Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สงเคราะห์โยมมารดา (สมาธิภาวนา) พระอาจารย์จวน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กรกต
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 12:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้า (พระอาจารย์จวน) ได้ไปรับมารดามาบวชเป็นชีที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว ดังนั้นพอถึงเวลาใกล้จะเข้าพรรษา ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้จัดให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านเดิมเพื่อสงเคราะห์โยมมารดา และแต่งพระองค์หนึ่งกำกับไปด้วย ชื่อหลวงพ่อคำอ้าย เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่นนั่นเอง ก่อนลาท่านไป ท่านพระอาจารย์มั่นได้กำชับข้าพเจ้าให้คำเตือนล่วงหน้าไว้ว่า “เมื่อออกพรรษาแล้วให้รับกลับมาหาผมนะ เดี๋ยวจะไม่ทันผม”

เรื่องนี้ท่านได้ประกาศให้พระลูกศิษย์ทั้งหลายทราบเป็นการล่วงหน้ามาหลายปีแล้วว่า ท่านได้กำหนดอายุของท่านไว้…”ผมอายุเพียง 80 ปีเท่านั้น ก็จะมรณภาพแล้ว” ดังนี้ ในปีนั้นก็พอดีได้ 80 ปีพอดี พวกศิษย์จึงระมัดระวังกันเต็มที่ ข้าพเจ้าก็ไม่อยากจะจากท่านไปเลย แต่ก็ติดขัดด้วยเป็นการที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่สั่ง และเป็นการไปอนุเคราะห์โปรดมารดา อันเป็นหน้าที่ของบุตร ข้าพเจ้าจึงกราบลาท่านไปด้วยความอาลัยยิ่ง

ขณะที่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว นอกจากการปรารภความเพียรของตนเองแล้ว ก็ได้ช่วยอบรมมารดาที่บวชเป็นชีที่วัดบ้านเกิด โยมได้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเป็นอย่างดี และต่อมาได้เล่าเรื่องภาวนาให้ฟังว่า

“โยมได้ภาวนา บริกรรมว่า พุทโธ-พุทโธ อยู่แต่ในใจ บางวันจิตจะรวมลงไปใสบริสุทธิ์ อยู่เฉพาะแต่จิตล้วนๆ ไม่มีทุกขเวทนาเลย แสนที่จะสบายยิ่งนักเมื่อเป็นเช่นนี้เป็นอย่างไร”… โยมมารดาถาม ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “จิตมันรวม มันวางธาตุ มันอยู่เฉพาะจิต มันก็สบายน่ะซิ ให้มันรวมอยู่เสมอ แต่ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวม อย่าไปรบกวนจิต อย่าไปบังคับจิตให้รวม ให้รวมเอง เมื่อจิตรวมก็ให้มีสติ เมื่อจิตถอนก็ให้มีสติมาพิจารณากายของตน และอย่าบังคับจิตให้ถอน จะถอนให้ถอนเอง”

ได้แนะนำโยมมารดาแต่เพียงเท่านี้ ตามแนวอุบายคำสอนของพระอาจารย์มั่นที่เคยให้ข้าพเจ้านั่นเอง และโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้

วันต่อมาโยมมารดาก็มาเล่าให้ฟังว่า จิตมันรวมบ่อยสามชั่วโมงก็มี ตั้งแต่ค่ำยันรุ่งก็มี และโยมพูดว่า “ไม่มีใครตาย มีแต่ผู้รู้….รู้อยู่ ไม่มีผู้ตาย ที่ว่าตายตายนั้น เพราะคนไม่รู้สมมุติ! เพราะร่างกายธาตุขันธ์อันนี้เป็นแต่สมมุติ….มันไม่ตาย มันตายไม่เป็น ธาตุทั้งหลาย ดินน้ำลมไฟ เป็นของมีอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา เป็นประจำ อยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรตายเลย ส่วนผู้รู้ก็ไม่ตาย” โยมเล่า ความรู้เห็นตามภาวนาให้ฟัง และกลับสงสัยว่า “จะให้เอาอะไร จะให้เอาผู้รู้นี่หรือ”

เมื่อโยมมารดาถามเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า “พระพุทธเจ้าท่านสอน เบ้องต้นให้กำหนดให้รู้ตามเป็นจริง เมื่อรู้แล้วละวาง ปล่อยสละ สลัดตัดขาด ถ้าเรารู้….ไปเอาความรู้ ก็ชื่อว่า เราละไม่ได้ พระพุทธเจ้า ท่านว่า เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา แล้ว ยาวะ เทวะ ญาณมัตตายะ ญาณคือความรู้ ก็สักแต่ว่ารู้ ปติสสติ มัตตายะ สติ ความอาศัยระลึกรู้ ก็สักแต่ว่าระลึกรู้ เมื่อเธอเป็นผู้กำหนดรู้เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงแล้ว อนิสสิโต จะ วิหระติ เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย นะจะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ ย่อมไม่ยึดคิดอะไรๆ แม้แต่นิดหนึ่ง น้อยหนึ่งมิได้มีในโลก…. ดังนี้ คือโอวาทคำสั่งสอนตักเตือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า ”ไม่ติดอยู่” คือ ความรู้ก็ไม่ติด คำว่า “ไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลก” คือความรู้ตามเป็นจริง-รู้โลก นั่นเอง คือ โลกวิทู…. รู้แจ้งโลก เมื่อรู้แจ้งโลกแล้ว ละวาง สละ สลัด ตัดขาดกันเท่านั้น”



 
กรกต
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 12:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นการเตือนให้โยมมารดาไปพิจารณาเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ เมื่อโยมมารดาได้รับการตักเตือนอย่างนี้ ก็ไปภาวนาต่อไป ภายหลังจึงมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า “บัดนี้ โยมรู้แล้ว คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นหว่งโยมเลย… นี่เป็นพรรษาที่ 7 เป็นพรรษาที่ได้อยู่ร่วมและสงเคราะห์โยมมารดา



เมื่อจำพรรษากับโยมมารดา ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติแนะนำท่านตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะนำวิธีมา โดยเริ่มสอนให้ท่องเพียง “พุทโธ” ให้มีสติกำกับใจอยู่กับพุทโธ อยู่กับอารมณ์พุทโธ ให้พุทโธ อยู่กับใจอย่าพลั้งเผลอ อย่าขาดจากกัน



บอกเพียงแค่นั้น โยมก็ไปปฏิบัติ และมาบอกผลของการภาวนาเป็นลำดับๆ และข้าพเจ้าก็แนะนำผลต่อไปเป็นลำดับๆ เช่นกัน โดยเฉพาะการพิจารณากาย…. กระทั่งวันหนึ่ง โยมมารดาก็เล่าว่า ท่านพิจารณากาย จนเห็นชัดและมันเปื่อย ผุพังลงไป แม่นแล้วมันไม่ใช่ของเราจริงๆ เห็นหมดเลยทุกส่วน ยังเหลือแต่ลำไส้อยู่ส่วนเดียวในกาย ยังมือตื้ออยู่ เห็นไม่ชัด ละลายยังไม่ได้



ข้าพเจ้าก็ว่า ให้ละลายมันให้ได้ ทำให้ได้ ภาวนาให้มันได้ซีโยม

โยมมารดาภาวนาต่อไป สุดท้ายพอจะออกพรรษาท่านก็ออกอุทานว่า “โอยคุณลูกโยมรู้แล้ว รู้จักทางแล้ว คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย….มันบ่มีผู้ตายหรอก จิตมันก็ตายไม่เป็นหรอก มันละใสบริสุทธิ์มีแต่ผู้รู้ ไม่มีผู้ตาย ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเราน่ะเป็น ดินน้ำลมไฟ นะคุณลูก” เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน ตอนโอยมารดาเจ็บหนักนี้ท่านบอกว่า ท่านจะอยู่ไม่นาน อีกสามวันก็จะไปละ เพราะมารดาเกิดวันพฤหัสบดี จะตายวันนั้น โอยมมารดาบอกวันตายด้วย แล้วก็บอกเวลาอีก….ว่าตีหนึ่ง จะลาละ อย่ารีบไปไหน พอถึงวันพฤหัสบดี ลูกหลานทุกคนก็มาเฝ้ากันหมดพร้อมหน้า พอถึงเวลาตีหนึ่งท่านก็ดับไปจริงๆ โดยหลับตา สิ้นลมไปอย่างสบาย สงบที่สุด



เมื่อมีโอกาสที่จำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโยในภายหลัง ข้าพเจ้าได้กราบเรียน เล่าเรื่องการภาวนาของโยมมารดา ถวายให้หลวงปู่ขาวฟัง ท่านพิจารณาอยู่ 3 วัน แล้วก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง

โอ….โยมมารดาของท่านไปสูงเลย ไปถึงสุทธาวาส พรหมโลก ได้สำเร็จอนาคามีทีเดียว

หลวงปู่ขาวว่าอย่างนั้น ข้าพเจ้าสาธุ อนุโมทนาด้วยโยม ส่วนเรื่องผู้รู้ – ตายไม่ตายนั้น ฟังแล้วโปรดพิจารณากันเอาเอง



ขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ขอขมาต่อพระอาจาย์จวนด้วยที่ตัดข้อความบางข้อออกกลัวจะยาวเกินไป เพื่อประโยชน์แก่ทุกท่านที่ปฏิบัติธรรม

 
กระทะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 2:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาครับ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง