Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 บทความแนะนำ 4 เมื่อดาวฤกษ์ดับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Bluesky
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ต.ค.2005, 4:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รถโดยสารของคริสจักรสมาคมพาย่ามาส่งที่บ้าน พ่อเห็นเข้าก็รีบบอกให้ลูกออกไปรับ พ่อมองลอดม่านหน้าต่างก็เห็นลูกรออยู่ที่ประตูรถ ยืนดูผู้เฒ่าอายุเเปดสิบเดินกระย่องกระแย่งมาจากรถคันใหญ่ ไม่ขึ้นไปช่วยพยุงตั้งแต่บนรถ แย่จริงๆ! ตอนนั้นพ่อหงุดหงิดมาก ถ้าทำแบบนี้พ่อจะเรียกให้ลูกไปรับย่าเพื่ออะไรล่ะ

หลายวันมานี้พ่อพยายามระงับความไม่พอใจแล้วขบคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อค้นหาคำตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ในที่สุดก็พบคำตอบจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ และพบว่าแม้แต่ตัวพ่อเองทุกวันนี้ก็อาจทำผิดพลาดแบบเดียวกับลูกได้ "ผู้ยิ่งใหญ่ล่วงลับ - ไว้อาลัยคุณเหลียงสือชิว ปรมาจารย์ด้านวรรณกรรม"

ตอนเช้าวันนั้นพ่อตกใจมากเมื่อเห็นข้อความนี้ในพาดหัวข่าวสีดำขนาดใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้เพราะอาจารย์เหลียงสือชิวเป็นคนที่ครอบครัวเรารู้จักเป็นอย่างดี พ่อได้แง่คิดในการทำงานจากท่านมาก เป็นปราชญ์ที่พ่อนับถือมากที่สุด พ่อเคยพูดกับเพื่อนว่า"คนแบบอาจารย์เหลียงสือชิวถึงจะเรียกว่าเก่งจริง เพราะท่านอยู่แนวหน้าของวงการตั้งแต่ยังหนุ่ม แล้วทุ่มเทมาตลอดชีวิตจนอายุแปดสิบกว่าก็ยังเขียนหนังสืออยู่ คนบางคนเป็นเหมือนดาวตกผ่านมาวูบเดียวก็หายลับ บางคนเป็นเหมือนดาวหางนานๆจะปรากฏตัวสักครั้ง แต่อาจารย์เหลียงเหมือนดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างไม่มีวันดับ"

แต่ดาวฤกษ์ก็ยังมีวันดับ แม้ท่านจะเป็นคนหนักแน่น เห็นว่า "คนตายคล้ายกับเทียนดับ" "ตายแล้วเน่าเปื่อยไป ไยจัดงานเพื่อหน้าตา" แต่ทว่าในวาระสุดท้ายก่อนจะจากไป ท่านก็ยังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย

คุณชิวเหยียนหมิงได้เขียนบันทึกเล่าถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์ บอกว่าก่อนจากไปอาจารย์เขียนโน้ตไว้ว่า " ช่วยด้วย" และยังร้องตะโกนว่า "จะตายแล้ว" "ขอออกซิเจนมากหน่อย" อ่านถึงตรงนี้พ่อรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาทันที ไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่เป็นคำพูดของนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ ท่านเห็นชีวิตและความตายเป็นเรื่องเบาเหมือนปุยเมฆไม่ใช่เหรือ พ่อถึงกับหงุดหงิดและนึกโทษที่ท่านไม่หนักแน่นพอ ที่จริงถ้าจะว่าไปแล้วพ่อโมโหที่ท่านทำลายภาพของอาจารย์เหลียงสือชิวที่อยู่ในใจพ่อ อาจารย์เหลียงสือชิวที่ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันยุติการสร้างผลงาน

แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องแก่ แม้แต่วีรบุรษที่ไม่มีวันดับผู้อยู่กลางใจของผู้คนนับล้านก็ยังเป็นเช่นลูกศรที่ยิงออกไป ไม่ว่าจะห้าวหาญเพียงใดไม่ว่ายามพุ่งออกไปจะส่งเสียงหวีดดังแค่ไหน แต่ต้องมีสักวันหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมา คนที่เคยชื่นชมอาจจะเกิดความรู้สึกผิดหวังในตอนแรก แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงที่ต้องเป็นไป

เช่นเดียวกัน พ่อรู้ว่าย่าที่เคยเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ยังเล็ก ในความคิดของลูก แม้ย่าจะอายุแปดสิบแล้ว แต่ย่าก็ยังเป็นยอดคุณย่าเหมือนเมื่อก่อน ถึงแม้เมื่อก่อนนี้ลูกจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ย่าอุ้มไปพร้อมกับทำกับข้าวไป แต่ตอนนี้ลูกสูงกว่าย่าถึงสองช่วงหัวแล้ว ในใจย่ายังเห็นลูกเป็นเด็ก และในใจลูกก็ยังเห็นย่าเป็นยอดคุณย่าที่ชูลูกขึ้นมาเหนือหัวได้

ปัญหาก็คือว่าทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจผิด ก็เหมือนกับที่พ่อไม่อาจยอมรับความจริง แม้ว่าอาจารย์เหลียงสือชิวจะจากโลกไปแล้วก็ตาม เราควรปรับความคิดของตนเอง แม้ว่าจะทำให้เจ็บปวดบ้าง เราต้องทำลายภาพของวีรบุรษที่อยู่ในความคิดออกไป ไม่อย่างนั้นแล้วโลกนี้จะมีสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่สิ่งเก่าได้อย่างไร

ลูกรัก สักวันหนึ่งลูกจะรู้ว่าพ่อที่เคยวิ่งนำหน้าลูกเสมอ พ่อที่เพื่อนๆของลูกเรียกว่ามนุษย์หุ่นยนต์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สักวันหนึ่งพ่ออาจจะเหนื่อยหอบอยู่ข้างหลังลูก สักวันหนึ่งลูกจะเห็นว่าคนอื่นคอยจับตามองที่ลูก ไม่ได้จับตามองที่พ่อแม่อีกต่อไป สักวันหนึ่งลูกจะเห็นว่าฝ่ามือหยาบกร้านที่เคยจูงลูกกลับยื่นออกมาอย่างอ่อนล้าสั่นเทา ร้องขอให้ลูกช่วยพยุง สักวันหนึ่งคนที่ไม่มีวันแก่ในสายตาลูกอาจจะเขียนตัวหนังสือคำสุดท้ายที่โย้เย้อ่านแทบไม่ออกว่า "ช่วยด้วย" ลูกเอ๋ย พยุงย่าของเจ้าหน่อย เวลาออกไปข้างนอกก็ช่วยย่าดูทางด้วย คอยระวังย่าจะสะดุดหิน ช่วยเปิดประตูที่หนักอึ้งให้แล้วบอกว่า "ระวังประตูหนีบมือนะ ไม่ลืมอะไรแล้วนะ" เหมือนกับที่ย่าเคยพูดกับลูกเมื่อก่อนโน้น

อย่างนี้จึงจะนับว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แล้วย่าจึงจะจากไปอย่างสบายใจ เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ในใจลูกเป็นจิตวิญญาณที่ไม่มีวันสลาย ไม่ใช่สังขารที่กำลังจะดับ
 
สังเวียน คำรุณ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ต.ค.2005, 6:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตั้งใจสะสมบุญบารมีด้วยการสวดมนต์ไหว้พระทุกวันใส่บาตรหน้าพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชาทุกวัน สะสมบุญบารมีไว้ชำระบาปวันสุดท้าย และเผื่อสะสมบุญไว้ใช้ในชาติหน้า ทำได้อย่างนี้ก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้ตลอดไป ชีวิตดับความดีไม่ดับ ความชั่วดับชีวิตดับอนาคตดับมือสนิททั้งตนเองครอบครัวลูกหลานไม่พบหนทางหลุดพ้นได้เลยหากไม่สะสมบุญบารมีเสียตั้งแต่วันนี้ร่วมใจกันสร้างบุญกุศลด้วยการสวดมนต์ไหว้พระกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลด้วยเงินสดหน้าพระพุทธรูปทุกวันเมื่อครบ ๓ เดือนนำเงินนำบุญกุศลนั้นไปฝากธนาคารที่ใกล้บ้านที่สุดทำได้อย่างนี้ชีวิตจะมีแต่ความสุขความเจริญชั่วนิรันดร
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง