|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 พ.ย.2005, 2:47 pm |
  |
วิปัสสนาภูมิ 6 ได้แก่
1) ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
2) อายตนะ 12
แบ่งเป็น อายตนะภายนอก 6 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์
อายตนะภายใน 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
3) ธาตุ 18 ได้แก่ จักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ รูปธาตุ สัทธาธาตุ คันธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพพะธาตุ ธัมมธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ มโนวิญญาณธาตุ
4) อินทรีย์ 22 ได้แก่
จุกขุนทรีย์ (อินทรีย์คือตา) โสตินทรีย์ (อินทรีย์คือหู) ฆานินทรีย์ (อินทรีย์คือจมูก) ชิวหินทรีย์ (อินทรีย์คือลิ้น) กายินทรีย์ (อินทรีย์คือกาย) มนินทรีย์ (อินทรีย์คือใจ) อิตถินทรีย์ (อินทรีย์คือหญิง) ปุริสินทรีย์ (อินทรีย์คือชาย) ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต) สุขินทรีย์ (อินทรีย์คือความสุข) ทุกขุนทรีย์ (อินทรีย์คือความทุกข์) โสมนัสสินทรีย์ (อินทรีย์คือความพอใจ) โทมนัสอินทรีย์ (อินทรีย์คือความไม่พอใจ)อุเปกขินทรีย์ (อินทรีย์คืออุเบกขา) สตินทรีย์ (อินทรีย์คือสติ) สมาธินทรีย์(อินทรีย์คือสมาธิ) ปัญญินทรีย์ (อินทรียฺคือปัญญา) อัญญาตาวินทรีย์ (อริยบุคคลที่ต่ำกว่าอรหัตผล) อัญญาตาวินทรีย์ (เฉพาะอรหัตผล)
5) อริยสัจจ์ 4 ได้แก่ ทุกข์อริยสัจจ์ สมุทัย นิโรธ มรรค
6) ปฏิจจสมุปบาท 12 ได้แก่ เหตุปัจจัยที่อาศัยกันเกิดขึ้น คือ อวิชชา/สังขาร/วิญญาณ/นามรูป/อายตนะ6(สาฬายตนะ)/ผัสสะ/เวทนา/ตัณหา/ภพ/ชาติ/ชรามรณะ
|
|
|
|
|
 |
max
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 พ.ย.2005, 4:22 pm |
  |
สาธุครับท่านอาคันตุก
จากการที่ผมได้ศึกษามา พอมีความรู้บ้างในหัวข้อที่ 1. 2. 5. 6.
ส่วนข้อที่ 3.ธาตุ18 และ ข้อที่4. อินทรีย์ 22
ไม่เคยศึกษาเลยครับกรุณาทำความกระจ่างให้ผมด้วยครับ
ขอบพระคุณครับ  |
|
|
|
|
 |
ฯลฯ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 พ.ย.2005, 12:39 am |
  |
การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
1. ข้อใดที่พึงละ ก็ละ
2. ข้อใดที่พึงปฏิบัติ ก็พึงปฏิบัติ
3. ข้อใดที่พึงปฏิบัติก่อน ก็ปฏิบัติก่อน
4. ข้อใดที่พึงปฏิบัติภายหลัง ก็ปฏิบัติภายหลัง |
|
|
|
|
 |
เฟ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 พ.ย.2005, 12:49 pm |
  |
ขอบคุณค่ะ |
|
|
|
|
 |
max
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ย.2005, 8:55 am |
  |
สาธุครับ ท่านอาคันตุก |
|
|
|
|
 |
วรากร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ย.2005, 1:05 pm |
  |
องค์รวม
เมื่อจิตเห็นในสิ่งนั้นๆ ตามความเป็นจริง ได้ชื่อว่า เห็นธรรม
ไม่มีการปรุงแต่ง เพราะไม่มีอะไรให้ปรุงแต่ง
สิ่งที่ปรุงแต่งเกิดจาก จิต
เมื่อไม่มีอะไรให้ปรุงแต่ง ก็ไม่มีทุกข์ สุข จิตก็พร้อม เข้าสู่นิพพาน
เมื่อมองด้วยจิตว่าง ประตูนิพพานก็เปิด
เมื่อมองต้วยจิตปรุงแต่ง ประตูปถุชนก็เปิด |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
16 พ.ย.2005, 10:56 am |
  |
คือจิตนั้นประกอบด้วย สันดานที่ไม่ดี อนุสัยที่ไม่ดี ที่จริงแล้วคำว่าอนุสัยแปลว่าสิ่งที่เนืองแน่น ติดแย่นานข้ามภพข้ามชาติ ผมว่าแปลแบบนั้นมันยาก เลยขอแปลง่าย ๆ เมื่อแปลง่าย ๆ คนจะได้เข้าใจ เมื่อคนเข้าใจจะได้ปฏิบัติง่าย เมื่อเอาสันดานที่ไม่ดีออกจากจิตจนหมดสิ้น ก็ไม่มีอาหารของกิเลสคืออารมณ์คอยปรุงแต่งอยู่ เมื่อไม่มีกิเลสหรือมันเกิดมาก็ดับไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีกิเลสเช่นนั้น ประตูนิพพานก็เปิด เพราะคำว่าพระอรหันต์คือผู้กำจัดกิเลสที่มากระทบยตนให้หลุดออกจากตนได้โดยเร็ว แล้วผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ คือต้องกำจัดสันดานชั่วของตนให้หมดสิ้นไปโดยถาวรเท่านั้น |
|
|
|
    |
 |
chitladda
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2005
ตอบ: 3
|
ตอบเมื่อ:
16 พ.ย.2005, 11:37 am |
  |
ได้เพิ่มพูนความรู้มากค่ะ ไม่ค่อยคุ้นๆ เลย |
|
|
|
   |
 |
นิพพาน
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 30 ต.ค. 2006
ตอบ: 34
|
ตอบเมื่อ:
03 พ.ย.2006, 12:02 am |
  |
..........ครูบาอาจารย์จะคอยติดตามการดำเนินของการปฏิบัติอยู่เสมอ โดยการซักถามปรากฎการณ์ทางจิตของศิษย์ จึงสามารถดัดแปลงแก้ไขการปฏิบัติให้เหมาะสมกับภาวะของแต่ละคน ช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากมีอะไรแทรกแซงขึ้นมา เช่น นิมิตเห็น ภูตผีปีศาจ หรือยักษ์ เห็นมาร อาจารย์ก็จะชี้แจงให้ทราบความหมายของนิมิตนั้น ๆ และบอกวิธีที่จะป้องกัน ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไป หลักสำคัญประการหนึ่งซึ่งท่านอาจารย์ในสายของท่านพระอาจารย์มั่น เน้นอยู่เสมอ คือ "ธรรมะทั้งหลายอยู่ภายในกายของเราเอง" |
|
|
|
  |
 |
นิพพาน
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 30 ต.ค. 2006
ตอบ: 34
|
ตอบเมื่อ:
03 พ.ย.2006, 12:06 am |
  |
จะทำอะไรก็ตามเถิด ให้ยึดทางสายกลางไว้เป็นพอ จะทำงานใหญ่งานเล็ก จะนั่งสมาธิภาวนา จะเทศน์จะบรรยายธรรม ก็ควรเดินตามทางสายกลาง เพราะทางสายกลางนำไปสู่ความสุขใจ ที่มันทุกข์ใจวุ่นวายใจจะเป็นบ้ากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะทำอะไรเกินตัว อย่างงานบางอย่างมันเกินความสามารถของตนก็ไม่ต้องทำเพราะมันเกินความสามารถของเรา รู้จักประมาณตน รู้จักฐานะของตนนั้นแหละคือทางสายกลาง เราพูดกันแต่ปากว่าทำอะไรให้ยึดสายกลางไว้ ดึงไปมันก็ขาด หย่อนไปมันก็ดีดไม่ดัง แต่ไม่ได้พากันปฏิบัติให้มันเป็นบุญเป็นคุณขึ้นมา ในครอบครัวก็เหมือนกันทำอะไรก็ให้ยึดสายกลางไว้ ถ้าตึงเกินไปคนในบ้านก็ปั่นป่วน หย่อนเกินไปก็เหลิงได้ใจ ธรรมข้อนี้ช่วยแก้ปัญหาได้ |
|
|
|
  |
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |