Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สมเด็จเกี่ยวและหลวงตาบัวเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่มีหลักฐานดังต่อ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อนาคตวงศ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 9:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมเด็จเกี่ยว อุปเสนโน เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นสหธรรมมิกของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ซึ่งเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ได้กล่าวสมเด็จเกี่ยวว่าเป็นพระทองคำ บริสุทธิ์หมดทุกอย่าง พระอนาคามี อภิญญาห้าหลายสิบท่านก็ว่าท่านเป็นอรหันต์

ท่านที่เคยว่าสมเด็จเกี่ยวก็รีบขอขมานะครับ แล้วจะไม่เป็นไร เพราะกรรมที่ไปด่าพระอรหันต์ถ้าเราไม่รีบขอขมาถ้าจิตดับก่อนตาย ไม่เกาะบุญ เอาไว้มีหวังโลกันตนรก เพราะไตรปิฏก พระอภิธรรมสูตรได้กล่าวว่า ใครที่ด่าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระโสดาบัน จนถึงอรหันต์ พระโพธิสัตว์ มักจะลงโลกันตนรก แม้กระทั่งไม่เชื่อว่านรก สวรรค์มีจริง บาป บุญไม่เชื่อว่ามี ก็ลงนรกโลกันต หรือบาปใดก็ตามที่เป็นอาจิณกรรม เช่นดื่มเหล้าทุกวัน ชิงสุกก่อนห่ามทุกวัน พนันบอลทุกวัน ฆ่าสัตว์ทุกวันมักลงโลกัน กับอเวจี จะรอดอย่างเดียวคือให้พระพุทธเจ้าท่านเป็นพยานในการทำบุญของเราในครั้งนั้นๆ เพราะจะได้ผ่านสำนักพยายมราชก่อน ตอบบุญได้ว่าเคยทำบุญอะไรมา เช่น เคยสวัสดีพ่อแม่ ให้ข้าวสุนัข ไปสวรรค์ทันที



ผมได้รูปนี้มาจาก ราชดำเนิน หา link ไม่เจอยืนยันว่าหลวงตาบัวเป็นพระอรหันต์เข้าไปดูเวบข้างล่างได้ครับ

และเห็นบรรดาลูกศิษย์เล่าให้ฟังว่า ฟันของท่านที่หลุดออกมา องค์ท่านได้มอบให้ ท่านประชา พรหมนอก ก็กลายเป็นพระธาตุเช่นกัน
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3911724/Y3911724.html



 
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 2:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันมีโอกาสไปกราบหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบ้านตาดเมื่อเดือนที่แล้ว

เชื่อมั่นว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

มีผู้ร่วมคณะ เล่าว่าสัมผัสได้ถึงความเมตตาไม่มีประมาณของท่าน



หลวงตากล่าวเสมอว่าท่านเป็นสหธรรมิกกับสมเด็จญาณฯ พระสังฆราชองค์ปัจจุบัน

ซึ่งเราๆท่านๆเห็นได้จากการปกป้องของหลวงตาต่อความไม่ชอบธรรมทั้งปวง



หลวงตาได้เคยแนะนำว่า คนกรุงเทพไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนไปกราบพระไกลๆ

ถ้าจะกราบไหว้พระอริยสงฆ์ ให้ไปได้ที่วัดบวรนิเวศ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 7:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อนมนุษย์ผู้เจริญทั้งหลาย



การบรรลุอรหัตผลนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเท่านั้นที่จะทำได้ ฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้เช่นกัน และการเป็นฆราวาสการปฏิบัติจะยากกว่าพระด้วย ส่วนหนึ่งเพราะเมื่อเป็นพระปฏิบัติสมาธิไม่มีคนกล้าว่า อีกส่วนใครก็ตามที่มีผู้สักการะ การสร้างบุญบารมีของคนเหล่านั้นจะยากกว่า บุคคลที่ไม่มีมีคนสักการะ หรือมีผู้สักการะน้อย ซึ่งส่วนนี้ฆราวาสที่ปฏิบัติจะได้เปรียบพระที่ปฏิบัติธรรม หากตั้งใจจริงการบำเพ็ญเพียรของฆราวาสจะสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ง่ายและเร็วกว่าพระ เพราะฆราวาสที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เดินไปตามท้องถนนไม่มีคนสนใจ



ให้สังเกตง่าย ๆ ว่าพระบางรูปบวชเป็น 10 ปีจึงจะได้สำเร็จพระอรหันต์ แต่ฆราวาสอาจใช้เวลาปฏิบัติเพียง 2-3 ปีก็บรรลุธรรมสูงสุดนั้นโดยง่าย แล้วพราะที่บวชต้องอยู่ในป่า เพราะคงไม่มีใครเข้าป่าไปตักบาตรกับพระป่า จึงมีแต่พระป่าที่บรรลุอรหัตผล



ถ้ามองใดด้านความศักดิ์สิทธิ์ ฆราวาสที่บรรลุอรหัตผลมีความศักดิ์สิทธิ์กว่าพระที่บรรลุอรหัตผล เพราะอุปสรรคที่สำคัญของพระ คือมักติดในลาภ ยศ สรรเสริญ จากผู้คน โดยที่พระรูปนั้นจะต้องการหรือไม่ก็ตาม แต่ฆราวาสไม่มีอุปสรรคในเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะคนทั่วไปจะเข้าหาพระ โดยที่พระรูปนั้นจะปฏิบัติได้หรือไม่ก็ตาม พอเห็นพระห่มจีวรเดินผ่านมาก็คิดไปในทันทีว่านี่คือพระเราต้องเข้าไปหา ผิดกับฆราวาสที่มีสุปฏิบันโนเหมือนกัน คนทั่วไปก็มองว่าเป็นฆราวาสธรรมดา ๆ เท่านั้น



เพราะคนทั่วไปยังยึดติดกับภาพลักษณ์ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่ทำให้ผมไม่บวชพระ แต่อยู่แบบพระเน้นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด แล้วมาลองดูว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์หรือไม่ถ้าไม่บวช คำตอบคือได้ แล้วผมจะอธิบายคำว่าการบรรลุอรหันต์ให้ฟัง



เมื่อพิจารณาคำสอนแล้ว พระพุทธองค์ท่านให้เรากำจัดกิเลสโดยการใช้อำนาจแห่งพลังสมาธิมาขุดสันดานที่ไม่ดีที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนให้หมดสิ้นไปจากตัวเราอย่างถาวร เพราะสันดานที่ไม่ดีเป็นตัวก่อให้เกิดกิเลส ถ้าปราศจากสันดานที่ไม่ดีจะหาวัตถุดิบที่ไหนมาก่อให้เกิดกิเลสได้ล่ะ เพราะในขณะที่เราใช้อำนาจสมาธิล้างสันดานอันชั่วช้าไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงตน ความเห็นแก่ตัว ฯลฯ ให้หมดไปจากตัวเราอย่างสิ้นเชิงแล้ว สภาวะของเราจะเข้าสู่สภาวะนิ่งสงบ อยู่อย่างนั้นตั้งอยู่ได้นานเท่านาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เป็นวุมติสุข แบบนี้ใช่หรือไม่ที่เรียกว่าการบรรลุอรหัตผล หรือการเข้าสู่สภาวะนิพพาน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 8:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โฮ๊ะๆ งงอีกแล้วคับท่าน



ถ้าบอกว่าเป็นพวกจานบินต่างดาว ยังพอเข้าใจว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 8:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

" ... การบรรลุอรหัตผลนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเท่านั้นที่จะทำได้

ฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้เช่นกัน ... " เดี๋ยวง่ายเดี๋ยวยาก งงมาก



คุณธนาวัฒน์จำงานแต่งของตัวเองได้ไหม ?



" ฉะนั้นแล้วฆราวาสที่ไม่บวชก็สามารถบรรลุอรหัตผลได้ครับ "



ลองกลับไปดู
http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=dhammajak&No=3453



เราว่าคุณสับสนนะ จะพลอยพาคนอื่นพิศวงไปด้วยน่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 11:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอางี้ การทำให้เข้าสู่สภาวะนิพพาน ตอนบรรลุอรหัตผลแล้วทำง่าย แต่ถ้ายังไม่บรรลุอรหัตผลนั้นทำยาก แล้วที่ผมพูดว่าการทำให้บรรลุอรหัตผลหรือเข้าสู่สภาวะนิพพาน ผมมองจากตัวผมเองต่างหากว่าทำง่าย แต่ถ้าผมจะมองจากมุมของคนอื่นมันก็ยากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ผมจะมองในมุมที่เป็นของตนเอง เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าการทำให้บรรลุอรหัตผลหรือการเข้าถึงพระนิพพานเป็นเรื่องง่าย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
tanawat30
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 11:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ บัวเบลอ อ่านให้ดี ๆ นะครับ ผมเปรียบเทียบความยากความง่ายระหว่างการบำเพ็ญเพียรระหว่างพระกับฆราวาส การบำเพ็ญเพียรของฆราวาสทำยากกว่าพระ ฉะนั้นการจะบำเพ็ญเพียรของฆราวาสจะสำเร็จง่ายกว่าพระ ส่วนบนผมพูดถึงอุปสรรค ส่วนล่างผมบอกว่าการจะประสบความสำเร็จ มันคนละส่วนกันนะครับ คุณไปแยกให้ดี ๆ ตีให้ออกทีละประเด็น



ผมจะอธิบายอย่างนี้ ให้ชัด ๆ ถ้ามีของ 10 ชิ้นเท่ากัน ปริมาณเท่ากัน หนักเท่ากัน เป็นพระยกได้ทีละชิ้น แต่ละชิ้นใช้เวลายก 10 นาที แต่เป็นฆราวาสสามารถยกได้ครั้งละ 3 ชิ้น ครั้งละ 3 นาที ระหว่างฆราวาสกับพระใครยกของเสร็จก่อนกัน เวลาอ่านต้องตีประเด็นให้ออกและต้องคิดตาม คำว่าอุปสรรคในที่นี้ผมเปรียบเทียบให้เท่ากับความหนัก ยก 3 ชิ้นต้องหนักกว่ายก 1 ชิ้น แล้วคำว่าเสร็จก่อนเสร็จหลัง ก็หมายถึงความยากง่ายของการบรรลุธรรม อ๊ะแล้วใครเบลอกันหว่า
 
ริยัติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 9:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูกรท่านผู้ศรัทธาจริตทั้งหลาย



....พระอรหันต์เท่านั้น ย่อมรู้จิตของพระอนาคามี ของพระสกิทาคามี ของพระโสดาบัน และของปถุชนได้



แต่ปุถุชนก็ดี พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี หรือ แม้แต่พระอนาคามีก็ตาม จะหยั่งรู้จิตของพระอรหันต์ไม่ได้เลย .................



ถามว่า เพราะอะไร ?

ตอบว่า เพราะสภาวะจิตของตน ยังไม่ผ่านสภาวะธรรมที่พระอรหันต์บรรลุแล้ว

ประการหนึ่ง



ประการที่ 2

ผู้ที่ได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว ท่านไม่เทียวประกาศหรือโพนทนายกตนให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า ตนได้บรรลุคุณวิเศษแล้วดอก



ผู้ใดประกาศตนอวดตนเช่นนี้ ท่านว่า ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ



หมายเหตุ...ผู้ที่เป็นปุถุชน อย่าว่าแต่จะรู้จิตของพระอริยบุคคลชั้นนั้นชั้นนี้เลย แม้แต่จิตหรือความคิดของตน ยังไม่รู้เลยแล
 
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 12:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอเพิ่มเติมความเห็นคุณริยัตินะคะ



พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ ด้วยเที่ยวประกาศว่าตนบรรลุพระอรหัตตผลแล้ว

เป็นผู้ที่จริงๆแล้ว รู้ตัวดีว่าตนไม่ได้บรรลุคุณธรรมนั้นๆ แต่ป่าวประกาศโดยมีเจตนาหลอกลวงผู้อื่น



แต่ถ้าตนเข้าใจผิด ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง



และถ้าบรรลุธรรมนั้น แล้วป่าวประกาศ น่าจะต้องอาบัติแต่ไม่ใช่ปาราชิก



ขอเชิญผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วรากร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 1:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บวชพระหรือฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้เช่นกัน

ตอบ

ถูกต้องครับ แต่ มีแต่นะครับ



การบวชเป็นพระนั้นสามารถที่จะปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้สะดวกกว่าเป็นฆราวาสครับ เนื่องจากพระท่านไม่ต้องมาห่วงเรื่องทางโลกแล้ว แต่ถ้าเป็นฆราวาสนั้นยั่งมีทางโลกเหลืออยู่ครับ



แต่ว่าใครจะตรัสรู้เร็วกว่าหรือช้ากว่าก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั่นครับ ไม่มีว่าพระเร็วกว่าฆราวาส หรือ ฆราวาสเร็วกว่าพระครับ



แต่เมื่อใดฆราวาสบรรลุธรรมได้อรหัตตผลท่านต้องบวชครับ หรือว่า ตายจากไป เพราะว่าอะไรหรือครับ ก็อรหัตตผลมันใหญ่เกินกว่าที่ฆราวาสจะรับได้ไหวครับ (สามารถหาอ่านได้จากกพระไตรปิฏก)



ผู้ใดบรรลุธรรมบอกผมด้วยนะว่าบรรลุอะไร ผมยังไม้บรรลุธรรมอยากรู้



 
ริยัติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 2:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบคห.ที่ 8



เป็นพระไม่ว่า จะบรรลุเหรือไม่บรรลุ ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเทียวป่าวประกาศ ให้ใครรู้ เหมือนคนขึ้นอวดขี้โอ่ นอกเสียอลัชชี....

มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า เจตนาของผู้นั้นทำเพื่อแสวงหาบริวาร ทำเพื่อ แสวงหาลาภ สักการระ

ครั้งพุทธกาล พระพระพุทธเจ้าตำหนิพระประเภทนี้ไว้.... แม้จะเหาะได้จริงๆก็ตาม อย่างพระที่เหาะขึ้นไปเอาบาตรบนปลายไม้ไผ่ก็ถูกพระพุทธเจ้าตำหนิ และได้บัญญัติวินัยห้ามไว้เลย...



เมืองไทยตอนนี้มีพระ....อลัชชีประกาศตนก็เพื่อความอยากใหญ่ ฯลฯ
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 2:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำตอบของคุณ วรากร ถูกต้องครับ แต่ต้องเข้าใจว่าฆราวาสยุคนี้หรือยุคไหนก็ตามปฏิบัติยากกว่าพระเป็นปกติ ยิ่งยุคนี้เห็นชัดมากขึ้น ยิ่งฆราวาสที่สละแล้วซึ่งทางโลก แล้วจำเป็นต้องใช้ปัจจัยในการดำเนินชีวิต ผมเลยต้องชี้ให้เห็นถึงสภาพปัจจุบันว่าทำไมฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมยากกว่าพระ จึงสำเร็จมรรคผลง่ายกว่าพระ



....พระอรหันต์เท่านั้น ย่อมรู้จิตของพระอนาคามี ของพระสกิทาคามี ของพระโสดาบัน และของปถุชนได้ แต่ปุถุชนก็ดี พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี หรือ แม้แต่พระอนาคามีก็ตาม จะหยั่งรู้จิตของพระอรหันต์ไม่ได้เลย ................. ส่วนนี้อธิบายได้ง่ายมาก เหมือนคนที่เป็นจ่าจังหวัด เป็นนายอำเภอ ย่อมไม่รู้ว่าปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างไร ต้องทำอะไรบ้าง ไม่ได้ฉันใด แล้วมองมุมกลับ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ย่อมรู้ว่าจ่าจังหวัดเป็นอย่างไร นายอำเภอเป็นฉันใด สิ่งที่คุณ ริยัติ บอกก็เป็นฉันนั้น



ดังนั้นผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าทุกยุคทุกสมัย จำเป็นต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชนในยุคนั้น หรือแม้แต่ยุคนี้ก็เช่นกัน เพื่อที่จะทำความรู้จักสันดานชั่วต่าง ๆ ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เช่นความโลภเกิดจากความสุข ภัยร้ายของความโลภทำให้เกิดเอารัดเอาเปรียบ การฉ้อโกง แต่มนุษย์ปุถุชนย่อมไม่เข้าใจถึงความสงบนิ่งในสภาวะนิพพานได้เลย เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ของการเข้าสู่สภาวะนิพพานมาก่อน แต่คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหัตผลได้ผ่านการเรียนรู้สันดานชั่วต่าง ๆ ของมนุษย์มาหมดแล้ว นี่คือเหตุผลที่แท้จริง แต่คนปฏิบัติไม่ได้จะอธิบายไม่ได้



แล้วผมจะตอบคุณ บัวเบลอ ให้ทราบดังนี้นะครับ คนที่ปฏิบัติได้จริง อธิบายได้จริงด้วยประสบการณ์ที่ตนมี อธิบายได้ถูกต้องตรงไปตรงมาชอบด้วยเหตุและผล ไม่ถือว่าผิดหรอกนะครับเพราะไม่ได้อวดอ้าง เพราะทำได้และมีอยู่ในคน ๆ นั้นจริง ๆ ไม่ถือว่าผิด



อีกประเด็นหนึ่ง คนจะเข้าใจผิดหรือไม่มันเป็นปัจจัยของแต่ละคน ถ้าผมอุปมาอุปไมยว่ามีคน 2 คน ชื่อ A กับ B โดยที่ A เคยกินน้ำตาลมาแล้วแล้วบอกว่าน้ำตาลหวาน ส่วน B ไม่เคยกินน้ำตาลมาก่อน มีเพียงคำบอกเล่าจากคนรุ่นก่อนเป็นเพียงตำนานว่าน้ำตาลมีรสหวาน ระหว่าง A กับ B ใครจะรู้รสของน้ำตาล แล้วสามารถอธิบายความหวานของน้ำตาลได้ดีกว่ากัน ดังนั้นการบรรลุอรหัตผลก็เปรียบเสมือนรสของน้ำตาล ที่ผู้กินน้ำตาลคือ A เท่านั้นจะสามารถรู้รสที่แท้จริงของน้ำตาล แต่ B ไม่เคยกินน้ำตาลย่อมไม่มีทางรู้รสของน้ำตาลได้เลย ฉันใดก็ฉันนั้น แล้วถ้า B กับ A มาเถียงกันเรื่องรสของน้ำตาลอะไรจะเกิดขึ้น แล้วหรือ A ที่กินน้ำตาลมาแล้ว รู้รสความหวานของน้ำตาลแล้วมาเล่าให้คนอื่นฟังเป็นประสบการณ์เพื่อที่จะนำความรู้รสของน้ำตาลมาให้คนอื่นฟังมันจะผิดมั้ย แล้วถ้า B ไม่เคยกินน้ำตาลมาก่อนจะรู้มั้ยว่าสิ่งที่ A พูดจริงหรือไม่ คนอื่นที่ไม่เคยกินน้ำตาลเหมือน A จะไม่มีทางรับรู้รสน้ำตาลได้เลย และไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่า A อวดอ้างหรือไม่จนกว่า B จะได้กินน้ำตาลจนรู้รสน้ำตาลเช่นเดียวกับ A แล้วถึงจะวิจารณ A ได้ว่า A พูดจริงหรือไม่ หรือจึงมามีสิทธิ์พูดได้ว่า A นั้นเป็นของจริงหรือเป็นของอวดอ้าง ถ้าสิ่งที่ A พูดเป็นความจริง A พูดแล้วย่อมไม่ผิด เพราะไม่ได้อวดอ้างแต่ประการใด และควรมีสิทธิ์พูดเพื่อบอกว่าน้ำตาลมีรสอย่างไร

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
วรากร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 2:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การบรรลุธรรมนั้นใช่ว่าปฏิบัติธรรมยากกว่า แล้วจึงสำเร็จมรรคผลง่ายกว่า

มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลครับ พระก็ดี ฆราวาสก็ดี สามารถเลือกวิธีปฏิบัติได้ ตามแต่จริตของแต่ละบุคคล ง่ายหรือยากก็แล้วแต่บุคคลครับ



พระบางรูปบวช ขณะโกนผมก็บรรลุธรรมเลย

ฆราวาสบางคน เพียงพระพุทธเจ้ากล่าวว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินก็บรรลุธรรมเลย จนพระพุทธเจ้าให้เป็นพระที่บรรลุธรรมเร็วที่สุด



พระบางรูปบวชนานมากก็ไม่บรรลุธรรม ฆราวาสก็เช่นกัน ปฏิบัติบัติธรรมมากแต่ก็ไม่บรรลุธรรม



ไม่มีใครบอกได้ว่าอย่างไร ผู้อ่านทุกท่านโปรดพิจารณาด้วยครับ มันเป็นปัจจัตตัง ของใครของมัน หากไม่สามารถขจัดออกได้ ก็ติดอยู่ในธรรมเพียงเท่านั้น ไม่สามารถหลุดพ้นไปธรรมอื่นได้



ธรรมใดก็ตามไม่เป็นประโยชน์แก่การตรัสรู้ พระทุพธเจ้าทรงไม่ตอบ เพราะถึงจะรู้ได้ก็ไม่ทำให้ท่านบรรลุธรรมใด กลับติดอยู่เพียงเท่านั้น



ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจ สาธุ
 
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 3:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



น้ำตาลบ่เคยขมจักเทื่อ



วิญญาณหมาป่าไม่อาจเข้าไปตัดสินความรู้สึกของพญาราชสีห์ได้ฉันใด

ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสอย่างเราๆ ไม่อาจเข้าใจความรู้ของพระอรหันต์ได้ฉันนั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เอย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 6:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คห. 13

พูดถูกต้อง ปุถุชนกิเลสหนาอย่างเราๆ ไม่อาจไปตัดสินจิตใจของพระอริยะได้ เมื่อตัดสินไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่..........

เขาเหล่านั้น (คือคนอย่างเราๆ) ไม่ควรด่วนเชื่อหรือไปตัดสินต่อบุคคลหรือ พระรูปใดๆ ว่าเป็นพระอรหันต์
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 6:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉะนั้นแล้ว พระพุทธองค์ท่านจึงไม่ได้บอกว่าให้ใครเชื่อตามที่ท่านบอก แต่กลับบอกให้ปฏิบัติตามที่ท่านบอก คำว่าเชื่อกับคำว่าปฏิบัติไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ส่วนตัวผมแล้วผมก็ไม่ได้บอกให้ใครเชื่อ แต่ผมจะบอกให้คนปฏิบัติ



อีกอย่างที่ผมจะบอกเราจะเชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญแต่ถ้าไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ดูหมินก็แล้วกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงตัวเราเองจะเป็นผู้เดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว แล้วความเห็นที่ 13 กับ 14 ผมก็บอกในความเห็นของผมชัดเจนแล้วว่า คนที่จะตัดสินได้ คือคนที่ปฏิบัติเท่านั้น คำสอนของพระพุทธองค์มาอย่างไร ผมก็แนะนำคนไปตามนั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ฆราวาส
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 9:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วทำไมคุณธนฒน์มัวกำกวมให้คนเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ไม่กล้ายืนยันเหรอ ว่าเป็นจริงรือไม่
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 10:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วทำไมคุณธนฒน์มัวกำกวมให้คนเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ไม่กล้ายืนยันเหรอ ว่าเป็นจริงรือไม่ --- ผมยืนยันในทางทฤษฎี แต่ไม่ยืนยันในทางปฏิบัติ เพราะถ้าผมยืนยันแล้วคนฟังเขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อผมไม่กลัว แต่ผมกลัวว่าเขาจะลบหลู่ผมจนตัวเขาเดือดร้อนต่างหาก ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แต่ในชีวิตจริงก็มีแล้ว มีคนถูกยิงเพียงเพราะมาดูถูกการปฏิบัติของผม แล้วที่ผมยืนยันเพียงทฤษฎีก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ผมต้องการให้คนรู้แจ้งประจักษณ์ต่อตนเองว่า การบำเพ็ญเพียรแล้วบรรลุอรหัตผลทำได้จริง ทำแล้วอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้น เพื่อเป็นความรู้ให้กับผู้อ่าน เพราะคนสมัยปัจจุบันนี้ห่างเหินการปฏิบัติกันมาก มากเสียจนสังคมโลกจะวิบัติไปแล้ว มากเสียจนมีญาติผู้ใหญ่บางคนของผมบอกว่ามนุษย์ปุถุชนไม่สามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุอรหัตผลได่ มากเสียจนต้องบวชพระเท่านั้นจึงจะบรรลุอรหัตผลได้ พอมีคนทำได้จริงออกมาพูดถึงแม้ว่าจะไม่พูดลงไปชัด ๆ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดในสังคม ก็จะมีเสียงจากสังคมส่วนใหญ่ออกมาบอกว่า เพ้อเจ้อ จินตนาการไปเองบ้างอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วคุณลองคิดดูซิสังคมมนุษย์โลกเดียวนี้มีความสุขกันหรืออย่างไร แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้อีกนานแค่ไหน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
บูรณ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 10:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าที่ A ลิ้มรสนั้นเป็นน้ำตาล ... ไม่ใช่จิตวิปลาสคิดไปเอง
 
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 10:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบคำถามของความเห็นที่ 18



ผลนั้นเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดีผลก็ต้องดี แต่ถ้าเหตุไม่ดีหรือไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่มีความจริงใจต่อตนเอง เช่นถ้าเรากินน้ำตาลแล้วมันเปรี้ยว ตัวเราก็รู้ทั้งรู้ว่ามันเปรี้ยว แต่ยังจะหลอกคนอื่นว่าน้ำตาลหวานอยู่ จิตวิปลาสคิดไปเองเกิดจากความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง



ความอันตรายอย่างหนึ่งของผู้ที่ปฏิบัติ คือไม่ยอมรับตนเอง แต่เดิมถ้าเราเป็นคนพยาบาทคน พยาบาทไม่เลิกรา พยายามปลอบใจตนเองว่าฉันไม่พยาบาทคน กู่ร้องประกาศให้ทุกคนรู้ว่าฉันไม่พยาบาทคน ทั้ง ๆ ที่จิตมันคิดพยาบาทคนนั้นอยู่ ผมให้ชื่อว่านาย C ก็แล้วกัน เวลาที่จิตมันคิดพยาบาท เวลามีใครก็ตามที่คุยกับเราแล้วคน ๆ นันรู้จักนาย C เราจะถามคน ๆ นั้นที่มาคุยกับเราถึงนาย C ทันที ถ้านาย C ยังอยู่ดีกินดีเราจะไม่มีความสุข แต่ถ้านาย C เป็นอะไรก็ตามเช่นโดนไล่ออกจากงาน เราจะมีความสุข แต่เราบอกทุกคนว่าเราไม่โกรธนาย C เราไม่พยาบาทนาย C แล้วทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ดีว่าเป็นอย่างไร นานวันเข้า ๆ จากการที่เราเคยรู้ว่าเราเคยพยาบาทนาย C กลายเป็นความไม่รู้ว่าเราพยาบาทนาย C เพียงเพราะเราโกหกตนเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาว่าเราไม่มีความพยาบาทนาย C อีกแล้ว



อีกนัยหนึ่ง คือถ้าเราสงบนิ่ง เราต้องพิจารณาตัวเองว่าเราสงบนิ่งจริงหรือเปล่า วิธีการพิสูจน์ คือเราสามารถปฏิบัติสมาธิได้หรือไม่ ถ้าเราปฏิบัติสมาธิภาวนา ถ้าเราไม่สามารถเข้าสมาธิได้ แสดงว่าจิตของเราไม่นิ่งจริง แล้วถ้าใครถามผม ผมตอบได้ทุกคำถาม ผมก็อยากจะให้คนมาถาม จะได้ตอบไปเลยไม่ต้องค้างคากันอยู่



สรุปคือ จิตเรา เราปรุงแต่งด้วยตนเอง เช่นถ้าเรามีความโลภในทรัพย์สิน เวลาเราปฏิบัติสมาธิภาวนา ความโลภในทรัพย์สินนั้น จะตามหลอกหลอนเราในสมาธิด้วย เรารู้จักและเข้าใจสิ่งปรุงแต่งนี้ดีเพียงใด ถ้าเราไม่รู้ทันความโลภก็ปรุงแต่งเราให้หลงมัวเมาว่าจะได้ลาภ ยศ ต่อไป ถ้าเรารู้ทันก็ใช้สมาธิขับความโลภนั้นเสียให้มันไปไกล ๆ จากเราจิตปรุงแต่งที่เกี่ยวกับความโลภจะหายไป ความโกรธ หรือเห็นแก่ตัวก็เช่นกัน



มารในทางพุทธศาสนาที่สำคัญก็คือตัวเรา มารทั้งหลายเกิดจากตัวเรา ไล่มารจากตัวเราให้ออกจากตัวเราให้ได้ เทวดาหรือเทพก็คือเรา โน้มนำเทวดาและเทพหรือการบรรลุอรหัตผลมาสู่ตัวเราให้ได้ เมื่อสิ่งนั้นมาสู่ตัวเรา เราจะรู้เองเห็นเองว่าเป็นมารหรือเป็นเทพ มารหรือเทพคือความรูสึกที่เราเป็น ไม่มีใครมาว่าเราได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง