่างไร

เพราะถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสก็ไม่มีการเกิด

xxxตัวจิตนี่แหละคือปัญหามันมายังไง(มันคือข้อสงสัยสะกิดใจผมจริงๆ)



คำถามนี้มันก็เหมือนเราถามว่าดวงดาวต่างๆในจักรวาลมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ในทฤษฎีวิทยาศาสตร์ก็อธิบายว่ามันเกิดขึ้นจากการระเบิดครั้งใหญ่ของจักรวาล(BigBang)

แล้วถ้าผมถามต่อไปว่าแล้วอะไรที่ทำให้มันระเบิดล่ะ xxxตัววัตถุธาตุที่มันระเบิดมาจากไหน

ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายให้เคลียร์ได้ในเรื่องนี้



สวัสดีทุกท่าน...

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ดำจังแก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ธ.ค.2005, 11:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จะสงสัยศรที่กำลังปักอกอยู่ทำไม ทำไมไม่ดึงหรือถอนมันออก กว่าจะรู้ว่าใครเป็นผู้ยิงมาก็ตายเสียป่าว
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง