Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
"มาร" ตามความหมายทางธรรมหมายถึงอะไรคะ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
Ea
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2005, 8:43 am
ช่วยตอบด้วยนะคะจะนำข้อมูลไปทำรายงานคะ
++++ขอบคุณ ณ โอกาสนี้++++
nonsoul
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2005, 10:53 am
ว่าโดยความเข้าใจทั่วไปก็คือ สิ่งที่มาขวางกั้นการทําดีของเรา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด จริงๆแล้ว มันก็คือแบบทดสอบตัวเราในการปฏิบัติดี ว่าเราจะมีความตั้งมั่นแค่ไหนเพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ เราต้องขอบคุณมารด้วยซะอีก ถ้าไม่มีมารแล้วจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเราปฏิบัติได้ผลแล้ว ก็เครื่องทดสอบนั่นเอง
nonsoul
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2005, 11:13 am
เข้าไปดูที่เว็บนี้ซิครับ
www.dhammalife.com/dhamma/vocab
เขม
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2005, 12:46 pm
มาร ได้แก่กิเลสมาร หมายถึง อกุศลธรรม
ผู้ฆ่า...ให้ตายจากกุศลธรรม
ให้ข้อมูลย่อ ๆอย่างนี้แล้ว ก็ขยายความออกไปได้มากมาย
คนจร
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2005, 1:24 pm
ควรเปิดดูพจนานุกรมพุทธศาสน์ เช่น ขันธมาร เทวบุตรมาร ฯลฯ
บอล
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2005, 4:29 pm
มารหรือซาตาน
มารก็เป็นเทพเทวดาเหมือนกัน แต่เป็นพวกที่เกเรไม่ใช่เทวดา
ฝ่ายดี จิตของเขาจะเป็นมิจฉาทิฐิคือมีความเห็นผิด บุญกุศลไม่เอา
และไม่ทำ หน้าที่ของมารก็คือทำการขัดขวางผู้ที่จะทำความดีขัดขวาง
ไม่ให้เรามีความสุข โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมจะขัดขวางมากเป็นพิเศษ
ส่งเสริมให้มนุษย์ทำกรรมชั่ว ผิดศีลไม่ให้อยู่ในธรรมนองคลองธรรม จะ
ส่งเสริมชักจูงให้ทำแต่กรรมชั่ว ขัดขวางไม่ให้เราทำอะไรสำเร็จ
ทำให้เราไม่มีความสุข ไม่ให้เราสมหวัง ทำให้เราเดือดร้อน เสียเงิน
เสียทอง ขัดโชคขัดลาภขัดขวางการเงิน การงานไม่ให้ทำสำเร็จ
เป็นไปตามเป้าหมาย จะขวางทุกเรื่องเลย นี่คือหน้าที่ของมาร มาร
เข้ามาอยู่กับเราได้อย่างไร? หลังจากที่เกิดการปฏิสนธิวิญญาณแล้ว
(กล่าวไว้ในเรื่องของวิญญาณแฝงหรือวิญญาณตาม ) พอดวงจิตของ
เราเข้ามาจุติแล้ว ดวงจิตของเทวดาประจำตัวของเราก็จะลงตามมา
พร้อมกับเราด้วยเพื่อที่จะมาคอยดูแลปกปักษ์รักษาเรา ส่วนมากแล้ว
ถ้าหากเทพหรือเทวดาองค์ไหนที่หมดบุญบนสวรรค์แล้ว ถ้าได้มา
เกิดยังโลกมนุษย์เทพเทวดาทั้งหลายบนสวรรค์ เขาจะอนุโมทนาสาธุ
การกันมากเพราะถ้าหากได้มาเกิดยังโลกมนุษย์แล้ว ได้เป็นมนุษย์จะมี
โอกาสได้ทำกุศลได้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสที่จะได้เข้าพระนิพพาน
ได้ แต่การมาจุติเราอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน เราเลยจำอะไรไม่ได้
แต่ถ้าหากเป็นพระโพธิสัตว์จะจำได้ทั้งหมดว่ามาจากไหน? อยู่ใน
ครรภ์เป็นทุกข์อย่างไร? เมื่อคลอดออกมาแล้วก็ยังจำภพชาติได้หมด
เมื่อเทวดาจะได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ทุก ๆ ตน จะตั้งจิตอธิษฐานว่า เมื่อ
ลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะทำกรรมดี ถือศีลปฏิบัติธรรมและสร้างบารมี
พอมาเกิดจริง ๆ เข้า ทุกคนก็ลืมคำสัตย์ที่กล่าวเอาไว้กันหมดเป็นส่วน
มากเลย เหตุการณ์เหล่านี้มารย่อมรู้หน้าที่ของเขาดีว่าจะต้องขัด
ขวางให้ไม่มีโอกาสได้สร้างบารมี จะต้องทำให้ตกต่ ก็ส่งบริวารของมาร
ตามลงมาด้วยทันที่เหมือนกัน จะเห็นว่าจริงๆ แล้วร่างกายสังขารนี้ไม่
ได้มีแต่ดวงจิตของเราแค่ดวงเดียว อย่างน้อยก็ ๓ ดวงจิตแล้ว พอมาร
เข้ามาอยู่กับเราเขาก็เริ่มเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ที่มนุษย์
เป็นหรือที่มนุษย์ชอบ เช่น ชอบดื่มเหล้า เล่นการพนัน ผิดศีลผิดธรรม
ชอบกราบไหว้บูชาเทพเทวาองค์นั้นองค์นี้มารก็จะปลอมแปลงหรือแฝง
เป็นทันทีแล้วก็เลือกเป็นองค์ใหญ่ๆ เสียด้วย ดูแล้วเหมือนว่าจะพา
มนุษย์ทำดีแต่ก็พาไปหลงทางกันหมด สุดท้ายก็ทำให้ทั้งร่างและ
เทวดาองค์นั้นเสียไปเลย เราก็เห็นกันมามากต่อมากแล้วมารก็เอาลาภ
ยศ สรรเสริญ มาล่อแค่นั้นอันที่จริงแล้วองค์เทพเทวดาของจริงท่าน
ก็มี แต่จะสู้พลังของพวกมารไม่ได้ มารจะมีพลังมากกว่าก็ย่อมมีอิทธิพล
ต่อ เรามาก ดังคำที่ว่า ไม่มีมารบารมีไม่เกิดมารก็เป็นเหมือนครูที่
คอยทดสอบเราเหมือนกันว่า เราจะสอบผ่านหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องและ
ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตของเรา ถ้าสอบผ่านเราก็หลุดพ้น แต่เขาก็จะ
ส่งตัวใหม่มาประกบเราอีก ถ้าหากไม่ผ่านเราก็จะตกหนักและลำบาก ไม่
ใช่จะเป็นแต่เจ้ากรรมนายเวรอย่างเดียวเท่านั้นที่ขัดขวางเรา มารก็
ขวางเราเหมือนกันประจบกับตัวเราเป็นช่วงที่อกุศลส่งผลเข้าอีกแล้ว
มารและเจ้ากรรมนายเวรก็จะมีพลังมหาสารเลยที่เดียว เราจะติดขัด
ไปหมดไม่มีความสุขมีแต่ทุกข์ทั้งกายและใจ ทำให้เสียทรัพย์สินเงิน
ทอง ในสมัยพระพุทธกาลก็มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเหมือนกันเตอนที่เจ้า
ชายสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช พระยามารชื่อ วัสสวดีมารก็เข้ามาขัด
ขวางไม่ให้ออกบวชโดยกล่าวหลอกล่อพระองค์ว่า อีก วันก็จะได้เป็น
เจ้าจักรพรรดิแล้ว พระองค์ประสงค์สิ่งใดก็จะได้สมประสงค์ทั้งหมดอยู่
แล้ว ทรัพย์สินสมบัติปราสาทราชวัง แผ่นดินจะออกบวชทำไม?
เพื่อสัพพัญญุตญาณ พระองค์ตอบพระยามารจากนั้นต่อมาหลัง
จากพระองค์ออกบวชแล้วในวันที่จะตรัสรู้หลังจากที่พระองค์รับข้าวมธุ
ปายาสจากนางสุชาดาและทาสีถวายแล้วหลังจากเสวยแล้วก็ทรงลอย
ถาดอธิษฐาน ในระหว่างที่เสด็จกลับได้พบกับพราหมณ์ชื่อโสตถิย
ได้ถวายหญ้าคาพระองก็ทรงรับไว้ทรงลาดหญ้าคาประทับเป็นโพธิ
บัลลังก์ พอตกเย็นผ่านไปก่อนเวลาตรัสรู้อีกไม่กี่ชั่วโมง พระยา
มารที่เคยผจญพระองค์ก่อนออกบวชก็มาอีก ที่นี้มาเป็นกองทัพไม่ใช่
มาตนเดียวมามืดฟ้ามัวดินไปหมด ครั้งนี้พระยามารนิสัยก็ไม่อยากให้
ใครได้ดีไปกว่าตนอยู่แล้ว ครั้งแรกก็แพ้ ครั้งนี้ ก็เลยใช้เล่ห์โดยกล่าว
พระองค์ว่าพระองค์มายึดเอาโพธิบัลลังก์ของตนไป โดยกล่าวเอาลูก
น้องของตนเป็นพยาน ส่วนพยานของพระองค์ไม่มีเทพเทวดาก็หนีกัน
ไปหมดเพราะกลัวพวกพระยามาร พระองค์ก็เลยชี้ไปที่ธรณี
ว่าเป็นพยาน พระนางธรณีก็ผุดขึ้นมาเพื่อเป็นพยานแล้วบีบน้ำจาก
มวยผม น้ำที่บีบออกมาคือ น้ำที่พระองค์ทรงกรวดทุกครั้งหลัง
จากบำเพ็ญบุญบารมี ตั้งแต่ชาติปางก่อนมาตามลำดับซึ่งแม่พระธรณี
เก็บไว้ที่มวยผมจนเกิดน้ำออกมามากมายท่วมและพัดพาพวกพระ
ยามารไปและพ่ายแพ้ในที่สุด พอใกล้รุ่งอรุณพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสรู้
ธรรม เป็นองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งสุดท้ายก่อน
ที่พระพุทธองค์จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานพระพุทธองค์ได้
กล่าวกับพระอานนท์ว่าอานนท์บัดนี้ชาคริยะและอิทธิบาทตถาคตเจริญ
ดีแล้ว หมายความว่าถ้าใครเจริญชาคริยะและอิทธิบาทอยู่เป็นประจำ
แล้วร่างกายจะมีชีวิตยืนยาวเป็นหมื่นๆปีไม่แก่แต่พระอานนท์ไม่เข้าใจ
เพราะพระอานนท์ไม่ใช่พระอรหันต์พระอานนท์สำเร็จอรหันต์หลังจาก
ที่พระพุทธองค์เสด็จเข้าพระปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน พระอานนท์ก็
เลยไม่ได้อาราธนาให้พระพุทธองค์ให้ทรงอยู่ต่อ พอไม่เข้าใจก็เลย
เดินออกจากกุฎีของพระพุทธองค์ไป พระยามารรู้และเห็นอยู่เช่นนั้น
ก็ได้โอกาส ก็เข้าไปกราบทูลขออัญเชิญให้ พระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่พระ
ปรินิพพาน เพื่อจะได้ไม่มีใครขัดขวางในการพามนุษย์ทำกรรมชั่วของ
ตนอีกต่อไป พระพุทธองค์หรือพระถ้าหากใครขอหรือนิมนต์ก็ต้องให้
หลังจากนั้นพระพุทธองค์บอกกับพระยามารว่า ต่อจากนี้ไปอีก ๓ เดือน
เราตถาคตจะเสด็จดับขันเข้าสู่พระปรินิพพานเมื่อพระองค์ตรัสรู้
ใหม่ ๆ หลังจากที่พระองค์ได้ตรวจดูแล้วว่า ไม่มีเวไนยสัตว์ไหนเลยที่
จะรับรู้ธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้ ก็จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานเลย
แต่ท้าวสหัมบดีพรหมและเหล่าเทวา ได้กราบทูลให้พระองค์ได้อยู่แสดง
ธรรมต่อว่า สัตว์ในโลกนี้ที่มีกิเลสบางเบาพอที่จะฟังธรรมเข้าใจนั้น
มีอยู่ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมช่วยเหลือชาวโลกเทอญ ณ.บัด
นี้กาลเวลาผ่านไป ๒๕๔๘ ปีแล้ว พระพุทธองค์ก็ไม่มีรูปกายให้เรา
ได้เห็น พระอรหันต์สาวกทั้งหลายก็ไม่มีแล้วสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ
ชอบอยู่ในพระธรรมวินัยก็หายากเต็มทน แต่พระยามารก็ยังอยู่ บริวาร
พระยามารก็ยังอยู่หรือที่เราได้ยินเขาพูดว่า มารครองเมือง ให้สัง
เกตดูว่าในบางครั้งเราอยากทำดี บางที่ก็เหมือนมีอีกความรู้สึกหนึ่งมา
ขวางไว้ไม่อยากให้เราทำความดี ลักษณะของมารที่อยู่ในตัว
ของเรา ตัวจะคล้าย ๆ กับสัตว์ในโลกนี้และก็ไม่ใช่พวกอสูรกายด้วย
จะอยู่ในร่างกายของเราในรูปของดวงจิต ดวงวิญญาณในรูปของพลังงาน
เป็นอากาศธาตุพวกมารจะทำให้เราจิตตกทำให้เรามีจิตที่มีอารมณ์รัก
โลภ โกรธ หลงผิดศีลทำกรรมชั่วตลอด โดยทำให้เราได้รับรู้
อารมณ์ต่าง ๆจากภายนอกเข้ามาหาตัวเราทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย
และใจ ถ้าหากจิตของเราปรุงแต่งก็ทำให้เราหลงหรือชอบไปถ้าไม่ปรุง
แต่งก็เฉย ๆ ไม่ชอบ มารมีอยู่ในตัวของเราทุก ๆ คน ถ้าหากไม่เอา
ออกเขาก็จะขัดขวางเราทุกอย่างทุกเรื่องที่เป็นความสุข ทำให้เสียทรัพย์
สินเงินทอง ทำให้บารมีของเราตก พาเราให้ไปผิดศีลผิดธรรม แต่ก็ยัง
เบากว่าเจ้ากรรมนายเวรเพราะเจ้ากรรมนายเวรนั้น ทำให้เราทุกข์ทั้ง
กายและใจ ยังไม่พอสูงสุดก็เอากันถึงตายเลย ส่วนมารอย่างมากก็
แค่ทุกข์กายและใจเท่านั้นแต่ทุกอย่างก็จะส่งผลถึงกันหมดไม่ว่าจะเป็น
มารหรือเจ้ากรรมนายเวร ......
เว็บมาสเตอร์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005
ตอบ: 993
ตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2005, 12:49 am
มารมีอยู่ ๕ ฝูง คือ
ฝูงที่ ๑ ชื่อกิเลสมาร ได้แก่ ความขุ่นมัวที่ฝังติดใจคนเราแล้ว ทำให้เราคิดแต่เรื่องร้ายๆ ซึ่งถ้าจะถามว่า เกิดจากอะไร? ก็เกิดจากการที่ใจของเราเคลื่อนออกจากศูนย์กลางกายไป แล้วเลยทำให้กิเลสได้โอกาสฝังติดใจแนบแน่น จึงทำให้ใจเกิดความคิดร้ายๆ ขึ้นมา เมื่อความคิดร้ายๆ นั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยทำให้เราคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ไม่ดี เป็นการตัดรอนความดีของเราลง แล้วเราเองก็กลายเป็นเสนาหรือผู้รับใช้ของเทวบุตรมารไปอีกทอดหนึ่งด้วย
ฝูงที่ ๒ ชื่อขันธมาร ได้แก่ร่างกายและจิตใจของเราที่ไม่สมประกอบ พิการไปด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง เช่นสุขภาพไม่ดี ร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เลยทำให้ขันธ์ของเราเป็นมารแก่ตัวเอง แม้ที่สุดการที่กินข้าวผิดเวลา นอนดึกๆ ดื่นๆ หรืออยู่ในอิริยาบถเดียวต่อเนื่องกันไปนานๆ เช่น นั่งนานๆ เลยทำให้ปวดเมื่อยเกินเหตุ รวมทั้งการที่ตัวเรามีประสาทสัมผัสเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิดไม่แล่น การตัดสินใจยืดยาด ไม่เด็ดขาด เหล่านี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขันธมารบั่นทอนความดีของเราลงทั้งสิ้น
ฝูงที่ ๓ ชื่ออภิสังขารมาร ได้แก่ ผลกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาล้างมาผลาญเรา แม้เราเลิกการกระทำเหล่านั้นแล้ว บาปกรรมก็ยังตามล้างผลาญไม่ลดละ แม้แต่ชาวบ้าน เขาก็ไม่เชื่อถือเรา ตามสาปแช่งเรา ตายแล้วยังแถมตกนรกหมกไหม้อีกด้วย พอเกิดมาใหม่ก็พิการ ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน
ฝูงที่ ๔ ชื่อมัจจุมาร คือความตายที่คอยจ้องตัดรอนชีวิตอยู่ทุกขณะจิต หากประมาทเมื่อใด เพียงหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ยิ่งไม่ออกไม่เข้ายิ่งตายเร็วหนักเข้าไปอีก รวมทั้งความกลัวตายที่พลอยผสมโรง ริดรอนกำลังใจด้วย
มารทั้ง ๔ ฝูงนี้ ล้วนอาศัยอยู่ในตัวของเราแต่ละคน มีแต่ มารฝูงที่ ๕ ชื่อเทวบุตรมาร ซึ่งอยู่นอกตัวเรา แต่ก็พร้อมจะเข้ามาสิงในตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันมีตัวตนจริงๆ พร้อมที่จะแสดงตัวออกมาด้วยกายหยาบก็ได้ กายละเอียดก็ได้ แม้แต่ท้องพระอรหันต์อย่างพระมหาโมคคัลลานะซึ่งทีฤทธิ์มาก มันก็ยังเข้าไปได้ง่ายๆ หากมันได้โอกาสก็พร้อมจะพิฆาตเข่นฆ่าเราทันที
ถามว่า แล้วเราจะต้องทำอย่างไรกับมารทั้ง ๕ ฝูงนี้ มันจึงจะหมดฤทธิ์ ไม่สามารถมาขัดขวางการทำความดีของเราอีกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมารเธยยสูตรว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น
ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบแล้วด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้นฯ"
พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ภิกษุใด เจริญศีล สมาธิ และปัญญาดีแล้ว ภิกษุนั้นก้าวล่วงบ่วงแห่งมารได้แล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น ฯ (พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ ๕ ข้อที่ ๒๓๗ มารเธยยสูตร)
สำหรับศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นของพระอเสขะ(พระอรหันต์)นั้น เป็นเรื่องลึกซึ้ง หมายถึง ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ซึ่งเป็นดวงธรรมมหึมาอยู่ในศูนย์กลางกายของธรรมกายอรหัต เป็นดวงธรรมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างขนาด ๒๐ วา สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เที่ยงวัน มีอำนาจฆ่ากิเลสได้เด็ดขาด ทำให้ผู้เข้าถึงสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมาร หรือบ่วงมารได้ ผู้ที่จะรู้เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญาของพระอเสขะได้ จำเป็นต้องปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เพื่อให้ใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายให้ได้ก่อน
เพราะฉะนั้น ขอทุกคนอย่าได้ประมาท รู้จักตั้งสติ หมั่นประคองใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งประคองได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปียิ่งดี เมื่อตั้งใจประคับประคองใจอยู่อย่างนี้ โอกาสที่จะคิดชั่วก็จะหมดไป แล้วโอกาสที่จะพูดชั่ว ทำชั่วจะมีที่ไหน? ศีลก็จะเกิดขึ้นและตั้งมั่นอยู่ได้โดยอัตโนมัติเกิดเป็นดวงศีลส่องสว่างอยู่ภายใน สว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยง ใจก็ยิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหวด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แม้ประสบความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ไม่สะทกสะท้าน เกิดเป็นดวงสมาธิส่องสว่างอยู่ภายใน
ซึ่งสว่างไสวยิ่งกว่าดวงศีลนับร้อยเท่า พันเท่า ทวีคูณ แล้วอาศัยความสว่างจากดวงสมาธินั้น หล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซึมซาบ ด้วยความสงบสุข แล้วส่องให้เห็นดวงจิตตลอดจนมารทั้งหลายที่คอยมุ่งร้าย บ่อนทำลาย บีบคั้นให้จิตใจขุ่นมัว หลงใหล ฟุ้งซ่าน ซบเซา โง่เง่า อยู่ทุกขณะจิต ทำให้จิตใจไร้พลังถอยหลังไปสร้างบาป ส่องให้เห็นชัดเจนถึงอำนาจบุญทั้งหลายที่ตั้งใจสร้างสมไว้ว่า สามารถทำลายล้างผลาญมารทั้ง ๕ ฝูงได้ เกิดเป็นดวงปัญญาสว่างไสวนับร้อยเท่าพันเท่าทวีคูณของดวงสมาธิ ก่อให้เกิดดวงปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อเราประคองใจไว้ที่ศูนย์กลางดวงปัญญาชำนาญดีแล้ว ไม่วันใดวันหนึ่ง เราก็จะเข้าถึงธรรมกายโดยง่าย เห็นหน้าเห็นตามารทั้ง ๕ ฝูงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถตามไล่ ตามล่า ตามล้าง ตามผลาญมารได้ทุกรูปแบบสมใจนึก เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง บรรลุมรรคผลนิพพานตามเสด็จพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย
http://dhamma.net/dhamma/Mara/9.html
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2005, 8:15 pm
อนุโมทนาบุญ กับ เว็บมาสเตอร์ ด้วยครับ
ea
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 ส.ค. 2005, 6:59 am
ขอบคุณทุกคนมากๆคะที่ช่วยให้งานหนูเสร็จได้ส่งครู
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th