ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ข้องใจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ย. 2005, 2:44 pm |
  |
ขอให้ผู้มีความรู้ช่วยบตอบหน่อยครับ  |
|
|
|
|
 |
วิษณุ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 05 ก.ย. 2005
ตอบ: 12
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ย. 2005, 7:15 pm |
  |
เป้าประสงค์ของพระพุทธศาสนาคือการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก คือไม่กลับมารับทุกข์ซ้ำซาก
กลยุทธ์คือทำอวิชชาให้แจ้ง เมื่อรู้ทันแล้ว จึงไม่ถูกครอบงำด้วยตันหาอุปาทาน จึงไม่มีเหตุนำให้มาเกิดอีก
แผนปฏิบัติคือดำเนินตามมรรค อันมี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
ทำทานให้เป็นปกติ
รักษาศีลให้บริสุทธิ์เป็นปกติ
เพียรทำจิตให้เป็นสมาธิ (ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิจะเกิดยาก)
ใช้กำลังของสมาธิพิจารณาสภาวะธรรมทั้งหลายจนเกิดปัญญารู้แจ้ง แล้วจะหายสงสัย
สรุปอีกทีว่า
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง (รักษาศีล)
กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม (เริ่มจากทาน)
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การทำจิตให้ขาวรอบ (ทำสมาธิ ใช้สมาธิพิจารณาให้เกิดปัญญา)
เอตัง พุทธนะสาสะนัง นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ดังนี้แล |
|
|
|
   |
 |
auteacher
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 13 ก.ย. 2005
ตอบ: 2
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ย. 2005, 12:10 am |
  |
เพิ่มเติมของพี่วิษณุนะครับ
ทำอย่างที่พี่วิษณุกล่าวมา แล้วอธิษฐานเพื่อมรรค ผล นิพพาน
บำเพ็ญบารมี10ให้สมบูรณ์ จะทำให้ละสังโยชน์ทั้ง10 ข้อได้
เมื่อละสังโยชน์ได้ทั้ง 10 ข้อเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกคับ
*บารมี10
1. ทานบารมี 2. ศีลบารมี 3.เนกขัมมะบารมี 4. ปัญญาบารมี 5. วิริยะบารมี
6.ขันติบารมี 7.สัจจะบารมี 8.อธิษฐานบารมี 9. เมตตาบารมี 10.อุเบกขาบารมี
*สังโยชน์10
1. สังกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3.สีลัพพตปรามาส 4.กามราคะ 5. ปฏิฆะ
6.รูปราคะ 7.อรูปราคะ 8.มานะ 9.อุทธัจจะ 10.อวิชชา
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.praruttanatri.com |
|
|
|
    |
 |
อีกด้านของนางมารร้าย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ย. 2005, 11:21 am |
  |
ทุกศาสนามีวิธีการที่จะทำให้บรรลุสูงสุดของตน พุทธศาสนามีวิธีอย่างไร
ศาสนาพารห์ม ฮินดู มีจุดมุงหมายสูงสุดคือเข้าไปรวมกลับพรหม
ศาสนาคริสต์มีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือดินแดนของพระผู้เป็นเจ้า คือสวรรค์
ในทางพระพุทธศาสนานั้น จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือ นิพพาน การดับสนิทของกิเลส ไม่มีเชื้อเหลือให้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏสงสารนี้อีก
เมื่อพิจรณาตามหลักปฏิจสมุปบาทแล้ว ต้นตอของวัฏสงสารทั้งปวงคือ อวิชชา เมื่อมีอวิชชาครอบงำแล้ว ทุกอย่างก็จะตามมาเป็นทอด ๆๆ แต่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สวกทั้งหลายนั้นได้ทำลายอวิชชา คือความไม่รู้ให้สิ้นจากกิเลสทั้งหลาย |
|
|
|
|
 |
ใฝ่ธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ย. 2005, 10:12 pm |
  |
ทำไมยากจังเลย แบบนี้คงไม่มีใครบรรลุถึงจุดสูงสุดแน่ นอกจากพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ย. 2005, 1:49 am |
  |
ความเพียรไม่พอ ความตั้งมั่นไม่มี ความเคยชินเนื่องมาจากความทะยานอยากที่ต้องการให้ได้รับผลอย่างรวดเร็ว ทำให้สิ่งที่ควรพิจารณาและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง กลายเป็นเรื่องยากลำบากไป
วิธีการปฏิบัติให้บรรลุสูงสุดในทุกศาสนา พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติไว้แล้ว แต่ไม่สนใจกันเอง ไปสร้างไปปรุงไปแต่งจนละเลยวิธีปฏิบัติตามธรรมชาติที่เอื้ออำนวยให้มาอย่างน่าเสียดาย
ดังที่คุณวิษณุกล่าว...เป้าประสงค์ของพระพุทธศาสนาคือการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก คือไม่กลับมารับทุกข์ซ้ำซาก
กลยุทธ์คือทำอวิชชาให้แจ้ง เมื่อรู้ทันแล้ว จึงไม่ถูกครอบงำด้วยตันหาอุปาทาน จึงไม่มีเหตุนำให้มาเกิดอีก
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ย. 2005, 1:03 pm |
  |
ไม่ยากเกินไปหรอกครับ เพราะคุณถามถึงเป้าหมายสูงสุดเลย แต่พระพุทธศาสนาให้ประโยชน์กับเราอยู่ตลอดเวลาครับ เพราะในรายละเอียดจะมีเป้าหมาย 3 ระดับ คือ
1. เป้าหมายในชาตินี้ คือ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับตนเองในชาตินี้น่ะครับ ตรงนี้จะเหมือน เป้าหมายทั่วๆ ไปที่คนทั้งหลาย มีกันอยู่
วิธีการก็คือ ไม่เลว ใฝ่ดี มีความสามารถรอบตัว ครอบครัวไม่มีปัญหา เป็นกำลังพัฒนาสังคม
2. เป้าหมายข้ามภพข้ามชาติ พระพุทธศาสนาไม่มองแค่เป้าหมายในชาตินี้อย่างเดียว แต่ต้องเจริญรุ่งเรืองต่อๆ ไปในชาติหน้าด้วย ด้วยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
3. เมื่อเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป ก็จะไปถึงเป้าหมายสูงสุด คือ นิพพาน ได้ ก็ด้วยวิธีการเดียวกับข้อ 2 คือ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาน่ะครับ
หรือ คุณจะใช้เป็นหลักประจำวันใจง่ายๆ ก็ได้ว่า ทำวันดีให้ดีที่สุด (ด้วยทาน ศีล ภาวนา) แล้วพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่ดีของเราเอง เป็นไงง่ายขึ้นมั้ยครับ
|
|
|
|
|
 |
ฮ.
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2005, 1:36 pm |
  |
ปัญหาก็คือบรรลุจริงกับบรรลุปลอม |
|
|
|
|
 |
อีกด้านของนางมารร้าย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2005, 3:20 pm |
  |
คนบรรลุจริงเขาไม่ออกมาประกาศ ตัวเองหรอก
|
|
|
|
|
 |
วิษณุ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 05 ก.ย. 2005
ตอบ: 12
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2005, 11:43 pm |
  |
แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้บรรลุปลอม ? จึงได้ออกมาประกาศของปลอมอันเป็นการอวดโง่ของตนเอง
แสดงว่าพระอริยสงฆ์มหาสาวก / สาวกทั้งหลายบรรลุปลอม ? จึงได้ไปเรียนของปลอมจากผู้รู้ปลอม แล้วยังโง่เอาของปลอมออกมาสอนต่ออีก
ผู้รู้จะรู้ได้เฉพาะตน ถ้ายังสงสัยอยู่ว่าตัวเองนั้นรู้ของจริงหรือเปล่า แสดงว่ายังไม่รู้จริงอยู่
การพิสูจน์ความจริงที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าได้รับผลอย่างที่ท่านสอนหรือไม่
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการพิสูจน์ ไม่ได้ขอร้อง ไม่ได้บังคับให้เชื่อ
พระพุทธเจ้าอธิบายโอชารสของข้าวแล้วสอนวิธีปลูกข้าว ถ้าใครต้องการกินข้าวแล้วต้องปลูกเองตามวิธีที่ท่านทรงสอน เมื่อข้าวออกรวงยังจะสงสัยอันใดว่าเป็นข้าวจริงหรือปลอม |
|
|
|
   |
 |
นักเรียนธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ย. 2005, 4:57 pm |
  |
ทุกศาสนามีวิธีการที่จะทำให้บรรลุสูงสุดของตน พุทธศาสนามีวิธีอย่างไร ?
ทำไมคนเรามักจะพูดถึงแต่สิ่งสูงสุดและสิ่งที่ต่ำสุดเสมอนะ...ทั้งๆที่พุทธวิธีคือ..มัชฌิมาปฏิปทา....ข้อปฏิบัติตามความพอดีแห่งตน..ผู้ที่เข้าใจในมัชฌิมาก็จะเข้าถึงหนทางที่เรียกว่ามรรค....ทุกขั้นตอนดำเนินโดยธรรมชาติสภาวะไม่ได้วิเศษพิสดารเกินกว่าวิสัยมนุษย์ปกติจะทำได้เพียงแต่สามารถรักษาความสม่ำเสมอไว้ได้จนเป็นอุปนิสัยคือมีศีลธรรมเป็นอุปนิสัย...มีสมาธิเป็นอุปนิสัยและมีปัญญาไตร่ตรองเป็นอุปนิสัย...มีความไม่กระทบเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่นเป็นเกณฑ์ ก็เท่านั้นไม่ได้มากกว่านั้น พุทธศาสนาจึงมีวิธีบรรลุสูงสุดของตนเป็นรายวันรายปัจจุบันเพราะพุทธศาสนายอมรับว่าวิสัยโลกคือความเปลี่ยนแปลงและเมื่อมนุษย์หาความพอดีของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้มันก็เกิดทุกข์...และความต้องการดับทุกข์นี่แหละคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนานี้....ไม่ใช่....ไม่กลับมาเกิดอีกนั่นเป็นผลของการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง
|
|
|
|
|
 |
ถกๆเถียงๆ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ย. 2005, 5:21 pm |
  |
ก็ต้องเถียงกันอย่างนี้แหละ ปัญญาจึงเกิด และต้องปฏิบัติอีกต่อไป |
|
|
|
|
 |
|