ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตี๋
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2005, 8:13 pm |
  |
โดยแท้จริงแล้ว white lie (การพูดเท็จโดยมีเจตนาที่ดี) นี้ถือว่าเป็นการผิดศีลมุสาวาจาหรือไม่
อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ผมต้องเข้าผ่าตัดหัวใจ (50-50 เปอร์เซนท์ความเสี่ยง) แต่เมื่อคุยกับคุณแม่้(ซึ่งอยู่ในไทย)ทางโทรศัพท์และคุณแม่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ เผื่อมิให้คุณแม่เป็นกังวลผมบอกว่ากลับไปว่้าสบายดีไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง อย่างนีุ้ถือว่าผิดศีลมุสาวาจาหรือไม่
และอย่างการพูดเท็จเพื่อช่วยเหลือคน (เมตตากรุณา) แต่ทว่าคนคนนั้นเป็นคนไม่ดีอย่างนี้จะถือว่าเป็นการผิดศีลมุสาวาจาหรือไม่ ตัวอย่างเช่นเมื่อเด็กเห็นเพื่อนโขมยของ แต่เมื่อผู้ใหญ่ถามก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเพราะไม่ต้องการให้เพื่อนถูกทำโทษ อย่างนี้เป็นการผิดศีลมุสาวาจาหรือไม่ |
|
|
|
|
 |
อสรี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2005, 8:17 am |
  |
พูดอะไรที่ไม่เป็นความจริง ย่อมผิดศีลทั้งนั้น เพราะผู้พูดเองแหละที่รู้อยู่แก่ใจว่าที่พูดไปไม่จริง และก็เกิดความไม่สบายใจเอง และหากในต่อไปข้างหน้า ผู้ฟังเกิดทราบว่าได้ฟังเรื่องไม่จริง ผู้พูดก็เสียเครดิตอีก ...และผู้ฟังอาจเสียใจว่า ถ้าบอกความจริง เหตุการณ์ก็อาจไม่เป็นเช่นนี้...มีวิธีพูดมากมายที่เลี่ยงได้ โดยไม่ต้องโกหก...ฉะนั้นไม่ว่า จะ black หรือ white...ถ้า lie แล้ว ไม่น่าทำทั้งนั้น...เพราะ "เสียทั้งเรา และเขา ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้า"... |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2005, 6:07 pm |
  |
บางเรื่อง โกหก หรือ จริง ก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว
แต่บางเรื่อง เช่น แม่ถาม สบายดีมั้ย ขึ้นกับมุมมองครับ แม้เราป่วยหนัก แต่ถ้าเราคิดว่ายังดีกว่า ตายแล้ว แต่นี่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น จึงตอบว่า สบายดี
กรณีเช่นนี้ แม้ป่วยหนัก แต่ตอบว่า สบายดี จึงไม่ผิดศีลครับ เพราะจิตใจยังสบายดีอยู่ แม้ร่างกายจะป่วยก็ตาม
แต่ถ้าเราไปมีภรรยาน้อยมา ภรรยาหลวงถาม "ไปมีภรรยาน้อยมาใช่มั้ย" เราตอบว่า "ไม่มีจริงๆ" เพื่อให้เธอสบายใจ อย่างนี้ผิดศีล เห็นๆ ครับ
|
|
|
|
|
 |
ตี๋
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2005, 8:08 pm |
  |
คุณอสรี (ความคิดเห็นที่ 1) โดยส่วนตัวผมว่าหลายอย่างไม่เป็นขาวหรือดำซะทีเดียว ซึ่งอย่าง white lie นี่น่าจะเป็น gray area ทั้งนี้ลองตรองดูว่า ถ้าเราพูดปจโดยไม่้ทำให้ผู้อื่นทุกข์ร้อนหรือไม่อยากให้ผู้อื่นทุกข์ร้อนนั้นน่าจะดีกว่าหรือไม่ อย่างกรณีตัวอย่างที่ผมยกมา ถ้าผมบอกไปตามตรงว่าจะต้องเข้าผ่าตัดหัวใจ ใช่ผมไม่ผิดศีลข้อมุสาวาจา แตุ่ถามว่าผมทำให้ผู้เป็นแม่ทุกข์ใจหรือไม่ นั้นก็คือผมขาดวิหารสี่ในข้อกรุณาทั้งนี้เนื่องจากทำให้ผู้เป็นแม่เกิดทุกข์ทางใจใช่หรือไม่
|
|
|
|
|
 |
ตี๋
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2005, 8:11 pm |
  |
คุณเกียรติ (ความคิดเห็นที่ 2) ที่ว่าโกหกเรื่องภรรยาน้อยนี่ไม่ใช่ไม่้อยากให้ภรรยาหลวงไม่สบายใจหรอกครับ ผมว่ากลัวหัวแตกกันมากกว่า  |
|
|
|
|
 |
อสรี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2005, 7:47 pm |
  |
การอ่านใจผู้อื่นว่า จะเกิดอารมณ์ใดกับการพูดความจริงของเรานั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า เราอ่านใจเขาได้ถูกต้องหรือไม่..เพราะมีเงื่อนไขมากมาย ที่ทำให้การคาดการณ์ของเราคลาดเคลื่อนไป ไม่ว่า โอกาส เวลา หรือสถานที่...แต่ถ้าคุณบอกคุณแม่ว่า คุณไม่ค่อยสบายอาจต้องผ่าตัดหัวใจ และอธิบายให้ท่านฟังเหมือนท่านเป็นแม่พระที่เป็นที่พึ่งของลูก ท่านอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่คุณตัดสินใจผ่าตัด (ใครจะรู้)...และคงจะดีกว่าที่หากผ่าแล้วเกิดปัญหา(ไม่มีก็แล้วไป) แล้วบอกท่านทีหลัง ท่านอาจทำใจได้ยากกว่าหรือเปล่า...และจะเสียใจด้วยหรือเปล่า ที่คุณไม่นับท่านไว้เป็นผู้ที่ควรได้ยินได้ฟังเรื่องทุกข์ของคุณ...อันนี้ต้องคุณเท่านั้นที่จะรู้จักแม่ของคุณเอง ว่าคุณควรใช้วิธีพูดอย่างไรให้ท่านรู้ว่า คุณอาจต้องเข้าผ่าตัด และพูดอย่างไร ให้แม่มั่นใจว่าแล้วคุณสบายดีต่อไปหลังผ่าตัด...
ส่วนการโกหกไม่ว่าจะสีอะไรก็ตาม ตราบเท่าที่มันเทียบจนเห็นสี ก็ไม่น่าจะสบายใจทั้งนั้น แม้สีขาวก็เถอะ......เพราะความสบายใจที่แท้จริง ไม่มีสี...ว่าง... (นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเรื่องการพูดความจริงเท่านั้น)... |
|
|
|
|
 |
ตี๋
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 ก.ค.2005, 7:58 pm |
  |
อันนี้ต้องออกตัวไว้ก่อนน่ัะครับว่ามิได้จะตีตัวเสมือนพระพทธเจ้าแต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้ช่วยกันถกเรื่องข้อสงสัยทางธรรมเท่านั้น
ุ้ถ้าเช่นนั้นแล้วการที่พระเวชสันดรมิได้ตอบพระนางมัทรี
ที่เกี่ยวกับการที่ชูชกมาขอเอาตัวพระโอรสธิดาไปนั้นตามข้อเท็จจริงแล้วนั้นถือว่าผิดศีลข้อมุสาวาจานี้หรือไม่
จากhttp://www.dhammathai.org/chadok/legend10.php
" ในวันนั้น พระนางมัทรีทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะในตอนกลางคืน พระนางทรงฝันร้ายว่า มีบุรุษร่างกายกำยำ ถือดาบ มาตัดแขนซ้ายขวาของพระนางขาด ออกจากกาย บุรุษนั้นควักดวงเนตร ซ้ายขวา แล้วยังผ่าเอาดวงพระทัยพระนางไปด้วย พระนางมัทรีทรงสังหรณ์ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น จึงทรงละล้าละลังไม่อยากไปไกลจาก อาศรม แต่ครั้นจะไม่เสด็จไปก็จะไม่มีผลไม้มาให้พระเวสสันดรและโอรสธิดาเสวย พระนางจึงจูงโอรสธิดาไปทรงฝากฝังกับ พระเวสสันดรขอให้ทรงดูแล ตรัสเรียกหา ให้เล่นอยู่ใกล้ๆ บรรณศาลา พร้อมกับเล่าความฝันให้พระเวสสันดรทรงทราบ
พระเวสสันดรทรงหยั่งรู้ว่าจะมีผู้มาทูลขอพระโอรสธิดา แต่ครั้นจะบอกความตามตรง พระนางมัทรีก็คงจะทนไม่ได้ พระองค์เองนั้น ตั้งพระทัยมั่นว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกประการในกายนอกกาย แม้แต่ชีวิตและ เลือดเนื้อของพระองค์ หากมีผู้มาทูลขอก็จะ ทรงบริจาคให้โดยมิได้ทรงเสียดายหรือหวาดหวั่น
พระเวสสันดรจึงตรัสกับพระนางมัทรีว่าจะดูแลพระโอรสธิดาให้ พระนางมัทรีจึงเสด็จไปหาผลไม้ในป่าแต่ลำพัง"
...
...
"ครั้นพระนางมัทรีทรงกลับมาจากป่าในเวลาพลบค่ำ เที่ยวตามหาโอรสธิดาไม่พบ ก็มาเฝ้าทูลถามจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรจะทรงตอบความจริงก็เกรงว่า นางจะทนความเศร้าโศกมิได้ จึงทรงแกล้งตำหนิว่านางไปป่าหาผลไม้กลับมาจนเย็นค่ำ คงจะรื่นรมย์มากจนลืมนึกถึงโอรสธิดาและสวามีที่คอยอยู่
พระนางมัทรี ได้ทรงฟัง ก็เสียพระทัย ทูลตอบว่า
"เมื่อหม่อมฉันจะกลับอาศรม มีสัตว์ร้ายวนเวียนดักทางอยู่ หม่อมฉันจะมา ก็มามิได้จนเย็นค่ำ สัตว์ร้ายเหล่านั้นจึงจากไป หม่อมฉันมีแต่ความสัตย์ซื่อ มิได้เคยนึกถึงความสุขสบายส่วนตัวเลยแม้แต่น้อยนิด บัดนี้ลูกของหม่อมฉันหายไป จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็มิทราบ หม่อมฉันจะเที่ยวติดตามหาจนกว่าจะพบลูก"
พระนางมัทรีทรงออกเที่ยวตามหาพระชาลีกัณหาตามรอบบริเวณศาลา เท่าไรๆ ก็มิได้ พบจนในที่สุด พระนางก็สิ้นแรงถึงกับสลบไป พระเวสสันดรทรงเวทนา จึงทรงนำน้ำเย็นมาประพรมจนนางฟื้นขึ้น ก็ตรัสเล่าว่าได้บริจาค โอรสธิดาแก่พราหมณ์เฒ่าไปแล้ว ขอให้พระนางอนุโมทนาในทานบารมีที่ทรงกระทำ ไปนั้นด้วยบุตรทานที่พระราชสวามีทรงบำเพ็ญ และมีพระทัยค่อยบรรเทาจากความโศกเศร้า "
|
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 ก.ค.2005, 8:13 pm |
  |
ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า การโกหก คือ การพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริงออกไป
ดังนั้น
1. การไม่ได้ตอบคำถามเขา โดยเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ไม่ได้ถือว่าโกหกนะครับ ขยายความว่า ถ้าตอนนั้น พระนางมัทรีถามว่าลูกไปไหน ถ้าพระเวสสันดรบอกว่า ถูกเสือร้ายคาบไปแล้ว อย่างนี้สิครับ เรียกว่า โกหก แต่ท่านเปลี่ยนเรื่องครับ ไม่ได้ตอบคำถามนาง
2. การไม่ได้ตอบคำถามเขา โดยไม่พูดอะไรเลย ก็ไม่ถือว่าโกหกนะครับ เช่น ในอดีต มีชายคนหนึ่ง เลี้ยงนกไว้ 1 ตัว เวลาชายคนนั้นไม่อยู่บ้าน ภรรยาก็ลอบเป็นชู้ พอชายคนนั้นกลับมา ถามนกตัวนั้นว่า เมียมีชู้หรือไม่ นกตอบว่า เมียท่านมีชู้ ชายคนนั้นไปต่อว่าเมีย เมียก็ออดอ้อนจนใจอ่อน พอรุ่งขึ้นชายคนนั้นไปทำงาน ลองทายซิว่า อนาคตของนกจะเป็นอย่างไร ใช่แล้วครับ เมียจับทอดกรอบเลย
ต่อมาชายคนนั้น ไปได้นกมาอีก 1 ตัว แล้วก็เหมือนเดิม ชายคนนั้นถามนกว่า เมียมีชู้หรือไม่ นกไม่ตอบ ชายคนนั้นถามย้ำ นกจึงบอกว่า บัณฑิตย่อมไม่พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด
|
|
|
|
|
 |
ตี๋
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2005, 11:58 am |
  |
ข้อ 1 โดยส่วนตัวแล้วการเปลี่ยนเรื่องไปก็เหมือนกับการโกหกตนเองเช่นกัน เพราะตัวเราเป็นรู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่บ่ายเบียงเปลี่ยนเรื่องให้เื้พื่อหลบเลี่ยงนั่นเอง และยิ่งเมื่ิอทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ไ้่่ม่ว่าใจหรือกายแล้วถือว่าผิดอิืทบาทสี่ในเรื่องของเมตตา กรุณามิใช่้หรือครับ
ข้อ 2 "บัณฑิตย่อมไม่พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด" ผมว่าก็น่าฟังขึ้นน่ะครับแต่ผมว่า สส ทั้งหลาย (ไม่ว่าจะประเทศไหนน่ะครับ) พาไปประยุกต์กันเสียจนเค้าเหล่านั้นเป็นบัณฑิตกันหมด เพราะเค้าเหล่านั้นรู้กันหมดว่าใครโกงกินกันอย่างไร แต่ไม่ยอมพูดเพราะเดี๋ยวจะ้เข้าเนื้อหรือเข้าพรรคไม่ได้ในอนาคต  |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2005, 5:34 pm |
  |
1. สถานการณ์บางสถานการณ์ต้องดูผลเสียน้อยที่สุด และผลประโยชน์(ส่วนรวม)มากที่สุดนะครับ โดยเฉพาะเวลาที่อีกฝ่ายยังตามเราไม่ทันในตอนแรก ยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้ครับ
สมัยพระนันทะญาติของพระพุทธเจ้าบวชอยู่ ท่านคิดถึงแต่คู่หมั่น พระพุทธเจ้า ท่านเลยพาพระนันทะไปเที่ยวบนสวรรค์ พระนันทะเห็นนางฟ้าแล้วตะลึง บอกพระพุทธเจ้าว่า คู่หมั่นของตนเทียบกับนางฟ้า แล้ว ราวกับเอาลิง มาเทียบกับคน
พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าพระนันทะตั้งใจปฏิบัติธรรม พระองค์จะยกนางฟ้าให้ พระนันทะดีใจถามว่า จริงเหรอ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า จริง ดังนั้น ตั้งแต่นั้น พระนันทะตั้งใจปฏิบัติธรรมเต็มที่ จนข่าวแพร่ออกไป เพื่อนๆ พระภิกษุก็มาแซวว่า พระนันทะตั้งใจปฏิบัติธรรมเพราะอยากได้นางฟ้าเป็นภรรยา พระนันทะอาย จึงเข้าป่าไปองค์เดียว ปฏิบัติธรรม จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พอเป็นแล้ว ก็เลิกคิดที่จะขอนางฟ้าจากพระพุทธเจ้า
ถ้าจะถามว่า พระพุทธเจ้า รู้ไหมว่า พอบรรลุธรรมแล้ว จะไม่ขอนางฟ้า พระองค์ย่อมต้องรู้ แต่พระพุทธเจ้าไม่มีวันตรัสคำโกหก พระองค์รู้ไหมว่า ถ้าบรรลุธรรมแล้ว คิดอยากได้อะไรต้องได้ทุกอย่าง แต่จะไม่เอาอะไรแล้ว พระองค์ย่อมรู้ ดังนั้น พระองค์จึงบอกพระนันทะเช่นนั้นไปในตอนแรก ไม่ได้โกหก แต่บอกไม่หมด ถ้าบอกหมดว่า ถ้าเธอบรรลุธรรม เธอจะไม่อยากได้นางฟ้า แล้วพระนันทะจะมีกำลังใจปฏิบัติธรรม จนพ้นจากทุกข์ทั้งปวงหรือครับ นี่แหละครับ ที่เรียกว่า ขึ้นกับสถานการณ์ด้วย
2. ส่วนข้อ 2 นั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีไว้สอนใจตัวเราเองเป็นหลักก่อนครับ แล้วเมื่อมีโอกาสเหมาะสมถึงค่อยสอนผุ้อื่น โดยเฉพาะถ้าผู้นั้นเป็น สส. คงยากที่จะสอนได้ง่ายๆ สมัยหลวงพ่อผมอบรมนิสิตนักศึกษาอยู่ มีนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ไม่ค่อยปฏิบัติธรรม (ในตอนแรก) ชอบจับกลุ่มคุยกันแต่เรื่องการเมือง เรื่องผู้นำไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อ ก็ไม่ว่าอะไร เรียกเข้าไปคุย
หลวงพ่อ : ถามจริงๆ เถอะ พ่อหนุ่ม เธอเห็นนักการเมืองเป็นอย่างไรบ้าง
นิสิต : ไม่ไหวครับหลวงพ่อ แต่ละคนล้วนโกงกิน ผมรับไม่ได้จริงๆ
หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้หลวงพ่อ ถามหน่อยว่า คุณคิดว่า คนที่คิดจะเป็นผู้นำนี่ ตอนแรกเลยคิดว่า เขามีอุดมการณ์ไหม
นิสิต : ก็คงจะมี
หลวงพ่อ : ต้องมีทีเดียวหละ เหมือนอย่างคุณนี่ไง ที่มีอุดมการณ์คิดจะไปเปลี่ยนแปลงสังคม แล้วเขาต้องดีทีเดียวล่ะ เพื่อนร่วมทีมจึงศรัทธาในตัวเขา เข้ามาร่วมทีมงานกัน ทีนี่พออยู่ไปอยู่ไป อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ
นิสิต : อะไรครับ
หลวงพ่อ : สมมุติ ถ้าคุณได้เข้าไปเป็นผู้นำประเทศ มีคนมาบอกให้คุณช่วยทำเป็นไม่เห็นในบางเรื่องหน่อย แล้วเขาจะให้ 1 ล้าน คุณจะเอาไหม
นิสิต : ไม่เอาครับ ผมมีอุดมการณ์ครับ
หลวงพ่อ : น้อยไปเหรอ ถ้าเขาบอกเพิ่มให้เป็น 10 ล้านล่ะ เอาไหม
นิสิต : 10 ล้านเชียวหรือครับ นึ่งอึ้งไป
นิสิตคนที่สอง : ไม่เอาครับ ต่อให้ 100 ล้าน พันล้าน ผมก็ไม่เอา
หลวงพ่อ : เยี่ยมมาก หลวงพ่อขอชื่นชมในขั้นต้น เพียงแต่นี่แค่สมมุติ ต้องดูจริงๆ อีกที ถ้างั้น หลวงพ่อขอถามคุณใหม่ ถ้าเงินคุณไม่เอา แล้วลูกปืนล่ะ คุณจะเอามั้ย ถ้าคุณไม่เอา ลูกคุณเมียคุณเอามั้ย
นิสิตทั้งหมด นิ่งเงียบไป หลวงพ่อจึงบอกต่อว่า เราเองยังตอบตัวเราเองไม่ได้เลย ดังนั้น เราจึงไม่ควรไปว่าคนอื่น แต่สิ่งที่ควรทำคือ ฝึกใจของเราเองไม่พร้อมก่อน เมื่อใจเราพร้อมถึงขั้น เท่าไหร่เราก็จะไม่เอา อันตรายอย่างไรเราก็ไม่กลัว เพราะเราจะรู้จักสิ่งที่สำคัญกว่าเงิน และความตาย สิ่งนั้นอยู่ในใจเราทุกคน
หลังจากนั้น นิสิตทั้งหลายที่คุยกันเรื่องการเมือง ก็กลับมาตั้งใจปฏิบัติธรรม
|
|
|
|
|
 |
หวานเย็น
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2005, 10:34 am |
  |
สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีแต่ด้านขาวจั๊ว หรือด้านดำปิ๊ดปี๋ สองซีกแบ่งกันไปชัดๆ หลายๆอย่างล้วนเป็นสีเทาๆหรือสีขาวหม่นๆก้อมีเยอะนะ ครูบาอาจารย์พระอรหันตสาวกท่านมีวิสัยทัสในการสอนธรรมะตามแนวอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอภิมหาบรมครู คือ ท่านสอนสิ่งที่เป็นความดี และชี้ให้เห็นสิ่งที่เป็นความเลว บุญ<-->บาป สอนเรื่องเบนจศีล<-->เบนจธรรม สอนเรื่องพูดความจริงเป็นบุญ พูดโกหกเป็นบาป ท่านหยิบยกเอา บาป-บุญ ...ดี-ชั่ว ท่านชี้ให้เห็นสิ่งตรงกันข้ามชัดเจนเหมือน ขาว<-->ดำ เพราะเรียนง่าย ได้ความชัดเจน ส่วนที่เหลือเกรแอเรีย ไปหัดพิจารณาแยกแยะเอาเองเป็นการบ้าน ความเห้นส่วนตัว ไว้ท์ลาย คือ
หลักการเกี่ยวกับ คุณธรรมทางวาจา ระดับพิ้นๆ ว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านในทางธรรมะในทางบุญกุศล ควรพูดในแง่มุมเหล่านั้น ไว้ท์ลาย นี่นะ เค้าเรียนกันทั้งทวีปเมกาเหนือ วิชา speech100-Interpersonal communication (ขอโทษนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะเอาตำราในมลัย มาอ้าง เพื่องัดกะใคร แต่เห็นเรื่องเกี่ยวโยงกันอยู่ จึงเอามาใส่ไว้นิดหน่อย)นอกจากไม่พูดโกหก พูดแต่ความจิงๆแล้ว เด็กแนว(แนวแห่งจริยธรรมคุณธรรม)เค้าจะยึดหลักไว้ท์ลายนี้ด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่ เด็กแตกแนว ออกนอกจริยธรรม คุณธรรม พวกเค้าชอบพูดโกหก กะล่อนปลิ้นปล้อน แล้วอ้าง ว่าพูดไวท์ลาย ทำให้คนส่วนใหญ่สับสนกับหลักการนี้ อยู่ไม่น้อย
ตามที่คุณเกียต ยกตัวอย่าง พระนันทะมานั้น ดูเหมือนเป็นอุบายปัญญาในการปฏิบัติธรรมทางวาจาเป็นการสร้างแรงจูงใจตามจริตที่พระนันทะทั่นมีอยู่ และความรู้แจ้งแห่งพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระนันทะให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้วจะได้เชยชมเทพธิดาเป็นร้อยๆ ....ส่วนนักการเมืองอดีตนา.ย.เวลานักข่าวกรูกันเข้าไปรุมถามท่านในเหตุการณ์บ้านเมืองที่สำคัญๆหลายอย่าง คนกำลังสนใจกันทั้งประเทศ แต่เป็นความลับราชการน่ะ ท่านย่อมไม่เปิดเผยแน่นอน ท่านตอบนักข่าวด้วย น้ำเสียงทุ้มๆ คมๆเป็นมีดโกนจิลเหล็ด เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ว่า...เอ่อๆๆๆ.....กระผม ยังไม่ได้รับรายงานครับ(ตอบงี้ทั้งปี) หรือ เอ่อๆๆ กระผมไม่ทราบครับ เรื่องสำคัญระดับความมั่นคงของชาติ นักข่าวยังทราบ แล้ว ท่านนายกไม่ทราบ!! จะจิงเหรอ? และถ้าตอบคำถามแบบถามจิงๆ-ตอบตงๆ ไม่มีเม้ม นักศึกษาปีหนึ่งก็วิเคราะห์ได้ว่า เปิดปากหมดไม่เหลือ บ้านเมืองพังชัวร์!แต่ถ้าไม่ตอบ ผู้แทนอาสามารับใช้แล้วไม่ชี้แจงแถลงเรื่องบ้านเมืองให้ประชาชนซึ่งกำลังอยากรู้ทราบจะยุติธรรมกับเค้าเหรอ ยังงี้มุสามั๊ย?ขอให้ท่านทั้งหลายหาคำตอบเอาเองละกัน ...เคยได้ยินเรื่องชายไร้ตังคนหนึ่งไปตัดไม้ตามชายป่าขายกินปะทังชีวิต มีเครื่องมือหากินอยู่อันเดียว คือ ขวานเก่าๆ วันหนึ่งไปตัดไม้ริมป่ามีลำธาร ขวานกะเด็นหลุดมือตกลงไปในน้ำ ชายนั้น นั่งร้องไห้ เพราะสูญเสียเครื่องมือหากินไป เทวดาอยู่แถวนั้น จึงปรากฎขึ้นพร้อมกับขวานสองอัน ถ่าม ช นั้น ว่า ขวานเก่าอันนี้ หรือ ขวานทองคำแท้ๆอันนี้ ที่เจ้าทำตกน้ำ ช นั้น ตอบตามจิรง โดยชี้ไปที่ขวานเก่าๆ ว่า ขวานนี้เป็นของผมๆทำตกน้ำ ......เรื่องนี้คงเคยได้ยินมากันทุกคน นะคะ ชายนั้น พูดความจริง แต่ ในความจริงที่จริงๆน่ะ มีเหรอ เทวดามาปรกฎ เอาขวานทองคำแท้ๆมาแจกน่ะ ไม่มีหร็อก ถ้ามีจริงไทยเป็นประเทศมหาอำนาจรวยกว่า ซาอุฯ อีก พวกเราก็จะพากันหาขวานเก่าๆไปตัดไม้ ตัดไปตัดมาเด๋วขวานก็กะเดนตกน้ำไปเองแหละ แล้วตอนนี้ล่ะซี คุณเอ๊ย!เทวดาก็จะเอาขวานทองคำแท้ๆมาแจก !เป็นรวยกันอัศจรรทันใช้ไม่ต้องไปเรียนหนังสือให้หัวผุ คนเล่าเรื่องนี้น่ะเล่าเรื่องไม่จริง แต่ทำไมคนทั้งประเทศไม่เห็นตำหนิ คนเล่าต้นเรื่องคนนี้เลยอ่ะ แถมเอามาเล่าใน ร ร ให้นัก เรียน ฟังอีก พ่อแม่ก้อเล่าให้ลูกฟังกันทั้งประเทศ ทั้งๆที่เป็นเรื่องไม่จริง หรืออาจจะเป้นเพราะคนเล่าต้นเรื่องมีเจตนาจะเล่าเรื่องที่ส่งเสริมให้คนไม่หื่นของมีค่าที่ไม่ใช่ของตัว แล้วก้อพูดโกหก แต่ เค้าสอนคนให้มีความซื่อตรง ...ทั้งๆที่คนเล่า โกหก ทั้งเรื่อง อืมม!น่าคิดน่ะ เรื่องโกหก ก้อเอามาเผยแพร่ได้น่ะ คนเค้าไม่ด่าหร็อก ชอบฟังอีกตั่งหาก เค้าจัดไว้ให้เป็นประเภทนิทาน อย่างเรื่องชายตัดไม้กับขวาน ตรงนี้จะว่าพูดจริงก็ไม่ใช่ จะประณามคนเล่าว่าโกหก ก็ไม่แน่ใจ เพราะเค้าไม่ได้หมู หมา กาไก่ พูดไปเรี่อยเปี่อย แต่เค้าเล่าเรื่องสอนใจดีนะ อย่างนี้มันเกรแอเรีย มันไม่ชัดเจนเหมือนขาวกับดำ
...ครูอาจารย์ท่านไม่เพียงแต่สอนมุสาวาจา ไม่ให้พูดโกหก ส่อเสียด คำหยาบคาย เพ้อเจ้อ แต่เพียงเท่านั้น ท่านยังสอน สิ่งที่ควรพูด พระสัมมาสัมมพุทธเจ้าท่าน ได้เห็นว่า ยังมีgrey area อยู่ ไม่ใช่มีแต่ขาว ดำ เท่านั้น ท่านจึงตรัส กถาวัตถุ ถ้อยคำที่ควรพูด 10 อย่าง ไว้เป็นแนวทางให้เราปฏิบัติธรรมทางวาจา ในส่วนเกรแอเรียนี้ ไว้ด้วย
กถาวัตถุ คือ ถ้อยคำที่ควรพูด 10 อย่าง
1 อัปปิจฉกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
2 สันตุฏฐิกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
3 ปวิเวกกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ
4 อสังสัคคกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่คณะ
5 วิริยารัมภกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารภความเพียร
6 สีลกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
7 สมาธิกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ
8 ปัญญากถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
9 วิมุตติกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
10 วิมุตติญาณทัสสนกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส
คิดว่า แนวพูด 10 อย่าง นี้แหละ คือ หลักพูดปิยะวาจา ที่แท้จริง ...ไม่ใช่ เอาแต่ ผลัดการป้อนลูกยอใส่กัน บำรุงกิเลสให้เป็นขนมถ้วยฟู แล้วอ้างว่า"ปิยวาจา" ที่แท้ก้อแค่เมี่ยงคำใบยอ กินอร่อยแค่ติดขี้ฟัน ประโยชน์น่ะมีแน่ๆ แต่ไม่คุ้มค่าใจเหิมเกริม ไปตามคำยอเลย เคยเห็นในกระดานอินเตอร์เนทเว็บอื่นๆน่ะ(แค่เข้าไปดูจิงๆนะ แต่ขอตัวไม่ไปเล่นด้วย) คำชมล่ะอาวเชียว ตอบขอบคุณแค่สองคำ แต่...ติ เป็น โต้ !เวลามีคนยอ ก็ช้อบ ชอบๆ ทำเป็นถ่อมตัวนิดหน่อยพอไม่ให้ยินดีกับคำชมนั้นจนออกนอกหน้า แต่พอโดนติติง จะเหน็บเค้ากลับด้วยธรรมบทที่หาฟังได้ยากซะเลย อย่างขนาดความยาว 500 เม็กกะไบส์ หลายๆครั้งที่เข้าไปอ่านคำโต้ข้อติติงเหล่านั้น แล้วเป็นมึน เพราะเห็นตัวอัตตานุทิฐิ ดำทะมืน โผล่ออกมาเต็มจอ เอี๊ยยย!น่ากลั๊ว น่ากลัว  |
|
|
|
|
 |
|