|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
จันทร์งาม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 8:40 am |
  |
...ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่พบกับวิกฤติชีวิต รู้สึกมันหนักมากเกินกว่าจะรับไหว เกือบจะสามปีแล้วค่ะ สภาพจิตใจดีขึ้นในระดับหนึ่ง ธรรมะคือที่พึ่งคือทางออกทางออกที่ดีที่สุด พยายามอดทน อดกลั้นกับสิ่งเร้าที่ทำให้สภาพจิตใจเสื่อมโทรม ตอนนี้จิตใจค่อนข้างปกติ ยิ้ม หัวเราะให้ผู้คนรอบข้างได้ พยายาม"วาง" ค่ะ
...ขออนุญาตเล่าเรื่องราวสั้นๆ นะคะ ดิฉันเป็นข้าราชการผู้หนึ่ง สามีก็รับราชการเหมือนกันค่ะ เขาไปมีผู้หญิงคนใหม่ แรกๆก็พยายามพูดคุยกับเค้า ไม่อยากให้ครอบครัวต้องมีปัญหา สงสารลูกๆ ค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มันหนักขึ้นทุกวัน สุดท้ายตอนนี้ก็เข้าลักษณะแยกกันอยู่ ดิฉันอยู่กับลูกๆ เล็กๆ ตั้งใจจะดูแลเค้าให้ดีที่สุด มีเวลามักจะพาเค้าไปทำบุญที่วัดค่ะ หลวงพ่อที่วัดบอกว่าเป็นกรรมเก่าของเราชาตินี้เราต้องมารับผลกรรมนี้ บอกตัวเองว่าถ้าเป็นกรรมเก่าจริงก็ยินดีชดใช้กรรมนั้นค่ะ
... มีญาติบางคนเค้าโกรธแค้นมากที่เค้าทิ้งครอบครัวไปทั้งๆที่เราและ ลูกไม่มีความผิดอะไรอยากให้ดิฉันร้องเรียนเค้า ผู้หญิงคนใหม่เค้าก็รับราชการเหมือนกันค่ะ
ถ้าดิฉันร้องเรียนไปอาจจะต้องออกจากราชการทั้งสองคน ดิฉันคิดว่าไม่ใช่ทางที่ดิฉันจะเลือกตัดสินใจคิดว่าถ้าเวรกรรมมีจริงเค้าคงได้รับผลกรรมที่เค้าทำ และสงสัยว่าถ้าเราร้องเรียนเค้าไปจะถือว่าเป็นการก่อเวรใหม่อีกใช่ไหมค่ะ....
สงสัยมานานแล้วค่ะ..... |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 11:44 am |
  |
ใช่แล้วล่ะครับ แล้วก็จะผูกเวรกันไปไม่รู้จบ ทางที่ดีตัดวงจรการผูกของเราตั้งแต่บัดนี้ แล้วเราก็จะไม่ต้องก่อเวรขึ้นมา ให้ต้องชดใช้อีกในภายหลังครับ
ส่วนผู้ชายที่ไปทำอย่างนั้นกลับภรรยา เมื่อถึงคราวกรรมส่งผล ก็จะต้องไปเกิดเป็นผู้หญิง ที่มีสามีแบบนั้นเข้าให้บ้าง
เป็นผลกรรมเก่าของเรา อดทนไว้ชดใช้กรรมไป แต่เป็นการสร้างกรรมใหม่ของเขา ที่เขาจะต้องได้รับผลต่อไปในอนาคตน่ะครับ
อดทนไว้ แล้วก็สร้างบุญใหม่เสริมช่วยด้วย บุญที่จะมาช่วยด้านนี้ได้อย่างดี คือ การชักชวนคนทำความดีครับ ซึ่งจะมีผลทำให้ เราได้ไปเกิดเจอแต่คนรอบข้างที่ดี ห่างไกลจากคนนิสัยไม่ดีน่ะครับ
อ้อ แล้วเทคนิคพิเศษกว่านั้น จำไว้ใช้ได้นะครับ คือ แฟนกันที่จะอยู่กันยาวนาน และมอบแต่สิ่งดีๆ ให้กันนั้น ท่านมีเทคนิค คือ ให้หมั่นชักชวนกันสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันไว้ครับ แล้วเราจะเจอแต่แฟนที่ดี ถือ เป็นบุญ ที่จะตัดทอนวิบากกรรมเรื่องนี้ให้หนักเป็นเบา เบาเป็นหายได้ครับ
|
|
|
|
|
 |
จันทร์งาม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 12:34 pm |
  |
ขอบพระคุณ คุณเกียรติเป็นอย่างสูง ที่ได้กรุณตอบข้อสงสัย
ทำให้มีความกระจ่างในใจ และมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ขอบพระคุณกับข้อแนะนำที่นับว่ามีคุณค่ามากค่ะ |
|
|
|
|
 |
I am
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 1:13 pm |
  |
การผูกเวร...
เรื่องยักษิณีชื่อกาลี
ที่เมืองสาวัตถี มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เมื่อบิดาสิ้นชีพแล้วก็ทำงานด้วยตนเองทั้งในบ้านและนอกบ้าน เลี้ยงมารดาอยู่ มารดาสงสารเขาจึงบอกว่าจะนำหญิงคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยา เพื่อจักได้แบ่งเบาภาระในบ้านไปเสียบ้าง แต่ลูกชายก็ห้ามเสียหลายครั้งหลายหน เขาบอกแม่ว่ายังไม่ต้องการ แต่ฝ่ายแม่ต้องการ จึงออกจากบ้านจะไปสู่ตระกูลหนึ่ง ลูกชายจึงว่า หากแม่จะไปนำหญิงมาให้ได้จริงๆ แล้ว ก็จงไปสู่สกุลที่ลูกชอบ เขาได้บอกชื่อสกุลให้มารดา
มารดาของเขาไปสู่ขอหญิงสกุลนั้นมาให้บุตรชายแล้ว แต่หญิงนั้นเป็นหมัน หญิงผู้มารดาจึงพูดกับบุตรว่า อันตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมขาดสูญ เพราะฉะนั้น แม่จะไปนำหญิงอีกคนหนึ่งมาให้ภรรยาของเจ้า บุตรชายกล่าวว่า อันการจะไปนำหญิงอื่นมาอีกคนหนึ่งนั้น ไม่จำเป็น แต่มารดาก็ยังพูดอยู่บ่อยๆ
หญิงสะใภ้ได้ยินบ่อยๆ จึงคิดว่า "ธรรมดาบุตรย่อมฝืนมารดาไปได้ไม่นาน อีกสักหน่อยก็คงยอมให้นำสตรีอื่นมา หากเธอมีลูก ตัวเราก็จะลดฐานะลงมาเป็นหญิงรับใช้ อย่ากระนั้นเลย เราควรจะจัดการหาหญิงนั้นเสียเอง เพื่อจักได้อยู่ใต้อำนาจของเรา"
นางคิดดังนี้แล้ว จึงไปนำหญิงอันคุ้นเคยกับเธอจากตระกูลหนึ่งมา
ทีแรกๆ ก็ดี แต่พอนานเข้า มีจิตริษยาบ้าง ด้วยความกลัวว่าตนจะตกต่ำ หากภรรยาน้อยมีลูกบ้าง นางจึงคิดทำลายครรภ์ของภรรยาน้อย นางได้สั่งไว้ว่า เมื่อใดมีครรภ์ขอให้บอกนางแต่เนิ่นๆ
ภรรยาน้อยพาซื่อ คิดว่าเขาหวังดีกับตัว พอตั้งครรภ์ก็บอก นางเมียหลวงจึงประกอบยาใส่ลงไปในอาหาร โดยทำนองนี้ ครรภ์ของภรรยาน้อยจึงตกไป แท้งถึง 2 ครั้ง
พอครั้งที่สาม ภรรยาน้อยไปปรึกษากับเพื่อน พวกเพื่อนๆ พูดเป็นทำนองให้เฉลียวใจถึงภรรยาหลวง นางจึงระวังตัว คราวนี้ไม่ยอมบอก พยายามถนอมจนครรภ์แก่ นางเมียหลวงไม่ได้ช่องที่จะผสมยาลงไปในอาหารได้ เพราะเขาระวังตัวอยู่ จนกระทั่งครรภ์แก่ นางจึงได้โอกาส แต่ครรภ์ไม่ตก เพราะแก่เสียแล้ว แต่กลับนอนขวาง
ภรรยาน้อยได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสจนสิ้นชีวิต ก่อนสิ้นชีพได้อธิษฐานขอจองเวรกับหญิงนั้น นางตายแล้วไปเกิดเป็นแมวตัวเมียในเรือนนั่นเอง
ฝ่ายสามีของนาง รู้ว่าภรรยาหลวงประกอบยาทำลายครรภ์ของภรรยาน้อยถึง 3 ครั้ง โกรธจัด ประหารภรรยาหลวงเสียถึงตาย นางไปเกิดเป็นแม่ไก่
พอแม่ไก่ตกไข่ แมวก็ไปกินเสียถึง 3 ครั้ง แม่ไก่ผูกพยาบาท ขอให้ได้เกิดเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่พอทำร้ายนางแมวได้ แม่ไก่ไปเกิดเป็นแม่เสือเหลือง ส่วนนางแมวไปเกิดเป็นแม่เนื้อ พอแม่เนื้อคลอดลูก แม่เสือเหลืองก็มากินเสียทุกครั้ง แม่เนื้อผูกพยาบาท ตายจากชาตินั้นไปเกิดเป็นนางยักษิณี แม่เสือไปเกิดเป็น
หญิงชาวบ้านธรรมดา เมื่อหญิงนั้นคลอดลูก นางยักษิณีก็ปลอมแปลงตัวเป็น
หญิงสหายของเธอ มากินลูกเสียทุกครั้ง
พอครั้งที่ 3 หญิงนั้นหนีไปคลอดลูกที่อื่น และนางยักษิณีก็ติดเข้าเวรส่งน้ำให้
ท้าวเวสสุวรรณเสียหลายเดือน พอออกเวรก็รีบมายังบ้านของหญิงนั้น ทราบว่า เธอไปคลอดลูกที่บ้านเดิม คือบ้านพ่อแม่ของนาง
ยักษิณี อันกำลังแห่งเวรให้อุตสาหะ แล้วรีบวิ่งไปยังบ้านนั้น เวลานั้น หญิงคู่เวรคลอดลูกแล้ว กำลังกลับมาพร้อมด้วยสามี มาถึงสระแห่งหนึ่งหน้าวัดเชตวัน สามีลงอาบน้ำในสระ นางยืนอุ้มลูกให้ดื่มนมคอยอยู่ เหลียวมาเห็นนางยักษ์กำลังวิ่งมาอย่างเร็ว จึงร้องตะโกนให้สามีขึ้นมาช่วย เมื่อเห็นว่าสามีจะขึ้นมาไม่ทัน นางยักษ์วิ่งมากระชั้นชิดแล้ว นางจึงอุ้มลูกวิ่งหนีเข้าวัดเชตวัน
เวลานั้น พระศาสดากำลังประทับแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทในธรรมสภา เธอนำลูกไปวางไว้ใกล้บาทแห่งพระผู้มีพระภาค ละล่ำละลักทูลว่า "ขอได้โปรดเป็นที่พึ่งของเด็กคนนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
นางยักษ์วิ่งไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด พอถึงประตูวัดเชตวัน สุมนเทพ ผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตูไม่ยอมให้เข้า
พระศาสดา ทรงทราบเหตุการณ์ทั้งปวงโดยตลอด รับสั่งให้พระอานนท์
ไปนำนางยักษ์เข้ามา เมื่อหญิงนั้นเห็นนางยักษ์เข้ามาก็ตกใจกลัว ร้องขอให้พระศาสดาช่วย ศาสดาตรัสปลอบว่า
"อย่ากลัวเลย ณ ที่นี้ นางยักษ์จะทำอันตรายไม่ได้" ดังนี้ ตรัสกับนางยักษ์ว่า
"ดูก่อนยักษิณี และกุลธิดา เพราะเหตุไร เจ้าทั้งสองจึงจองเวรกันเช่นนี้ ถ้ามิได้พบพระพุทธเจ้าเช่นเรา เวรของเจ้าทั้งสองก็จะดำรงอยู่ชั่วกัปป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน หมีกับไม้สะคร้อ และ กากับนกเค้า เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า"
พระศาสดาทรงยังพระธรรมเทศนาให้พิสดารโดยอเนกปริยาย ในการจบเทศนา นางยักษ์ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นโสดาบัน เป็นผู้มีศีล 5 สมบูรณ์ พระศาสดารับสั่งให้หญิงนั้นส่งลูกให้ยักษิณี กุลธิดากราบทูลว่า เธอกลัว พระศาสดาตรัสว่าอย่ากลัวเลย อันตรายจากยักษิณีไม่มีแล้ว นางจึงส่งลูกให้, นางยักษ์รับเด็กมากอดจูบแล้วส่งคืนให้มารดา แล้วร้องไห้ พระศาสดาตรัสถามว่าร้องไห้ทำไม นางทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์! เมื่อก่อนนี้ ข้าพระพุทธเจ้า หากินโดยไม่เลือกทาง ก็ยังไม่สามารถหาอาหารมาให้พอเต็มท้องได้ บัดนี้ ต่อจากนี้ไป ข้าพระพุทธเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?"
พระศาสดารับสั่งให้หญิงนั้น นำนางยักษ์ไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน ให้ข้าวและน้ำ กระทำอุปการะอย่างดี
ยักษิณีรู้อุปการะของหญิงนั้นแล้ว ช่วยบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกมากให้ทำนาบนที่ดอน, ปีนี้ฝนจะตกน้อยให้ทำนาในที่ลุ่ม กุลธิดาได้ทำตามคำแนะนำของยักษิณี ได้ข้าวดีทุกปี
คนชาวบ้านทั้งหลายรู้ข่าวเข้าก็ชวนกันมาถามบ้าง ยักษิณีก็บอกให้ คนทั้งหลายได้นำข้าว น้ำ และผลไม้มาให้ยักษิณีเป็นการตอบแทน ทั้งสองฝ่ายต่างมีอุปการะซึ่งกันและกันด้วยประการฉะนี้
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวี แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ดังพรรณนามาฉะนี้
หมายเหตุ : ลำดับชาติที่ทั้งสองจองเวรกัน เมียน้อย-นางแมว-นางเนื้อ-นางยักษ์
เมียหลวง-นางไก่-นางเสือเหลือง-กุลธิดา
...ลอกเขามา จำที่มาไม่ได้... |
|
|
|
|
 |
จันทร์งาม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 3:20 pm |
  |
การผูกเวรช่างติดต่อกันไปหลายภพหลายชาติจังเลยนะคะ
" เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
ขอบพระคุณมากค่ะ |
|
|
|
|
 |
จันทร์งาม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 3:25 pm |
  |
สงสัยค่ะว่ากรรมเก่าที่เรากำลังรับอยู่ทุกวันนี้ มันมีวันจบสิ้น หรือหมดไปไหม
รึว่าต้องใช้ไปตลอดชาตินี้ค่ะ  |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 3:44 pm |
  |
กรรมที่เราทำมาในอดีตนั้น ถ้าจะบอกว่า ชาตินี้ชดใช้ได้หมดไหม คำตอบก็คือ เราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดกันมานานแสนนาน มากแล้วครับ สร้างกรรม(ทั้งดีและชั่ว) กันไม่หวาดไม่ไหวเลย เยอะมาก
ดังนั้น จึงไม่ควรรอให้ชดใช้กรรมให้หมด แต่ควรสร้างความดี ทั้งทาน ศีล ภาวนา เพื่อเร่งหนีวิบากกรรม แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เกิดไปภพใด ชาติใด ให้ได้เป็นคนที่มีความเห็นที่ถูกต้อง สร้างความดีตลอดชีวิต จนกว่า บารมีเปี่ยมล้น เข้าถึงพระนิพพาน เป็นต้นครับ
เหมือนกรรมไม่ดีเป็นสุนัขไล่เนื้อ คอยวิ่งไล่เราตลอดเวลา ทีนี้พอมันไล่ทันเราขึ้นมา เราจะปล่อยให้มันกัดเราจนหมดแรงดี หรือว่า คอยหมั่นสร้างกรรมดี เหมือนคอยหาพาหนะเช่น รถยนต์คอยขับหนีมันไปดี หรือ ถ้ามีความสามารถหาจรวดมาได้ ก็ขับหนีออกไปนอกโลกเลย (สมมุติ หมายถึง พระนิพพาน) อย่างนี้ สุนัขจะไม่มีวันตามทันอีกตลอดกาล |
|
|
|
|
 |
I am
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2005, 3:45 pm |
  |
เจริญพรหมวิหาร ๔ เถิดครับ
และก็คิดว่าเราใช้เวรใช้กรรมอยู่
อดทนเถอะครับ
ความอดทนคืออะไร ?
ความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูก กระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาหรือ ไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่น เหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีคนเท อะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรก หรือของดีงามก็ ตามงานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงาน เล็กงานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัย ปัญญาเป็นตัวนำแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอัน หนึ่งเป็นพื้นฐาน จึงจะสำเร็จได้ คุณธรรมอันนั้น คือ ขันติ ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใด เลยสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรรมสำหรับทั้ง ต่อต้านความท้อถอยหดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้ เกิดความขยัน และทำให้เห็นอุปสรรคต่าง ๆ เป็นเครื่องท้าทาย ความสามารถ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุก ชิ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม คือ อนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้นโดยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"ยกเว้นปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าขันติเป็นคุณ ธรรมอย่างยิ่ง"
อานิสงส์การมีความอดทน
ทำให้กุศลธรรมทุกชนิดเจริญขึ้นได้
ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ทำให้ตัดรากเง่าแห่งความชั่วทั้งหลายได้
ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ทุกอิริยาบท
ชื่อว่าได้เครื่องประดับอันประเสริฐของนักปราชญ์
ทำให้ศีลและสมาธิตั้งมั่น
"บุคคลอดทนต่อคำของผู้สูงกว่าได้ เพราะความกลัว
อดทนถ้อยคำของผู้เสมอกันได้ เพราะเหตุแห่งความดี
ส่วนผู้ใดในโลกนี้ อดทนต่อคำขอของคนเลวกว่าได้
สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า ความอดทนนั้นสูงสุด"
http://www.firstbuddha.com/Pormwiha/porm.html |
|
|
|
|
 |
วิสัชชนา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ค.2005, 3:33 pm |
  |
คุณมาถูกทางแล้ว ทุกข์เกิดที่ใจต้องดับที่ใจให้เร็วที่สุด ใจจะไม่เป็นทุกข์อีก
จะเป็นกรรมเก่าหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเรามีชีวิตอยู่ในกาลปัจจุบัน |
|
|
|
|
 |
จันทร์งาม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.ค.2005, 11:46 am |
  |
...... ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาให้ความรู้ ข้อคิด แนวปฏิบัติ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แล้วชีวิตจะเป็นสุข ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ ......
|
|
|
|
|
 |
korn_2502
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2005, 12:04 pm |
  |
ความสุขหรือความทุกขืที่เราได้รับคนอื่นเขาไม่ได้นำมาให้เราอยู่ที่ตัวของเราที่จะกำหนดความสุขหรือให้กับตัวเอง ถ้าเราไปยึดถือว่าอันนั้นของเรา อันนี้ของเรา เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด ถ้าเรานึกอยู่เสมอว่าแม้ร่างกายที่เรายึดติดว่าเป็นของเรา ก้ยังไม่ใช่ของเรา เราก็จะพบแต่แสงสว่างแห่งธรรมได้ เรื่องของความรักนี่ก็เหมือนกันถ้าเราไปรักจนหลงก็จะทำให้เราทุกข์ใจได้ แต่ว่าถ้าเรารักแบบเมตตาก็จะทำให้เรามีความสุข และอิ่มเอิบใจมาก คุณคิดถูกแล้วที่หันหน้าเข้าหาธรรมะ ถ้าคุณหันหน้าไปทางอื่นก็อาจจะทำให้คุณทุกข์มากยิ่งกว่าเก่า ที่สามีของคุณไปติดพันธ์ผู้หญิงอื่นก็คงเป็นเพราะกรรมของเขาเหมือนกัน คือ กรรมที่ไม่สามารถให้ความอบอุ่นกับลูกเมียอย่างเต็มที่ได้
ร่างกายเราเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมกันเท่านั้น จึงรูป
ไม่ควรถือว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา และไม่ยึดถือว่านั่นของเรานั่นสามีของเรา เมื่อคุณปลงอย่างนี้ได้ความทุกข์ก็จะไม่สามรถที่จะเกิดขึ้นกับคุณได้ |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |