ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
kia
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 02 ต.ค. 2005
ตอบ: 29
|
ตอบเมื่อ:
06 ต.ค.2005, 10:23 am |
  |
ผมมีข้อสงสัยเรื่องการกวดน้ำครับ
1.เมื่อเราทำบุญแล้ว เราต้องกวดน้ำให้ผู้ที่ต้องการอุทิศทุกครั่งหรือไม่ หากไม่กวดน้ำผู้ที่เราอุทิศให้จะได้รับผลบุญหรือไม่
2.การอุทศส่วนบุญส่วนกุศลให้ทำเพียงตั้งจิตอธิธานผลบุญจะถึงผู้ที่เราอุทิศให้ได้หรือไม่
(โดยไม่มีการกวดน้ำ)
3.หากลืมกวดน้ำในวันที่ทำบุญ จะกลับมากวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลย่อนหลังได้หรือไม่
** ทั้งหมดเป็นความสงสัยของผมมานานมากแล้ว ท่านผู้รู้โปรดเมตตาให้ความรู้ความเข้าใจให้กับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ
 |
|
_________________ สวัสดีทุกท่านครับ |
|
   |
 |
ดอกหญ้า
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 ต.ค.2005, 3:56 pm |
  |
กรวดน้ำ
หลวงพ่อ:
น้ำไม่ต้องไปกรวดมันหรอก กรวดน้ำทำยังไง? ก็ต้องไปดู ดูว่าน้ำในถังมันเหลือเท่าไหร่ ในคลองมันแห้ง ลาไปหรือมากขึ้นมา อย่างนั้นกระมัง เพราะสำรวจกับตรวจ มันศัพท์เดียวกัน xxx "กรวด" ก็ไม่ถูกอีกน่ะแหละ สำนวนทางศาสนาเขาเรียก "อุทิศ" แปลว่า เจาะจง คือ ไม่เห็นต้องใช้น้ำ การ "กรวดน้ำ" มันเริ่มสมัยเปรต มาทวงขอบุญกุศล จากพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธเจ้า ทรงบอกวิธีทำให้ว่า ให้พระองค์ ถวายภัตตาหาร กับพระสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ซี ท่านก็ทำแบบนั้น อีตอนอุทิศส่วนกุศล ท่านเป็นคนมาจาก พราหมณ์ ที่มีธรรมเนียมว่า จะให้ของใคร ก็ต้องเอาน้ำราดมือผู้รับ แสดงเป็นอาการว่า ยกให้ ท่านก็เอาน้ำในคนโท เทราดพระหัตถ์พระพุทธเจ้า เลยรับกันต่อๆ มาว่า อุทิศส่วนกุศลต้องราดน้ำด้วย
อุทิศ นี่แปลว่า เจาะจง เราทำบุญเจาะจงไปให้ ถ้าไปใช้น้ำก็เจ๊ง เพราะใจมัวเป็นห่วงน้ำ ห่วงมือ ใจก็แกว่ง ใช้ไม่ได้หรอก เสียผลตั้งเยอะ เคยเห็นผีมาหลายรายแล้ว ที่มารับส่วนกุศล แต่ไม่ได้กิน บางครั้งเวลาทำบุญนะ คนที่นำอุทิศส่วนกุศลน่ะ มันให้แต่ เฉพาะญาติ พวกที่ไม่ใช่ญาติ ก็เดินร้องไห้ไปเลย น้ำตาไหล เพราะไม่ใช่ญาติ ไม่มีโอกาส นี่เป็นยังงี้ เป็นผีแล้วมันแย่งกันกินไม่ได้
ทีหลังไม่ต้อง "กรวดน้ำ" นะ ตั้งใจเฉยๆ มีผลกว่าตั้งเยอะ ฉันไม่ใช้เลยแหละ แล้วเวลาอุทิศส่วนกุศลจริงๆ นี่ใช้ภาษาบาลีไม่ดีหรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะบางทีxxxภาษาบาลีนี่ มันไม่ตรงกับเจตนาที่จะให้
อย่างฉันเจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อปานนี่ คืนที่ 3 มีผีมานั่งอยู่ตรงหน้า ยายคนหนึ่งอ้วนยังกะพ้อม มีxxxเจ้าคนหนึ่งผอมกะหงองก๋อง ยายนั่นแกบอก เอ้า จะพูดอะไรก็พูดซี จะขออะไรท่านก็ขอ xxxเราก็มองดู เอ...xxxนี่ มันคงอด อาจารย์ฉัตรท่านเคยบอกว่า ถ้าไม่ขอก็อย่าให้ แต่มานึกดูว่า เอ๊ xxxนี่มันพูดไม่ได้เราจะไปรอให้ มันขอทำไม ก็เลยให้เวลาให้ก็ "อิมินา" เข้าให้ อิมินาปุญญกุเม อุปัชฌาย์ ฯลฯ แปลไปเถอะไม่ได้ ตรงกับหมอนั่นเลย ไปให้เอาครูอาจารย์ ที่ไหนก็ไม่รู้ xxxคนนั่งตรงหน้า ไม่ได้ให้ ว่าไปไม่ถึงครึ่ง พวกมาแล้วโซ่คล้องคอหมับ ลากไปเลย
ตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมา ก็ฉันข้าว หลวงพ่อปาน โดยปกติสังเกตได้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะพูด ฉันข้าวเสร็จ ท่านต้องเช็ดบาตร เช็ดช้อน เช็ดชามของท่าน พระอื่น ก็ต้องทำเหมือนกัน แล้วข้าวแกง ที่กินหมด แล้วก็ไม่ใช่โยนให้เด็กล้าง พระต้องล้างเองเช็ดเอง เช็ดถ้วยเช็ดชามเสร็จ ท่านก็จะยถาทันที วันไหนเช็ดชามเสร็จยังไม่ยถา วันนั้นแปลว่า มีเรื่องแล้ว อีวันนั้น มองไปมองมา พอเจอะหน้ากัน ท่านก็พยักหน้าถามว่า
ยังไงพ่ออิมินาคล่อง แล้วมันจะได้xxxรึ?
แล้วกัน เอาเราเข้าแล้ว รู้เสียด้วยนะ ท่านอยู่ในกุฏิเราอยู่ใน ป่าช้า โกหกท่านไม่ได้ ผีพวกนั้นน่ะมันไปเร็วมาเร็ว ต้องใช้เวลาเร็วๆ ถามว่า ทำยังไง ท่านบอกว่า เอางี้ พอเห็นหน้ามันปั๊บ ก็ตั้งใจเลยว่า
ฉันบำเพ็ญกุศลมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ บุญบารมีจะมีแก่ฉันเพียงใด เธอจงโมทนาและมีประโยชน์อย่างเดียวกับที่ฉันจะพึงได้รับ
เอาแค่นี้ อย่าให้ยาวกว่านี้ ถ้าสั้นกว่านี้ได้เท่าไรยิ่งดี เพราะว่า มันคอยนานไม่ได้
ถาม - คนไปนิพพานแล้วอุทิศให้ได้หรือไม่?
ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเราก็ควรอุทิศให้ได้ เพราะเป็นการสนองคุณ แสดงความกตัญญูกตเวที ความจริง ท่านไม่ต้องการหรอก ของท่านมีจนล้นแล้ว ถึงแม้ท่านจะไม่รับ แต่อย่าลืม อย่างเราเป็นพ่อแม่เขาน่ะ ถ้าxxxลูกมันอยู่บ้านไกล นานๆ มาหาที เอาของอะไรมาให้ ถึงแม้ว่าของนั้นไม่มีค่าอะไรเราก็ยังดีใจ ใช่ไหม เห็นว่า ลูกน่ะมีน้ำใจ มีกตัญญูรู้คุณ อันนี้ ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่า เราอุทิศส่วนกุศลให้พระพุทธเจ้า ก็แสดงว่า เรากตัญญูรู้คุณของพระพุทธเจ้า การบูชาคุณของพระพุทธเจ้าด้วยกตัญญูรู้คุณนี่
เป็นเหตุให้เราไม่ลงนรก ท่านจะรับหรือไม่รับนี่ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า ให้ใจของเราตามระลึกถึงอยู่เสมอก็แล้วกัน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัอท่าซุง อุทัยธานี |
|
|
|
|
 |
kia
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 ต.ค.2005, 12:43 pm |
  |
|
|
 |
kia
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 02 ต.ค. 2005
ตอบ: 29
|
ตอบเมื่อ:
07 ต.ค.2005, 1:58 pm |
  |
|
   |
 |
ปิงปอง ม.ราม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2005, 8:33 pm |
  |
การกรวดน้ำเป็นบุญอย่างหนึ่งเรียกว่า ปัตติทานะ เป็นการอุทิศบุญที่เราทำให้แก่ผ้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เขาจะได้รับหรือไม่ขึ้นอยู่ว่าเขานั้นอยู่ในภพภูมิไหนเช่น ถ้าเขาไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ ก็จะรับไม่ได้ ต้องเกิดเป็นเปรตประเภทหนึ่งถึงจะรับได้(ชื่อประเภทผมจำไม่ได้) ถ้าคุณนั่งสมาธิหรือเจริญสติภาวนาแล้วนึกถึงบุญที่ได้กระทำแล้วตั้งใจมอบให้เขาเช่น เจ้ากรรมนายเวร ญาติทั้งหลาย(ไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำ)ซึ่งถ้าเขาได้รับเนี่ยใจของเราจะเกิดปีติสุขขึ้นมาทันที เหมือนเราฮัลโหลไป แล้วเขาตอบรับกลับมา |
|
|
|
|
 |
วิษณุ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 05 ก.ย. 2005
ตอบ: 12
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2005, 6:53 pm |
  |
วิธีอุทิศบุญตามแนวหลวงปู่เกษม อาจิณสีโล วัดป่าสามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาจนรู้เห็นในสิ่งที่ "ผู้ไม่รู้แต่ไม่เชื่อและไม่พยายามที่จะหาวิธีเพื่อรู้หรือพิสูจน์จนรู้" ต่างก็ออกมาตำหนิท่านว่าอวดอุตริ
ท่านฟันธงว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีเทวดาประจำตัวทำหน้าที่ปกปักรักษา ตั้งแต่หนึ่งองค์ขึ้นไป(บางคนมีมาก บางคนมีน้อยแล้วแต่วาสนา) แม้แต่สิ่งของท่านก็ว่ามีเทวดารักษาและในขณะเดียวกันสิ่งของก็มีผีอยู่เช่นกันเพราะสิ่งของที่เกิดขึ้นเกิดจากกระบวนการผลิตที่สิ่งเหล่านี้อาศัยอยู่เดิมในวัตถุดิบที่นำมาผลิตนั้นหรือเกิดขึ้นระหว่างเช่นตัดไม้ไม่ล้มทับมดตาย มดมีจิตอาฆาต จิดได้มาผูกติดกับไม้นั้นเป็นต้น
ท่านกล่าวว่าเทวดาเหล่านี้เป็นเทวดาที่ยังภูมิไม่สูง จึงอยู่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด
ท่านกล่าวว่าอย่าไปคิดว่าเทวดาจะเก่งเท่ากัน จะมีฤทธิ์เท่ากันเสมอไป
ท่านกล่าวว่าเราทุกคนมีญาติที่อยู่ในโลกทิพย์ทั้งนั้น
ท่านกล่าวว่าเจ้ากรรมนายเวรขอเรามีมากก็จริงแต่ที่กำลังส่งผลในปัจจุบันแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
ท่านกล่าวว่าเราทุกคนมีบุญสะสมไว้แล้วมากมายคล้าย ๆ การฝากธนาคาร
การทำบุญแต่ละครั้งบุญที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นทันทีในขณะที่ทำนั้นแล้วแวบไปอยู่ที่ๆ อนุมานว่าเป็นธนาคารนั้นในทันที
การอุทิศบุญ
ท่านกล่าวว่าการอุทิศให้สัพพสัตว์ทั้งหล้าย(ต้องออกเสียงสูงหน่อยและหลากเสียงยาว ๆ) ท่านว่าได้ผลน้อยเพราะว่าสิ่งที่เราอุทิศให้นั้นมันน้อยเกินไปกับส่วนแบ่งจำนวนมาก ตัวหารมากส่วนแบ่งก็น้อยนั่นเองท่านแนะว่าอุทิศให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราก็พอ(ท่านไม่ใช่นิสัยโพธิสัตว์นะและผู้นิสัยโพธิสัตว์ก็อาจไม่ชอบใจก็ได้เพียงแต่นำมาเล่าให้ฟังเฉยๆ) มิหนำซ้ำพวกภูมิที่สูง ๆ มีอำนาจมากต่างได้เห็นบุญเหล่านี้ก่อนและอนุโมธนารับไปก่อน พวกที่อ่อนเปลี่ยเพลียแรงอยู่แล้วก็รับไม่ทัน (บุญที่อุทิศให้นี้ไม่ใช้จะเห็นพร้อมกันหมดทีเดียวขึ้นกับความสามารถด้วยดังในบาลีบทที่เกี่ยวกับการอุทิศบุญยังกล่าวเลยว่า "ถ้าสัตว์เหล่าใดรับรู้ส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้อุทิศนี้แล้ว จงอนุโมทนาเองเถิด ถ้าสัตว์เหล่าใดยังไม่รับรู้ขอเทวดาทั้งหลายจงบอกให้รู้ด้วยและจงอนุโมธนาเองเถิด" นั่นแสดงว่าผู้ที่จะรับบุญนั้น ความสามารถก็ไม่เท่ากัน)
ดังนั้นท่านแนะว่าจะอุทิศให้ใครก็ควรระบุไปเลย เช่นให้พ่อ แม่ ที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนี้เป็นต้น ถ้าจะให้พ่อแม่ที่ยังมีชิวิตอยู่ท่านก็ได้รับเหมือนกันแต่จะยังเสวยผลแห่งบุญนั้นไม่ได้เพราะบุญเหล่านั้นเมื่อกลายเป็นของท่านแล้วจากที่เราอุทิศให้จะเข้าไปเก็บในธนาคารของท่าน ท่านก็จะยังยากจนเหมือนเดิมเพราะเป็นผลของกรรมเก่า เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ได้ผลในปัจจุบันท่านแนะว่าให้อุทิศให้เทวดาผู้ดูแลรักษาพ่อแม่ดีกว่า เพราะเมื่อเทวดาผู้มีหน้าที่ดูแลรักษามีฤทธิ์ขึ้นแล้วก็จะได้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น
แหล่งของบุญที่จะอุทิศท่านว่าในขณะจิตที่บุญนั้นเกิดให้เราส่งบุญทันทีเพราะบุญนั้นเกิดทันทีและแวบไปอยู่ในที่อันควรทันทีเช่นกันถ้าเราไม่อุทิศก่อน ดังนั้นการมากรวดน้ำทีหลังมักไม่ค่อยถึงผู้รับ อุปมาภาษากฏหมายท่านว่ากรรมมันขาดไปแล้ว มันสำเร็จไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ทำ เช่น ถวายของพระปุ๊บ ทันทีที่ของหลุดจากมือให้ส่งเลยว่า "บุญนี้ให้พ่อข้าพเจ้าที่ตายไปแล้ว" เป็นต้น นึกเป็นภาษาเรานี้แหละ เพราะเป็นภาษาบ้านเรา เข้าใจได้ จริง ๆ แล้วมันสำคัญที่ภาษาใจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น บาลีก็ดี หรือภาษาอื่นใดล้วนเป็นของสมมุติต่างหาก ภาษาใจจึงเป็นภาษาสากล
หรือ อาจเบิกบุญจากธนาคารมาให้ก็ได้เพราะมันเป็นของเรา ๆ มีสิทธิ์ แต่ไม่ใช่จู่ๆจะเอาเลยไม่ได้เพราะกำลังเราไม่พอต้องอาศัยกำลังผู้อื่นซึ่งหนีไม่พ้นพระพุทธเจ้า ท่านให้ทำดังนี้
"สาธุ พุทธัง ธัมมัง สังฆังนมัสสามิ ข้าพระเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอถึงอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในกาลบัดนี้ บุญใดของข้าพเจ้าที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วสะสมไว้แล้วก็ดี ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบรรดาลให้บุญของข้าพเจ้านั้นจงถึงแก่ ............. ด้วยเทอญ" ท่าทำแบบหลังนี้ทำได้เรื่อย ๆ เพราะแค่อธิฐานเรา (เราแต่ละคนมีบุญสะสมไว้มากมายเพราะถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้)
ถ้าไม่รู้จะอุทิศให้ใครท่านแนะว่าให้เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเราก็พอ ไม่ต้องทั้งหล้าย!!
ดังนี้
1.เทวดาประจำตัวของเรา
2.เทวดาประบ้านเรือนเครื่องใช้ในบ้าน
3.เจ้ากรรมนายเวรที่กำลังก่อกวนข้าพเจ้าอยู่และที่กำลังจะมาถึง
4.ให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
อย่างนี้เป็นต้น
เชื่อไว้มีแต่กำไรกับเสมอตัว ถ้าไม่เชื่อมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน
หวังว่าจะได้สาระบ้างในผู้หวังสาระทั้งหลายนะครับ |
|
|
|
   |
 |
kia
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 02 ต.ค. 2005
ตอบ: 29
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2005, 12:07 pm |
  |
ท่านวิษณุเขียนได้ดีมาก ขอบคุณครับ  |
|
|
|
   |
 |
การะเกด
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ต.ค.2005, 3:06 pm |
  |
ท่านวิษณุให้ความรู้ที่ดีมากคะ  |
|
|
|
|
 |
|