Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การศึกษาธรรม กับ การเผยแพร่ธรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วรากร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 3:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การศึกษาธรรมนั้นเป็นการศึกษาพระสูตร พระธรรมคำสั่งสอน ของพระอริยะเจ้าเพื่อจะได้นำมาปฏิบัติได้ถูกต้อง หากศึกษาแล้วปฏิบัติถูกต้อง หรือผิดผลาดก็เกิดจากตัวเขาเองที่ตีความหมายจากพระสูตร พระธรรมผิด ความผิดจึงมีแต่เขาเพียงผู้เดียว



การเผยแพร่ธรรม นั้นเกิดจากการผู้ที่ศึกษาพระสูตร พระธรรมคำสั่งสอน ของพระอริยะเจ้า แล้วนำไปปฏิบัติ แล้วเห็นว่าพระสูตร พระธรรมคำสั่งสอน ของพระอริยะนั้นควรจะเผยแพร่แก่ผู้อื่นต่อไป



หากท่านใดเข้าใจใน พระสูตร พระธรรมคำสั่งสอน ของพระอริยะเจ้าได้ถูกต้อง และเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ถูกต้อง ถือได้ว่าเขาช่วยให้ผู้อื่น เห็นธรรม



แต่บางคนนั้นไม่ได้เข้าใจใน พระสูตร พระธรรมคำสั่งสอน ของพระอริยะเจ้าให้ถูกต้อง กลับนำมาเผยแพร่ให้กับผู้อื่น แทนที่เราจะช่วยเขา ยังไปซ้ำเติมเขาอีก ผู้นั้นแทนที่จะได้บุญกับมาต้องรับบาปแทน



หากท่านใดที่อยากจะเผยแพร่พระธรรม หรืออธิบายธรรมข้อใด ขอให้เข้าใจไว้ด้วย



การแลกเปรียนธรรมะเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราได้เข้าใจในธรรมะมากขึ้น จากไม่เข้าใจก็กลับมาเป็นเข้าใจ แล้วก็เข้าใจมากขึ้น ตามลับดับ



การสนทนาธรรมเป็นสิ่งดี ขอให้มีต่อไป
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 7:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมขอไม่ตอบกระทู้นี้ก็แล้วกัน ผมจะบอกว่าเราจะรู้อย่างไรว่าสิ่งที่ปฏิบัตินั้นถูกต้องหรือไม่ ขอตั้งเป็นกระทู้ใหญ่ก็แล้วกันนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 9:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เห็นดีเห็นงามด้วยกับคุณวรากรค่ะ



จริงๆในส่วนตัวแล้ว ก็อยากอ่านบอร์ดเฉยๆ เพราะความรู้ในทางธรรมมีจำกัดเพียงน้อย

แต่เมื่อเห็นบทความงานแต่งหลายเรื่องเพ้อเจ้อ เขียนไปเรื่อยเจื้อยตามจินตนาการ

พวกอนุบาล 2 อย่างดิฉัน ก็เกรงว่าอนุบาล 1 ใหม่ๆจะพากันเข้ารกเข้าพงไปเสีย



อย่างไรถ้าหากมีความเห็นอันผิดไปจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแผ่

ในเว็บบอร์ด ขอความกรุณาพี่ๆ ประถม มัธยม และ มหาวิทยาลัย เมตตาช่วยแก้ไข

แสดงธรรมอันถูกต้องตามหลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาด้วยเถิด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 9:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมจะบอกนะครับ ความรู้ทางธรรมมาจากการปฏิบัติไม่ใช่การอ่าน คนไม่ปฏิบัติย่อมไม่รู้ซึ้งว่าการปฏิบัติได้ผลอย่างไร ได้แต่อ่านข้อธรรมของคนนั้นแล้วเห็นตามนั้นตามนี้ แล้วมันก็สมควรแล้วที่ใครสักคนที่จะบอกว่าฉันไม่มีความรู้ข้อธรรม ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอถามกลับไปว่าคนที่ไม่รู้ข้อธรรมคุณปฏิบัติแล้วหรือยัง ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร ผลดีอย่างไร ผลเสียอย่างไร แต่ถ้าไม่ปฏิบัติมันก็เหมือนเอาเพียงแต่จินตนาการ เมื่อตนเองมีแต่จินตนาการก็เลยคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตนไปด้วย คำตอบของหลักธรรมมะที่ถูกต้องคือ what you see if what you get ถ้าผลที่ได้รับมันดีแสดงว่าถูก แต่ถ้าผลที่ได้รับไม่ดีแสดงว่าผิด ผิดถูกอยู่ที่ผลลัพทธ์ที่แท้จริงที่เราได้รับ ที่สำคัญอย่าหลอกตัวเอง รู้มากหรือรู้น้อยไม่ใช่เป็นการอ่านมากอ่านน้อย แต่เป็นการมีประสบการณ์จากการปฏิบัติมากหรือมีประสบการณ์จากการปฏิบัติน้อยมากกว่า คนเราถูกยึดแต่กับตำราที่ว่าสักแต่อ่านแล้วเอามาอวดกัน แล้วมันได้ประโยชน์กันหรือไม่ ถ้าได้ได้อย่างไร อย่าบอกเพียงว่าฉันมีความรู้ อย่าบอกว่าทำให้จิตใจสงบ นั่นมันไม่ถือว่าได้ ถ้าเปรียบเทียบข้าวมันไก่ 1 จาน มันก็ได้แค่น้ำจิ้ม 1 ถ้วยเท่านั้น



แล้วที่ผมอธิบายได้ เพราะผมปฏิบัติได้จริง เอาประสบการณ์ที่ได้รับมาอธิบายด้วยเหตุและผล อันนี้ผมตอบความเห็นที่ 2 นะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 6:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ในอรรถกถา ปรากฏตอนหนึ่งว่า เพราะมีพระปริยัติ พระปฏิเวธ จึงมีอยู่ เพราะเหตุว่า พระปริยัติอันประกอบด้วย ธรรมวินัย นี้ คือ ปาพจน์ขององค์พระศาสดา จึงเป็นพระศาสดาแทนองค์พระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยจึงเปรียบเหมือนแผนที่ เข็มทิศ ทำหน้าที่ตัดสินชี้ขาดพระว่าธรรมนั้นๆเป็นพระสัทธรรม(ธรรมแท้ )หรือไม่ เช่น ในพระอภิธรรม ซึ่งอรรถาธิบายว่าด้วยจิต จำนวนดวงจิต สภาพของจุติจิต ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต ฯลฯ หรือ วินิจฉัยว่า องค์ฌานสี่นั้น ลมอัสสาสะปัสสาสะไม่ปรากฏ คือ ไม่มีลมหายใจในจตุตถฌาน เพราะเป็นธรรมดาของฌานสมาบัตินั้นๆนั่นเอง แต่ไม่ทั่วแก่กรณีอื่น เป็นต้น

การศึกษาพระธรรมวินัย จึงเป็นการรักษาพระธรรม รักษาแผนที่และเข็มทิศเอาไว้ให้บริสุทธิ์ให้มนุษย์ยุคต่อไปได้สิกขาอริยมรรคมีองค์แปด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีพระปฏิเวธ ต่อไปได้

ยกตัวอย่างเช่น หากไม่ศึกษาพระธรรมวินัย แต่ปฏิบัติสำเร็จแล้ว และอยากรับรองว่า ฌานย่อมไม่มีแก่ภิกษุอันหาปัญญาไม่ได้ และปัญญาย่อมไม่มีแก่ภิกษุอันหาฌานไม่ได้(ฌาน อันสำเร็จแต่การเพ่งจิตหนึ่ง เพ่งอารมณ์หนึ่ง) ก็ไม่ทราบมาก่อนว่านี้เป็นปาพจน์ของพระศาสดา แล้วกลับพูดใหม่ว่า ใครก็ตามที่พูดว่า

" ฌานย่อมไม่มี...ไม่ได้ ปัญญาย่อมไม่มี...ไม่ได้" เพราะความที่ไม่เคยศึกษาพระธรรมวินัยมาก่อน จึงกลายเป็นความเข้าใจผิดแก่ศิษย์ได้ว่า ท่านอาจารย์กล่าวคำนี้ไว้เอง กลายเป็นอาจาริยวาท ไปเสียก็ได้ ซึ่งอาจาริยวาท เป็นเรื่องน่ากลัวว่าพระสัทธรรมจะถูกบิดเบือนโดยง่าย เกิดสัทธรรมปฏิรูปไปเสียโดยเร็ว

ดังนั้น การตัดสินว่าการปฏิบัตินั้นถูกหรือผิด ก็ต้องตรวจสอบจากพระธรรมวินัย เช่น เป็นไปเพื่อคลาย ไม่ใช่เพื่อยึด เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อก่อ เป็นไปเพื่อละกิเลส อนุสัย เพื่อถึงไตรลักษณ์ ฯลฯ เป็นต้น

เหล่านี้ก็คือ ตัวอย่างหลักการที่วางไว้ติดสิน ว่าการปฏิบัตินั้น หลงทางหรือไม่

คำถามง่ายๆก็คือว่า หากไม่มีพระบรมศาสดา จะมีพระสัทธรรมาจากที่ไหน และหากไม่มีพระธรรมวินัย แล้วจะมีปฏิบัติ(สัมมาฯ) และปฏิเวธแต่ที่ไหน

ยิ่งสิ่งที่เรียกว่า วิปัสสนูกิเลส ด้วยแล้วก็ยิ่งละเอียดอ่อนซับซ้อน ก็ต้องศึกษาจากพระไตรปิฎกเป็น สำคัญ

ด้วยความรู้อันจำกัด ผมมีความเห็นเพียงเท่านี้ครับ หากนึกออกแล้วจะร่วมแสดงความเห็นอีกครับ
 
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 6:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ศึกษาแผนที่ มีเข็มทิศ และอ่านแผนที่ประกอบเข็มทิศเป็น อย่างนี้ เดินทางอย่างไรๆก็ไม่หลง ไม่ต้องกลัวหลง ไม่ว่าในการลด สมัยไหนครับ

ผมคิดว่าอย่างนี้
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 05 ธ.ค.2005, 9:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อนคุณปูคุง สัทธรรม ก็มีมานานแล้ว มีมาก่อนที่จะเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาเสียอีก พระพุทธองค์ท่านก็ทรงตรัสรู้ข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มีมาก่อนพระองค์ท่านก็ตรัสรู้เช่นกัน ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นสัทธรรมก็จะเจริญงอกงามดี แล้วค่อย ๆ เสื่อมถอยลงตามจิตใจของมนุษย์ที่ห่างออกจากธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ออกไปทุกที ๆ นับจากพุทธนดร หรือนับจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนดับขันธปรินิพพาน พุทธศาสนาจึงแตกออกเป็นนิกายต่าง ๆ สร้างความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชนไม่เป็นเอกภาพ ดังเช่นยุคปัจจุบันที่มีทั้งนิกายเถรวาท และนิกายมหายาน



ความลำบากของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อยู่ในช่วงเริ่มต้นของพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ กว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะสร้างความยอมรับให้กับคนในแต่ละยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ดังนั้นพระพุทธองค์ท่านต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เสียงต่อต้านโต้แย้งของคนแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน



ดังปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเช่นกันว่า พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังไปดูถูกการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เชื่อ หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ พระพุทธองค์ท่านก็ตกนรกเช่นกัน



แต่เนื่องผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ คือต้องสามารถรับรู้ เรียนรู้และเข้าใจ และทำให้ข้อธรรมนั้นประจักษ์แจ้งต่อตนเอง โดยที่สามารถอธิบายข้อธรรมได้โดยไม่ต้องไปลอกจากตำราใด ๆ หรือแม้แต่ความรู้จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ข้อธรรมนั้นต้องมีเหตและผลอยู่ในตัวเอง คือมีลักษณะคำสอนที่เป็นผลเกิดจากเหตุเสมอ อันเป็นเอกลักษณ์ที่แท้จริงของพุทธศาสนา



ในกัปของเรามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว 4 พระองค์ คือพระกะกุสันโธพุทธเจ้าส พระกัสโปพุทธเจ้า พระโกนาคมพุทธเจ้า และพระศรีศากยมุนีโคตามีพุทธเจ้า อันแสดงว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์เดียว ก่อนที่จะเกิดพระพุทธเจ้าของเรนาขึ้น ก็มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้ว 3 พระองค์ แต่ในกัปของเรามีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ คือพระศีอารยเมตตไตยพุทธเจ้า



ส่วนสาเหตุที่ต้องมีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ ทั้งนี้เพราะธรรมมะเป็นของดี พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ไว้ดีแล้ว แต่พระสงฆ์ผู้เป็นสังฆสาวก จะถ่ายทอดสิ่งที่ท่านบอกสีบทอดต่อกันมายาวนานนับ 2500 กว่าปีนั้น จะถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ จึงต้องมีวิธีการพิสูจน์คำสอน และในที่สุดก็ต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ตรัสรู้ข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ตรัสรู้มาแล้ว โดยเฉพาะอริยสัจ 4 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านก็ตรัสรู้เหมือนกัน แต่ทุกพระองค์ตรัสรู้มา 4 ข้อ คือทุกข์ สมุหทัย นิโรธ และมรรคเหมือนกันทั้งสิ้น แต่เนื้อหาจะต่างกันตามแต่ละยุคสมัย เช่นในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คำสอนของท่านตั้งอยู่ที่ว่า คนไม่มีปัญญา พึ่งแต่องค์เทพต่าง ๆ ตามแบบศาสนาฮินดู แต่คนในสมัยนั้นก็มีพื้นฐานของการปฏิบัติสมาธิภาวนาตามหลักของศาสนาฮินดูอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านก็มาต่อยอดทำให้คนไม่ต้องพึ่งเทพพระองค์ต่าง ๆ แต่เมื่อตายไปสามารถไปอยู่กับเทพได้ เพราะฉะนั้นคำสอนของท่านในอริยสัจ 4 จึงต้องบอกอย่างละเอียด เช่นมรรค 8 จะบอกไว้ชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง



มาถึงยุคปัจจุบัน ที่คนส่วนมากถูกกิเลสรุมเร้า ทุกคนมีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ถือขนบธรรมเนียมประเภณี ยึดติดกับภาพลักษณ์ของพุทธศาสนา เช่นพระอรหันต์จะต้องมีคุณสมบัติอย่างนั้น อย่างนี้ เช่นต้องเป็นพระเท่านั้น จึงจะบรรลุอรหัตผลได้ มีโรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากกรรมมากมาย ความห่างเหินในธรรมมะ มีเพียงกลุ่มคนจำนวนไม่มากนักที่สนใจในธรรมมะ ต่างแสวงหาวิธีการปฏิบัติ เกิดสำนักและวิธีการปฏิบัติหลากหลายวิธี ทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติ เช่านเอาวิธีการของสำนักนั้นมาผสมรวมกับสำนักนี้ จนไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ หรือได้แต่ปลอบใจตนเอง ว่ามีความรู้ในพระธรรมคำสอน หรือแม้แต่บอกว่าจิตใจสงบ แต่ก็อ้างได้เพียงเท่านั้น รู้พระธรรมคำสอนก็รู้จริง เพราะตำราเขียนไว้แบบนั้น แต่จิตสงบ สงบจริงหรือไม่ เราอาจจะหลอกคนอื่นได้แต่หลอกตนเองไม่ได้ แล้วก็ได้เพียงเท่านั้น เพราะการปฏิบัติที่แท้จริงจะได้ผลดีจากการปฏิบัติอย่างเอนกอนันต์ประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาที่ดีขึ้น อาการความเจ็บป่วยจากโรคที่น้อยลง ความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์กันระหว่างคนในครอบครัวดีขึ้น เห็นข้อแตกต่างระหว่างคนที่ปฏิบัติกับคนที่ไม่ปฏิบัติเป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรมอย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้คนที่ไม่ปฏิบัติก็ไม่มีโอกาสหรือยากที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนได้ จึงได้แต่จินตนาการเอาว่าจะเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้ เรื่อยไปหาคำตอบให้แก่ตนไม่ได้เสียที
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง