ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
โดม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 ต.ค.2005, 11:03 pm |
  |
สวัสดีครับคุณนาที่นับถือ
ดูสิ...ผมเพิ่งรู้ว่าเรือนธรรมมีเว็บไซต์สำหรับติดต่อ
ผมจึงขออนุญาตทำลิงค์เพื่อที่จะได้แวะเวียนเข้ามาติดตามข่าวสารบ่อยๆ
ยังคิดถึงเรือนธรรมอยู่เสมอ
แต่ว่าตอนนี้มาอยู่ต่างจังหวัด
ฝากกรkบสวัสดีพี่ขวัญและอาจารย์อนัตตาด้วยot8iy[
|
|
|
|
|
 |
โดม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 ต.ค.2005, 11:07 pm |
  |
ขอแก้คำผิดประโยคสุดท้ายต้องเขียนว่า
ฝากกราบสวัสดีพี่ขวัญและอาจารย์อนัตตาด้วยนะครับ |
|
|
|
|
 |
โดม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ต.ค.2005, 5:54 am |
  |
ถ้าใครว่างๆหรืออยากทำบุญก็เชิญเอาธรรมะไปฝากที่บล็อกผมบ้างนะครับ ? ส่วนผมก็จะแวะเวียนเข้ามาอ่านที่นี่บ่อยๆครับ
ผมเขียนบันทึกถึงลูกสาวทุกวันอยู่ที่ http://porpayia.bloggang.com
porpayia อ่านว่าพ่อพเยีย ครับ
อยู่คนเดียวห่างไกลครอยครัวอย่างนี้ก็ได้อาศัยฟังแผ่นซีดีของพรอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโชที่คุณวรรณาใจบุญกรุณาส่งมาให้นั่นแหละครับ
ชีวิตนี้ห่างธรรมะไม่ได้เลย ห่างทีไรทุกข์ทุกที
คิดถึงเรือนธรรม ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมนานแล้ว
|
|
|
|
|
 |
พี่นา เรือนธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ต.ค.2005, 9:18 pm |
  |
พี่โดมคะ
ยินดีต้อนรับค่ะ
จดหมายพ่อพเยีย อ่านแล้วค่ะ
ชอบมากเลยค่ะ (คิดถึงหลวงพ่อ)
นากราบพี่ขวัญ และอาจารย์อนัตตา( แทนพี่โดม)งามๆ แล้วนะคะ
อย่าเหงาเลยค่ะ ขณะที่นาคุยกับพี่โดม นาก็ฟังพระอาจารย์ปราโทย์เช่นกัน
:b15
จงมีสติรักษาจิต
นาเอง |
|
|
|
|
 |
โดม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 ต.ค.2005, 6:12 am |
  |
สวัสดีครับ พี่นา (ขอเรียกแบบนี้บ้างก็แล้วกัน)
ไม่รู้ใช้พื้นที่ตรงนี้สนทนาหรือพูดคุยกันได้หรือเปล่านะ
หรือหน้านี้เขาใช้เขียนแต่เรื่องธรรมะอย่างเดียว
ขอบคุณที่กรุณาจัดส่งซีดีมาให้ รอรับอยู่ด้วยความยินดี
อยู่คนเดียวอย่างนี้ไม่เหงาหรอกครับ กลับชอบ
แต่ทว่าใช่จะอยู่คนเดียวอย่างนี้ไปตลอด
เพราะมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ
แต่การได้ปลีกตัวมาใช้ชีวิตคนเดียวและทำงานอย่างนี้
ก็ได้มองเข้าไปในหัวใจตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น
นึกย้อนไปเมื่อสองปีที่ผ่านมาที่ผมเลิกละอบายมุขได้
ก็นึกถึงที่เรือนธรรมนั่นแหละครับ โดยเฉพาะพี่ขวัญก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย
เสมือนธรรมะจัดสรรดลบันดาลให้ได้ไปพบในจังหวะเวลาที่เหมาะที่ควร
เวลาเพื่อนถามว่าทำไมถึงเลิกอบายมุขซึ่งเคยเป็นของโปรดมาก่อนได้
ผมก็จะต้องเล่าย้อนไปถึงครั้งแรกที่ไปเข้าคอร์สครั้งแรกที่เรือนธรรม
ตั้งแต่กับอาจารย์ปิยะนารถ อาจารย์รุงโรจน์ ต่อมาก็พระอาจารย์มานพ อุปสโม
และอีกทั้งได้ไปนั่งเรียนบ้างนั่งโงกกับอาจารย์อนัตตาบ้างในบางคราว
ได้เข้าไปอ่านหนังสือ ได้แวะเวียนเข้าไปใต้ร่มเรือนธรรมแห่งนั้นบ่อยและนานพอสมควร สำหรับตัวผม (หมายถึงไม่เคยไปเรียนธรรมะนานๆอย่างนี้ นอกจากอ่านหนังสือเอง)
ถือว่าเสมือนเป็นแรงผลักแรกที่ผลักให้ผมห่างจากอบายมุข
จนถึงวันนี้ก็ได้เล็งเห็นโทษชัดแจ้งในสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำมา
นั่นคือการดื่มเหล้าอย่างรักและหลงใหลในรสความึนเมาของมัน
เห็นโทษจึงเลิกได้...ไงละครับ !
ได้ข่าวว่าคุณประทีป บรรณาธิการนิตยสารแรงบุญแรงกรรมก็เลิกเหล้าบุหรี่แล้วหรือไร
ขออนุโมทนาสาธุด้วยจริงๆ
เมื่อคืนไปอ่านสัมภาษณ์คอลัมนิสต์คนหนึ่ง ก็รู้จักกันแต่ก็ไม่ถึงกับสนิทกับเขามาก
เขาเป็นคอลัมน์นิสต์ชื่อดังเขียนงานมีงานเขียนประจำในนิตยสารชั้นนำหลายเล่ม
เขาประสบความเร็จและมีชื่อเสียงพอสมควร
ประการสำคัญงานเขียนของเขาทุกชิ้นจัดว่ามีคุณภาพ
ต้องนับว่าเขาเป็นคนที่มีศักยภาพสูงทีเดียว
เป็นคนที่เขียนหนังสือดี มีความคิดดีๆอยู่ในงานเขียนเสมอ
พูดง่ายๆว่าเป็น "มืออาชีพ" นั่นแหละครับ
และเท่าที่พอจะรู้จักกับเขาและติดตามงานเขียนของเขาอยู่เป็นประจำ
เขาเป็นคนที่มีทัศนะที่มีต่อโลกและชีวิตดีทีเดียว
คือมองชีวิตเป็นและมีแง่คิดมุมมองให้คิดต่างอย่างสร้างสรรค์ในหลายๆเรื่อง
แต่ในบทสัมภาษณ์เขาบอกว่าสูบบุหรี่จัดมาก
วันหนึ่งมากกว่าหนึ่งซองแหละครับ
วันนี้...ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทหรือเป็นคนรักของเขาแล้วละก็...
คงต้องขอร้องให้เขาเบาๆลงบ้างหรือเลิกบุหรี่เถอะ!
แต่นี่ผมไม่ได้สนิทกับเขา ได้แต่ชื่นชมและปรารถนาดีอยู่ห่างๆ
ไม่กล้าบอกเขาหรอก...
เพราะรู้ดีว่าการบอกให้ใครเลิกบุหรี่นั้นเป็นเรื่องยากถึงขั้นยากที่สุด
ได้แต่นึกคิดอยู่ในว่าวันหนึ่งวันใดถ้าเขาเห็นโทษมันเขาก็คงเลิกได้เอง
เพราะบุหรี่ผมก็เคยติดมา มากกว่าบุหรี่ก็เคย
เมื่อเลิกได้แล้วก็เห็นโทษจากการสูบบุหรี่ และรู้สึกเป็นไทรู้สึกเบาสบายอย่างแท้จริง
แต่ตอนที่ผมยังสูบอยู่นั้น ใครอย่ามาพูดซะให้ยาก น่ารำคาญ
โดยที่จะพูดอยู่ในใจว่า "รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาบอก"
ผมขอยกคำสอนหลวงพ่อชาเรื่อง "ถ้าเห็นโทษมันก็เลิกได้" มาไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน มาเตือนใจว่า สิ่งที่ยังเลิกไม่ได้นั้นก็เพราะยังไม่เห็นโทษ สำหรับผมว่าไม่ใช่มีแต่เรื่องเหล้าบุหรี่เพียงอย่างเดียวหรอก ในชีวิตเราคงยังมีอย่างอื่นๆอีกที่ยังไม่เห็นโทษและยังเลิกละไม่ได้ (ก็ผมยังไม่เลิกกาแฟเลยนี่)
ถ้าเห็นโทษมันก็เลิกได้
“เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งไปสุ่มปลาในหนอง สุ่มไปถูกงูชนิดหนึ่งมันดิ้นขลุกขลักๆ กดสุ่มไว้ กลัวมันหนีออกมา คลำดูในน้ำตัวมันยาวๆเหมือนงู จะทิ้งก็คิดว่าเผื่อมันเป็นปลาไหล กำไว้ค่อยๆจับยกขึ้น คิดจะวางก็ไม่วาง เผื่อมันเป็นปลาไหล สงสัยอยู่นั่นแหละ งูหรือปลาไหลๆ ของมันอยู่ในน้ำ ไม่รู้ก็ยังทิ้งไม่ได้ จับยกขึ้นมาๆ พอพ้นน้ำเห็นลายชัดว่าเป็นอะไรเท่านั้นแหละ ทิ้งเลยไม่ต้องมีใครบอก ตัวเองก็ไม่ได้บอกด้วยซ้ำมันทิ้งเอง นี่คือมันเห็นโทษอย่างนั้น มันก็เลิก ถ้าเห็นโทษในสิ่งนั้น เราก็เลิกได้ นี่ยังไม่เห็นโทษของมัน เราก็เลยยังไม่เลิกสักที”
|
|
|
|
|
 |
|