Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รุ้สึกท้อแท้กับชีวตมากค่ะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ

ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2005, 2:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้สึกท้อแท้กับชิวิตมากค่ะ ทั้งปัญหาชิวีตครอบครัว พ่อแม่กับพี่ก็เป็นหนี้เป็นสิน ตัวเราเองก็ไม่มีงานทำ ร่างกายก็ไม่ค่อยดี เราโชคไม่ดีตอนเด็ก ๆ เป็นไทฟอยด์ขึ้นสมอง เลยจะเป็นโรคทางระบบประสารท คือมันจะเบลอ ๆ บ่อย ซื้อยามากินก็ค่อนข้างแพง และไม่ค่อยหาย มัน จะนอนไม่หลับเรือ้รังค่ะ แม่เราบอกวว่าอย่าไปกินมัน แต่พอหยุดกินก็เป็นอีก งานก็จะทำให้เขาไม่ค่อยได้เพราะเราคิดได้ช้ากว่าคนอื่น เรียนรู้ได้ช้าเพื่อนเขาบอกมาน่ะค่ะ คนรอบข้างและเพื่อนร่วมงานก็เบื่อและไม่ค่อยพอใจนัก พอเรากลับดึก ๆ จะได้ทำให้ทันเขา ก็ไม่ยอมเพราะมันเสียค่าใช้จ่าย ค่าไฟ บริษัท เราเคยได้ยินเพื่อน ๆ เขาคุยกันว่า คนที่เป็นสมองฝ่อแบบนี้ธุรกิจไม่น่ารับเข้ามาทำงาน รู้สึกท้อแท้มาก เพราะเราเข้าทำงานที่ไหนเขาจะไม่ค่อยชอบคนคิดช้าอย่างเรา บางคนเขาก็บอกว่าเป็นไฮเปอร์ บ้าง ออทิสติกบ้าง บางคนเขาก็ชอบสังเกตว่าทำไมเราถึงมือสั่นบ่อย เวลาทำงาน รูสึกเสียใจมาก ๆ ค่ะ ไม่รุ้จะคิดหาหนทางอย่างไร บางครั้งก็คิดน้อยใจไม่น่าเกิดมาให้พ่อแม่เดือดร้อนเลย พ่อแม่ก็เริ่มแก่แล้ว ถ้าช่วยเหลือพ่อแม่ไม่ได้ รู้สึกผิดมาก ค่ะ ทำไมคนเราต้องเป็นอย่างนี้ด้วยคะ มีใครพอแนะนำแนวทางได้บ้างคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ จากใจ คน บุญน้อยอย่างเราค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาระบาย คือไม่รู้จะทำอย่างไรน่ะค่ะ
 
ลุงใหญ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2005, 3:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่คุณเขียนมา ระดับสมองของคุณไม่ใช่ธรรมดาดอกขอรับ

รู้จักคิด รู้จักน้อยใจเป็น

แล้วทำไมไม่รู้จัก วางเฉย ในสิ่งที่จะทำให้เราจิตใจเศร้าหมองเล่าขอรับ

การฝึกตนให้ทำงานดีทำงานทันเพื่อนย่อมเป็นไปได้ ถ้าคุณมีความตั้งใจ

หากเหลือบ่ากว่าแรงในด้านการครองชึพ ก็ไปหา ประชาสงเคราะห์จังหวัด ให้เขาช่วยเถอะขอรับ
 
ผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2005, 4:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หากเราเปรียบเทียบกับคนที่สูงกว่า เราจะรุ้สึกต่ำต้อย

หากเราเปรียบเทียบกับคนที่ต่ำต้อยด้อยโอกาสกว่าเรา เราจะรู้สึกสูงส่ง



จงยอมรับในสิ่งที่เราเป็นอยู่อย่าได้ต่อต้าน ปัญหามีสองอย่าง

คือแก้ได้ และแก้ไม่ได้

เราทำอะไรมาเราก็ต้องได้รับสิ่งนั้น

ไม่ต้องถามว่าทำไม ถึงต้องเป็นเรา



ฉะนั้นแม้จะเป็นเช่นดอกหญ้าก็จงเป็นดอกหญ้าให้ดีที่สุด

ไม่มีอะไรเสียหายเท่าการเป็นคนไร้ศีล 5
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2005, 4:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองดูภาพคนที่แย่กว่าเรา แต่เขายังสู้ชีวิตสิครับ
 
ไม่เหมือนชื่อ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2005, 9:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็กำลังศึกษาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ไม่อาจไปแนะนำคุณได้แต่อยากให้คุณไปศึกษาเหมือนผมดู แล้วอาจจะเข้าใจในสภาวะธรรม การไม่เข้าไปยึดหมั่นในสิ่งทั้งหลาย เรื่องของวิบากกรรมที่เราเองทำไว้แต่ชาติปางก่อน การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของสิ่งต่าง และการปล่อยวางของใจเรา
 
อสรี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.ค.2005, 9:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาตัวเองเข้าว่า...ทำทุกวันให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ไม่มีใครที่จะทำให้คนทั้งโลกพอใจเราได้หรอก...ให้ทำดีเข้าไว้ โรคภัยที่มาก่อนนั้น ก็เป็นกรรมที่ต้องยอมรับมัน และให้อยู่กับมันอย่างเพื่อน ...ให้กำลังใจแก่ตัวเอง เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตที่เหลือมีโอกาสได้สร้างความดีก่อนที่จะต้องตายไป...และหาเวลาไปปฏิบัติธรรมบ้างนะ...







" คนเราเลือกเกิดได้ ถ้ารู้วิธี "
 
ยุ้ย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.ค.2005, 3:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันขอกล่าวอะไรสักหน่อยนะคะ ดิฉันเองเคยมีปัญหาสุขภาพ (ลมชัก) กินยาจนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่หายขาดเลยค่ะ แต่ก่อนนี้ทุกข์มาก เพราะอีกระยะหนึ่งดิฉันประสบอุบัติเหตุ หกล้ม/ถูกรถชน มีปัญหาทางกล้ามเนื้อและกระดูกค่ะ (กระดูกสันหลังเอียง-ขาขวาสั้นกว่าซ้าย)

แต่พอไปรับการรักษาที่ศิริราชแล้ว ปลงตกเลยค่ะ เพราะอาจารย์ผู้ที่ให้การรักษาดิฉันเป็นยิ่งกว่าดิฉัน คือท่านนั้นขาหัก ทีแรกเดินไม่ได้ ต้องใช้รถเข็นค่ะ แต่ท่านมีสิ่งที่พิเศษที่เป็นข้อคิดให้ดิฉันนั่นคือ ขนาดท่านเป็นทุกข์อย่างนั้น ท่านยังต้องรักษาคนไข้ที่เดินได้ และต้องสอนลูกศิษย์อีกค่ะ

ดิฉันได้เรียนรู้วันนั้นแล้วดิฉันมีกำลังใจขึ้น "ปลงตก" ก็วันนั้นเอง และยังให้กำลังใจท่าน ๆ เองก็ให้กำลังใจดิฉัน ต่างคนต่างช่วยกันค่ะ ระยะหลังนี้ท่านคงเป็นปกติแล้วค่ะ

การถูกเพื่อนร่วมงานแกล้ง นั่นก็อีกเช่นกัน คุณกับดิฉันอาจสร้างกรรมกันไว้ ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อใดแน่ (ชาติใดแน่) สิคะ ดิฉันถูกพูดดูหมิ่น ถูกว่าเรื่องอาการชักมากต่อมากทีเดียวค่ะ

ทุกวันนี้ดิฉันถูกย้ายไปทำงานกับคนไม่ดีอีกด้วยสิคะ

แต่ดิฉันทำใจได้ในภายหลัง การถูกว่ากระทบกระเทียบจึงลดลง จนเหมือนไม่มี และดิฉันเองก็เอาธรรมะ ใช้คำภาวนาช่วยรักษาจิตใจจนสบายขึ้นบ้างแล้วค่ะ

ส่วนคนแกล้งนั้น ถ้าจะถึงอีกทีก็นับว่าน่าสงสารเขานะคะ "ถ้าเขาไม่ทุกข์ เขาจะแกล้งคนอื่นเพื่อประโยชน์อะไรกัน" ก่อนเขาทำ พูด เขาก็กลุ้มกับความคิดที่ต่ำเหล่านั้นอยู่แล้วแหละค่ะ ไม่มีใครโง่ดูคนไม่ออกหรอกค่ะ เพียงแต่คนที่รู้จริงเขาจะกล้าแสดงออกหรือไม่เท่านั้นเองแหละ

ขอให้มีกำลังใจในชีวิต กรุณาเอาธรรมะมารักษาจิตใจให้ดีขึ้น ค่อยทำไป แล้วจะรู้สึกสบายใจขึ้นเองแหละค่ะ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
 
ยุ้ย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.ค.2005, 3:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันขอเพิ่มเติมต่อจากความเห็นที่ 6 อีกหน่อยค่ะ

ขอความกรุณาคุณอย่าคิดไม่ดี ก่อทุกข์ให้คุณเองเลย เพราะบางคนคิดสั้น ฆ่าตัวตาย อย่างนั้นเป็นสิ่งที่เป็นบาปอย่างมากค่ะ เพราะจะต้องกลับมาใช้กรรมอีกนานแสนนานทีเดียวค่ะ

หากเป็นไปได้ ขอให้คุณเอาธรรมะมาใช้ กรุณาแผ่เมตตาให้คนที่แกล้งคน (บทสัพเพสัตตา) หากไม่ทราบกรุณาโพสต์ถามได้ค่ะ ดิฉันจะพิมพ์มาให้ค่ะ แต่ขอกล่าวให้ทราบก่อนว่าบางคนทำทีแรก ๆ นั้นฝืนใจมาก (เช่นดิฉันเป็นต้น) แต่เมื่อทำเรื่อย ๆ ไป คุณจะรู้สึกว่าดีขึ้น สบายใจขึ้น แล้วลองดูผลเองเถอะค่ะ

มีแต่ดีกับดีตลอด อดทนทำดีให้ได้นะคะ โชคดีค่ะ
 
2548
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.ค.2005, 7:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทางธรรมเค้าเรียกว่า "ปฎิจสมุทบาท" คือ เกิดอะไรสิ่งหนึ่งต้องมีเหตุให้เกิดสิ่งนั้น



ขอร่วมเป็นพลังให้คุณมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น (อีกนิดก็ยังดี)

มาฟังเรื่องจริงที่อยากจะเล่าให้ฟัง



-ตุ้ย บิ๊ก บราเทอร์ อายุ 21 ปี กำลังจะได้เงินล้าน+บ้าน+รถ เมื่อต้นปีเค้ายังขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างอย่างเลย ชีวิตนี้เค้าสบายแน่แล้ว



-เมื่อตอนที่ อ.กำพล ทองบุญนุ่ม อายุได้ 24 ปีได้เกิดอุบัติเหตุทำให้ร่างกายตั้งแต่หน้กอกถึงปลายเท้าใช้การไม่ได้จนถึงตอนปัจจจุบัน อายุ 47http://www.cdthamma.com/titles/cd151_200/cd198.htmปีมีแม่คนเดียวเท่านั้นที่ดูแล



-ชายหนุ่ม นิสัยดี/เจอหน้ากันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทาย/รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นคนแถวบ้านซอยถัดไป เรียนจบ ปวช. แผนกช่างที่โรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จบแล้วมีงานทำมีเงินเดือนเลื้ยงตัว ตอนที่อายุ 22 ปี เค้าเกิดอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซด์ทำให้เป็นคนพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้เค้ามีงาน/มีแฟนสวย/มีครอบครัว ต่อมาเกิดอุบัติเหตุแฟนเลิกลากันไป มีเพียงครอบครัวที่ดูแล หลังจากเกิดอุบัติเหตุและกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านไม่เกิน 1 ปี เค้าคงทำใจไม่ได้หลาย ๆ เรื่องเลยฆ่าตัวตายด้วยการกินยาตาย (ตายไป 5 ปีแล้ว)



-ชาย ผู้ต้องหาคดี ศยามล อายุ 40 กว่าปี เมื่อหลายปีก่อนต้องติดคุกฟรี มากกว่า 10 ปี ต่อมาพิสูจน์ได้ว่า เค้าไม่ได้ผิดทำให้ต้องติดคุกฟรี บ้างคนก็ตายในคุกเพราะเป็นโรคประจำตัวก่อนหน้านี้อยู่ในนั้นเรื่องยาเรื่องการรักษาไม่ดีพอ ครอบครัวและลูกเสียใจเป็นอย่างมาก



-หญิง อายุ 26 ปี พนักงานธนาคารโดนแฟนหนุ่มเอากรดสาดหน้าเป็นให้ให้ตาบอดทันที 1 ตาอีก 1 ข้าง เกือบหรืออาจจะบอดไปแล้วตอนนี้ ใบหน้าเสียโฉมอย่างมาก



-ตัวผู้เขียนเอง อายุเกือบ 35 ปี จบ ปวส. โดนเลิกจ้างจากที่ทำงานแห่งหนึ่งเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ทำงานแห่งนั้นได้ ทำงานมา 10 ปี ตำแหน่งพน้กงานธุรการ ครั้งนั้น แฟนที่คบกันมา 2 ปี เริ่มหนีห่างและเลิกกันไปในที่สุดเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ขณะทำงานได้ผ่อนบ้านทาวน์เฮาว์ เล็ก ๆ ซึ่งผ่อนมาได้ แค่ 4 ปี เมื่อโดนเลิกจ้างก็ต้องออกมาทำงานที่ใหม่ 2-3 ที่ เงินเดือนอยู่ระหว่าง 6,500-7,500 บาทไม่เคยเกินกว่านี้ บ้านไม่มีกำลังส่งต่อ เพราะอัตราการส่งเดือนหนึ่ง ระหว่าง 8000-12000 บาท ตอนนี้โดยกรมบังคับคดียึดบ้าน ยึดทรัพย์ในบ้าน ขายทอดตลาดหมดแล้วยังไม่พอ ยังเหลือหนี้ค่าบ้านอีก 500,000 กว่าบาท ทำงานที่ไหนจะมี หมายศาลมาอายัดเงินเดือนทันที 30-40 เปอร์ เซ็นต์ ปัจจุบันตกงาน มา 3 เดือนแล้ว





คนที่มีปัญหาย่อมเข้าใจคนที่มีปัญหาด้วยกันดี

 
กำลังใจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2005, 9:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเกิดและเริ่มต้นชีวิตจากครอบครัวยากจนมากและไม่มีความสุขหรืออบอุ่นเช่นครอบครัวทั่วไปมาก่อนครับจึงคิดว่าหากผมต้องอยู่ในสภาพเดียวกันคิดว่าผมพอจะสู้กับมันได้

ก่อนอื่นผมจะมองเป้าหมายที่ทำได้จริงให้กับตัวเองให้ชัดเจนก่อน แน่นอนสิ่งสำคัญที่สุด ผมต้องดูแลจิตใจตัวเองเป็นอันดับแรกเลยครับเพราะหากเราต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะคนรอบตัวเราต่างก็ทุกข์ร้อนไม่ต่างจากเราหรือมากกว่าก็คงต้องมีเหตการณ์กระทบกระทั่งจิตใจเราให้ทุกข์มากขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา วิธีการแน่นอนต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหากเราทำแล้วใครว่าเราเห็นแก่ตัวก็ช่างผมคิดว่าในเมื่อจิตใจเราเป็นทุกข์แล้วเราจะไปทำให้ผู้อื่นมีความสุขจริงจริงได้อย่างไร มันต้องเริ่มจากตัวเราก่อน และแน่นอนสภาพจิตใจที่เป็นทุกข์ไม่มีทางที่จะทำให้เราเกิดความคิดในการแก้ปัญหาชีวิตที่ดีได้ วิธีการของผมขอกล่าวทีหลังดีกว่า

เป้าหมายอันดับที่สองก็คือเรื่องการงาน ผมไม่แน่ใจว่าคุณมีงานทำแล้วหรือไม่มีกันแน่

หากยังไม่มีผมมีเทคนิกการหางานแบบต่างประเทศที่คิดว่าเมืองไทยคงไม่มีใครทำให้ได้หากสนใจ หากมีงานทำแล้วก็ขอให้ขยันตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดอย่าใส่ใจคำพูดที่ไม่ดีมากนัก เลือกคำต่อว่าที่เป็นประโยชน์พอ เช่นหากว่าเราสมองไม่ดีเฉื่อยชา อันนี้ไม่มีประโยชน์ไม่ว่านายหรือเพื่อนว่าเรารู้ได้เลยทันทีว่าเขาควบคุมอารมณ์ไม่ดีของเขาขณะพูดไม่ได้เพราะในคำต่อว่าไม่มีเนื้อหาอะไรเลย หากเราแสดงออกด้วยสีหน้าไม่พอใจ แน่นอนยิ่งส่งเสริมสะสมอารมณ์เขาใหญ่ เราต้องผ่อนคลายเขาด้วยคำพูดสุภาพ ขอโทษ และแสดงความจริงใจกับเขา แต่หากเขาดุเราเช่น เราทำอะไรที่เขาต้องการไม่เป็นหรือชักช้า เช่นสรุปบัญชี เขียนรายงาน หรืออะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้เป็นประโยชน์แต่อย่าหยุดกับการแค่ให้เขาว่า เราต้องจับสิ่งที่เขาว่านั้นเอามาปรับปรุงเป็นเรื่องเรื่องให้ได้ โดยขอให้เขาหรือใครก็ได้สอนให้ตรงตรง พร้อมสอบถามสังเกตเรียนรู้เทคนิคจากคนอื่นเท่าที่เราทำได้ หากงานนั้นเป็นงานที่ระดับการศึกษาของคุณจบมา ผมรับประกันคุณต้องเรียนรู้ทำมันเช่นคนอื่นได้เพียงแต่ต้องเรียนรู้มันช้าหรือเร็วแค่ไหนเท่านั้น เมื่อเรารู้เข้าใจวิธีการทั้งหมดอย่างละเอียดแน่นอนต้องทำได้คุณภาพเช่นเดียวกับคนอื่น บางคนมีอคติในการทำงานไม่ถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นทั้งหมด อันนี้เราก็ต้องเรียนรู้วิธีการจากสิ่งอื่นแทนแม้กระทั่งการโพสต์ถามเทคนิคของงานที่ทำตามเวปไซต์และใช้ความสังเกตการทำงานของผู้อื่นให้มากเท่านั้น

สำหรับเรื่องสมองคนดีไม่เท่ากัน ผมไม่คิดเช่นคนอื่น เซลล์สมองของมนุษย์ที่DNAกำหนดมาต้องมีโครงสร้างและจำนวนไม่แตกต่างกันมากอย่างแน่นอน เช่นปกติมีอยู่ล้านล้านเซลล์ผมคิดว่าให้คนมีมากน้อยต่างกันก็ไม่น่าจะเกินสักสิบล้าน สิบล้านที่หายไปเทียบกับล้านล้านที่มีอยู่ผมไม่คิดว่าจะทำให้คนเรามีความจำต่างกันเลยครับ แต่สิ่งที่มีผลต่อการจดจำก็คือ ความสามารถในการเห็นการได้ยิน ความสนใจที่มีต่อสิ่งที่จะจดจำไม่ว่าชอบ แปลก ตลก หรือสะเทือนอารมณ์ และสมาธิ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับสมองเลย มีจริงจริงก็คือคนเป็นโรคหลงลืม ซึ่งวิตามินบางอย่างเช่น ใบแปะก๊วย โอเมก้าสามโอเมก้าหก ก็ช่วยได้เคยได้ยินจากหมอว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครมีปัญหากระทั่งเซลล์สมองเสื่อมนอกจาก คนสูงอายุ กับคนได้รับอุบัติเหตทางสมอง คนทั่วไปจึงกินวิตามินไปก็ช่วยอะไรไม่มากส่วนใหญ่เป็นอุปาทาน ลองถามหมอก็ได้ครับว่าตนมีโรคที่มีผลต่อความจำเสื่อมหรือไม่

สิ่งที่ทำให้คนคิดได้แตกต่างกันมากน่าจะเป็นเรื่องของการสั่งสมความรู้อ้างอิงมาแต่เริ่มกำเนิดต่างหาก สิ่งนี้ขึ้นกับอยู่บุญกรรมจริงจริง ใครโชคดีเกิดสภาพแวดล้อมอำนวยให้มีการเรียนรู้ตามธรรมชาติได้มากเช่นพ่อแม่ให้อ่านหนังสือจนชอบตั้งแต่เด็กก็จะสะสมมามาก พอปัจจุบันจะเรียนรู้อะไรก็เข้าใจได้ทันที ส่วนใครไม่ได้สั่งสมมาแน่นอนก็ย่อมไม่เข้าใจอะไรได้ไวแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ตัวอย่างลองให้ดอกเตอร์ที่เก่งที่สุดด้านคณิตศาสตร์ มาศึกษาวิชาศิลธรรมแข่งกับเราดูสิครับ จะเห็นว่าปัจจัยการเรียนของดอกเตอร์ก็จะขึ้นกับ การเห็นการได้ยิน ความสนอกสนใจในการเรียนที่เหมือนกับเราเท่านั้น เผลอเผลอเราจะเข้าใจไวกว่าเขาอีก อีกตัวอย่าง ผมเคยได้ยินเรื่องอัจริยะต่างประเทศ แค่ขึ้นฮอร์ลิคอบเตอร์รอบเมือง หนึ่งรอบ ลงมาสามารถวาดรูปเมืองได้อย่างถูกต้องแต่ประกฏว่าเขาสวมเสื้อผ้าสวมถุงเท้ารองเท้าเองไม่เป็น ต้องจ้างคนมาทำให้

การดูแลจิตใจตัวเองแบบไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนในทางพุทธศาสนามีเยอะแยะมาก การสวดมนต์ ภาวนา การ ถือศีล การทำสมาธิ การทำวิปัสสนา ทุกอย่างล้วนส่งเสริมจิตใจให้ดีขึ้นได้ เพียงแต่ต้องรักษาการทำให้ต่อเนื่องไม่หยุดเท่านั้น หากเป็นคนทั่วไปส่วนใหญ่ผมเชื่อว่า จะทำสมาธิ วิปัสสนาให้เป็นกิจวัตรไม่ได้ หากเป็นผมจะเริ่มสิ่งที่เป็นได้ง่ายที่สุดคือ การสวดมนต์ทุกวัน ผมจะไม่ใช้วิธีดูหนังสือไปสวดไปเพราะผมคิดว่าสมองเรายังไม่ได้ปฏิบัติจริงจริง ผมจะท่องจำให้ได้ก่อนครับ อยากให้ลองดูครับ เขียนไปท่องไปหลายวันก็จะจำได้เอง จำได้แล้วก็สวดทุกวันอย่าหยุด อย่าไปติดว่าสวดจะต้องมีพระพุทธรูป มีธูปเทียน เสมอไป การปฏิบัติเป็นเรื่องภายในจิตใจ หากเทวดา พระท่านเห็นท่านไม่มองจากภายนอกหรอกครับ ยิ่งบางบทสวดเช่น พระชินบัญชร บางท่านบอกว่าสวดได้ทุกวันจะสร้างความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้ก็นำมาสวดได้เลย เราไม่จำเป็นต้องสวดเพื่อหวังประโยชน์ทางโลกก็ได้ แต่ที่ผมเชื่อมั่นเลยคือจิตของเราหากสวดมนต์ยาวทุกวันนานนานเข้า จะสงบนิ่งกว่าคนทั่วไป แน่นอนเมื่อจิตใจนิ่งขึ้น การปฏิบัติอย่างอื่นเช่นสมาธิ วิปัสสนาก็จะตามมาเองทีหลังและจะก้าวหน้าต่อไปอีก การเริ่มต้นบางอย่างที่เป็นไปได้ยากสำหรับบางคน เช่นถือศีลแต่เราไม่เงินไม่มีอาหารจะกินต้องตกปลากินเราก็อย่าพึ่งไปเน้นถือทุกอย่าง แม้แต่ทำบุญทำทานมีคนมาชวนแต่เราไม่มีเงินก็ไม่หมายความว่าเราต้องฝืนทำให้ได้ ให้ใช้ชีวิตไปตามปกติทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดให้เป็นกิจวัตรก่อน แล้วการปฏิบัติอย่างอื่นเราจะทำได้เองอย่างไม่ต้องฝืนเมื่อถึงเวลาของมัน เขียนยาวมากแต่สาระอาจมีน้อยขออภัยด้วยครับ ขอให้พยายามหมั่นดูแลจิตใจตัวเองแล้วมุ่งมั่นทำชีวิตให้ดีที่สุดต่อไป ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาลครับ มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทีละน้อยบ้างมากบ้างไม่ผิดกับชีวิตของคนเรา
 
หวานเย็น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2005, 9:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โอ้โห!!มันยอดม๊าก คำตอบในกระทู้นี้เนี่ย ตอบกันมาดีดีทั้งนั้น ชักไม่แน่ใจในคำตอบที่เตรียมไว้ซะแล้วซิ กลัวตอบโง่ๆไป ละก้อ อาจได้เฮกันมั่ง เขินแย่เลย

แต่ไหนๆก้อไหนๆแล้ว อยากตอบมั่งอ่ะค่ะ



***ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เจ็บป่วย และไม่มีใครในโลกนี้ที่จะอยู่ค้ำฟ้า*** เราทุกคนต่างก็อยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นกฎแห่งความจริง อ่ะนะ!

ยอมรับมันแต่โดยดี(รักษากันไปตามหน้าที่เท่าที่จะทำได้) แล้วใจจะได้สบาย



...................................................................



เมื่อไหร่ที่ถูกรุมจิกตี ส่วนมากด้วยวาจา และท่าทาง เราจะไปหาที่นั่งใต้ต้นไม้ร่มครึ้มตามลำพัง แล้วร้องเพลงนี้ปลอบใจตัวเอง



ก้อนหินก้อนนั้น ศิลปิน:โรส ศิรินทิพย์ หาญประดิษฐ์ (รูปภาพคุณโรส ได้มาจาก yimsiam.com)



เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา

ว่าเวลาใครมาทำกับเราให้เจ็บช้ำใจ

ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน

ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้



บีบให้แรงสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น

ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม



ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง

ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร

ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ

ถูกเค้าทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง



ใครมาทำกับเธอให้เจ็บหัวใจ

ก็แค่ให้ก้อนหินก้อนนั้น ให้เธอรับมา

เพียงเธอจับมันโยนให้ไกลสายตา

หรือเธอปรารถนาจะเก็บมันไว้



หากยิ่งยอมยิ่งแบกไป หัวใจของเธอก็ต้องสั่น

หากยังทำตัวแบบนั้น ถามว่าปวดใจใช่ไหม



ถูกเค้าทำร้ายเพราะใจเธอแบกรับมันเอง
 
นะโม_เย
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2005
ตอบ: 13

ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.ค.2005, 11:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท้อ...แต่อย่าถอย

ท้อ...เป็นไปได้ทุกคน

ท้อ...แต่ยังมีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจ

ท้อ...อดทนไว้

ท้อ...คนยากไร้มืดมนหนทางกว่านั้นยังมี

ท้อ...เพียงแค่วันนี้

ท้อ...จะเป็นเพียงแค่วันวาน

วันนี้จะเป็นวันที่ตะวันฉายแสง..อุ่นๆๆมาทักทายคุณยามเช้าที่สดใส

ขอให้ผ่านพ้นไปในความที่เคยท้อนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ



http://radio.sanook.com/lyric.php?song_id=2349

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง