Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ชีวิตไม่แน่นอน...คำสอนหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่งอมยิ้ม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2005, 7:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านสาธุชนทั้งหลายเอ๋ย

สุขภาพทางกายก็เป็นธรรมดาที่จะต้องร่วงโรยไปตามวัย

ไม่มียาอายุวัฒนะขนานใดช่วยได้จริงจัง

แต่สุขภาพทางจิตเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้เสมอ

หากเรามีพลังจิตที่สั่งสมด้วยการบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง

แม้กายจะชราจิตที่ทรงพลังก็จะทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

กายอาจเจ็บไข้ได้ป่วย

จิตที่เข้มแข็งย่อมทนต่อทุกขเวทนาไม่หวั่นไหวนัก

และวาระสุดท้ายที่กายจะล้มตายลง

จิตที่แช่มชื่นแจ่มใสย่อมยิ้มต้อนรับมัจจุราชได้ทันที

กุศลกรรมทำให้ลอย

บาปกรรมทำให้หล่น

โลกุตตระกุศลทำให้หลุด

แม้จะถ่อมตัวกลัวลอยก็ตาม

ความดีที่บำเพ็ญไว้เป็นต้องส่งเสริม

ให้ชีวิตสูงส่งอย่างแน่นอน

และแม้จะคุยโวโอ้อวดสักปานใด

หากมีอกุศลครอบงำก็ย่อมหนีความตกต่ำไปไม่พ้น

ส่วนผู้หนักทางจิตภาวนาชอบละชอบวาง

สักวันหนึ่งก็คงว่างจากตัวตนหลุดพ้น

จากทุกข์ทั้งปวงขึ้นมาได้ทันที



ญาติโยมทั้งหลายเอ๋ย

มีอริยทรัพย์แต่ขาดโลกียทรัพย์ ชีวิตไม่ยุ่งแต่ยาก

มีโลกียทรัพย์แต่ขาดอริยทรัพย์ ชีวิตไม่ยากแต่ยุ่ง

แต่ถ้าขาดทั้งอริยทรัพย์ขาดทั้งโลกียทรัพย์ ชีวิตทั้งยุ่งทั้งยาก

ก็แย่แน่นอนที่สุด

แต่ถ้ามีทั้งอริยทรัพย์มีทั้งโลกียทรัพย์ ชีวิตย่อมไม่ยุ่งไม่ยาก

ก็ยิ้มได้ทันที ณ บัดนี้



ญาติโยมทั้งหลายเอ๋ยโปรดพิจารณาตัวเอง

ในโลกไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่ามนุษย์

แต่ในมนุษย์ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าจิตใจของเรา

ในจิตใจไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าคุณธรรม

ถ้าจิตใจมนุษย์ไร้ซึ่งคุณธรรมเสียแล้ว

ความประเสริฐของมนุษย์ก็จะไร้ความหมายลงทันที



คงลืมไปว่ายังมีนิรามิสสุขที่พึงได้จนถึง

ในเมื่อรู้จักประมาณในการแสวงหาและใช้สอย

รู้จักพอ รู้จักประมาณการเป็นอยู่ ไม่รู้จน

ผู้ที่เข้าใจกฎแห่งกรรมทางพระพุทธศาสนาดี

เขาจะไม่ไปรอผลจากใครที่ไหน เมื่อไร จากใคร

ทุกครั้งที่มีกุศลจิตทำความดี

ความดีนั้นก็จะเข้าไปเพิ่มคุณภาพของจิตทุกคราว

ที่เกิดอกุศลจิตสร้างความชั่ว ความชั่วนั้นก็จะเข้าไปทำลาย

คุณภาพของจิตเป็นไปในปัจจุบันทันทีนั้นเอง

ส่วนผลพลอยได้ เช่น

อานิสงส์ของทานที่จะบันดาลให้ร่ำรวย

ผลของศีลซึ่งจะช่วยให้สวยงามอายุมั่นขวัญยืน

หรือการเจริญภาวนอันจะพัฒนาสติปัญญาให้ดียิ่งขึ้น

ทางพระพุทธศาสนาบอกว่าบางทีต้องรออนาคต

ใกล้บ้าง ไกลบ้าง อาจจะถึงชาติหน้า หรือชาติต่อๆ ไป

เพราะชีวิตร่างกายอัตภาพของเรานั้น

ไม่ยั่งยืนพอตอบสนองผลของกรรม

ที่พึงได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง

แม้เมื่อจิตยังไม่หxxxิเลส ยังมีตัณหา

ความทะยานอยากผลักดันให้จิตไปเกิดอีก

คุณภาพที่ดีหรือชั่วของจิตย่อมติดตามไปให้ผลอีกต่อไป

ผู้ใดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น

เท่ากับสร้างหนี้ไว้ จะต้องไปใช้หนี้เขาในชาติหน้า

ส่วนผู้เสียสละเพื่อเกื้อ***ลผู้อื่นเปรียบเสมือนเจ้าหนี้

ที่จะต้องได้รับการชดใช้พร้อมทั้งมีดอกเบี้ย

เป็นผลตอบสนองต่อไปเป็นแน่นอน



ท่านทั้งหลายเอ๋ย

ฝนตกเป็นเรื่องของฝน

พระพุทธองค์ทรงบอกว่า

ถ้าอยู่ในเรือนที่มุงหลังคาดีแล้วฝนย่อมไม่รั่วลดได้

หมายถึงเรื่องประเภทอนิฏฐารมณ์ที่คนไม่ชอบใจ

มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นต้น

เป็นสิ่งซึ่งย่อมจะตกมาถึงเราสักคราวหนึ่งเป็นแน่

ถ้าเรามีจิตใจดีรู้เท่าทันไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเข้าบั่นทอนกำลังใจก็คงไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนอะไรเท่าไรนัก

ยิ่งเข้าใจในธรรมชาติธรรมดา

เช่นแสงแดดย่อมมีอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งบางครั้งมืดเพราะมีเมฆหมอกบังหรือฝนกำลังตก

หรือเป็นที่โลกกันแสงแดดเสียเองดังนี้ เป็นต้น

เมื่อเรารู้เท่าทันมีความสำนึกว่าอีกไม่นานฝนก็จะหาย

ตะวันก็จะยอแสงมาใหม่ ย่อมมีกำลังใจในระยะมืดมน

ส่วนสดใสได้ก็ย่อมถึงคราวสดใสได้

ถ้าใจเรายังไม่เสียซะก่อน โปรดพยายาม

มีผู้มีพยายามหายาอายุวัฒนะทางกายจะให้มีอายุยืน

ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

แต่จนบัดนี้ก็ยังเคยไม่มียาที่จะช่วยให้คนพ้นตายได้จริงจัง ส่วนพระพุทธองค์ทรงค้นหายาอายุวัฒนะทางจิต

เมื่อพระองค์ทรงนั่งภาวนาจนจิตสงบระงับเป็นสมาธิ

แล้วเกิดปัญญาญาณ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ชนะกิเลส

อาสวักจนหมดไป เป็นเหตุให้สิ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิง

สิ้นชีวิตแล้วไม่มีการเกิดอีก เหมือนเมล็ดผลไม้หมดยาง

หมดเชื้อเอาไปเพาะก็ไม่ขึ้น

เมื่อไม่มีการเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ก็พลอยสิ้นไปด้วย จึงเป็นอมตะจิต อมตะสุข

ไม่มีปัญหาของชีวิตอีกแต่ประการใด

ขอท่านสาธุชนทั้งหลายได้โปรดพิจารณาข้อนี้ให้มาก

ดังที่กล่าวแล้ว ที่ชี้แจงแสดงมาในวันนี้กล่าวถึง

ภาวะของจิต ภาวะของชีวิต ชีวิตไม่แน่นอน

บัญญัติชีวิตเป็นอย่างนี้แหละหนอ



ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจผิดตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานดีที่สุด

ทาน ศีล ภาวนา ตามที่ท่านเข้าใจแล้ว...



 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง