ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
18 มิ.ย.2005, 2:45 pm |
  |
อยากรู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง ของชีวิตฆราวาสครับ ไม่รู้ว่าสุขคือะไร แต่รู้ว่าทุกข์คืออะไร เพระประสบมาบ่อย และก็ผ่านไป และก็เข้ามาบ่อย วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด แต่ความสุขละ อะไรคือความสุข ตัวเองยังหาไม่เจอ เมื่อทำบุญ ทำทาน ก็รู้สึกสบายใจแต่ก็แค่แป๊ปเดียว เมื่อมีสิ่งดี ๆ เข้ามารู้สึกครับว่าสบายใจ แต่คิดว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง.....เพื่อน ๆ ชาวธรรมจักรช่วยแนะนำหน่อยสิครับว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง
การได้อยู่กับคนที่เรารักใช่ความสุขที่แท้จริง....หรือเปล่า
การได้อยู่กับครอบครัวใช่ความสุขที่แท้จริง....หรือเปล่า
การได้ในสิ่งที่ต้องการคือความสุขที่แท้จริง....หรือเปล่า
การได้เลื่อนขั้น คือความสุขที่แท้จริง....หรือเปล่า
ทั้งหมดนี้ถ้าเป็นจริงจะไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเฉย ๆ แล้วอะไรครับ คือความสุขที่แท้จริง
ปล. พี่ปุ๋ยช่วยไขข้อข้องใจด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง |
|
|
|
    |
 |
ชอบฟันจัง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 มิ.ย.2005, 8:59 pm |
  |
ความสุขที่แท้จริงของคุณคือตั้งคำถามวกไปวนมา สลับซับซ้อนเหลือหลาย มาถาม......ขอเตือนพวกชอบคิดสลับซับซ้อนทั้งหลาย สุดท้ายไปอยู่โรงบาลโรคจิต...ขอเตือน.... ระวังความคิด ......ส่วนความสุขของผม คือ เข้ามาตอบกะทู้นี้ไง (ขุดบ่อล่อปลา ป่ะ) |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 มิ.ย.2005, 10:09 pm |
  |
ชีวิตมนุษย์ทุกคนย่อมประกอบด้วยความทุกข์ครับ ซึ่งแบ่งได้กว้างๆ เป็นทุกข์ประจำ และทุกข์จร
ทุกข์ประจำ ก็คือ ทุกข์ที่ต้องมีประจำกันทุกคน ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หิว ปวดเมื่อยต่างๆ
ทุกข์จร ก็คือ ก็คือ ทุกข์ที่รับเข้ามานอกเหนือจากทุกข์ประจำ มีไม่เท่ากันในแต่ละคน ได้แก่ ทุกข์จากพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบใจ ทุกข์จากการประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ ทุกข์จากความไม่รู้จริงในเรื่องราวของชีวิต ฯลฯ
ความสุขแท้จริงแล้ว ก็คือ ความทุกข์ที่ลดลงไปนั่นเอง ดังนั้น สำหรับมนุษย์ทุกคนย่อมมีความสุขได้บ้าง ขึ้นกับว่า จะมีทุกข์ลดลงมากหรือน้อย แต่จะไม่มีใครมีความสุขที่แท้จริงไปได้ครับ ยกเว้นผู้นั้นจะได้เห็นธรรม เห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางดับทุกข์ครับ เมื่อนั้น จะไม่กลับเป็นทุกข์อีก ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ประจำ หรือทุกข์จร
ดังนั้น การได้อยู่กับคนรักย่อมไม่ใช่สุขที่แท้จริง เพราะมีรัก ก็ต้องมีพรัดพรากจากสิ่งที่รัก
มีครอบครัว ก็ย่อมมีพรัดพรากจากครอบครัว หรือประสบกับครอบครัวที่ไม่อยากอยู่ด้วยขึ้นมาอีกก็มี ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ไม่พอ เดี๋ยวก็พอ แล้วแสวงหาความต้องการใหม่ๆ ต่อไป เช่น อยากรวย พอรวย ก็อยากเป็นนายกฯ เป็นต้น ได้เลื่อนขั้นก็ไม่ได้ความสุขที่แท้จริง เพราะอยากได้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และกังวลว่าขั้นจะหลุดลอย ฯลฯ
ระดับของความสุข (ทุกข์ที่ลดลง) แบ่งได้ 3 ระดับ คือ
กามสุข สุขจากการแสวงหาเรื่อยไป ถ้าหาไม่ได้สมอยากก็เป็นทุกข์ ถ้าหาได้สมอยาก ก็สุขชั่วคราว แล้วก็เบื่อ หาสิ่งใหม่เรื่อยไป
ฌานสุข สุขจากการทำใจให้หยุดนิ่งภายใน ความสุขที่ไม่ต้องแสวงหานอกตัว แต่หาไปภายใจตัว สุขจากความสงบใจ สุขที่ประณีตกว่า ผู้รู้ได้ ต้องได้ลองปฏิบัติ
นิพพานสุข สุขจากฌาน ก็สงบได้ชั่วคราว ต่อเมื่อปฏิบัติมากเข้าๆ สะสมปัญญาบารมี และบารมีที่เหลือมากเข้า ก็จะกลายเป็นสุขเที่ยงแท้ครับ (เห็นเหตุแห่งทุกข์ แก้ไขเหตุนั้น แล้วไม่กลับเป็นทุกข์อีก)
|
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
19 มิ.ย.2005, 3:06 am |
  |
คุณAe
กระทู้ที่คุณตั้งขึ้น ไม่ว่าจะมีเจตนาเป็นอย่างไร แต่จะมายึดเอาการแสดงความคิดเห็นของคนคนเดียวที่ระบุชื่อมา ก็เห็นทีจะไม่เหมาะไม่ควร เท่าที่อ่านกระทู้และสังเกตการตอบกระทู้ของคุณ ก็ชัดเจนว่าคุณได้ศึกษาธรรมะมาพอสมควร
จากกระทู้...ถ้าใช้ชีวิตฆราวาสอย่างทั่วๆไปที่ไม่ได้สนใจปฏิบัติธรรม หรือศึกษาธรรมะไว้บ้างแล้ว ก็คงหลงเคลิบเคลิ้ม เพลิดเพลินประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวสุขอยู่อย่างนั้น ใช้ชีวิตโดยยึดเอาสิ่งประโลมโลกมาเป็นเครื่องดับทุกข์ บรรเทาทุกข์ เพื่อให้ได้รับความสุขชั่วประเดี๋ยว และไม่ได้เป็นไปอย่างมีสติสัมปัชัญญะ ก็แล้วแต่บุคคลต่างจิตต่างใจ แล้วแต่ความอยาก ความหนากิเลส
แต่ในทางกลับกัน ถ้าฆราวาสใช้ชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ตามตำราท่านว่าไว้ว่า สุขที่แท้จริงก็คือ นิพพาน แต่ก็เหมือนไปยัดเยียดอีก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนในโลก เข้าใจเหมือนกันหมด ต้องการเหมือนกันหมด อยากในเรื่องเดียวกันและไปถึงจุดหมายพร้อมๆกัน ทุกข์และสุขของผู้ปฏิบัติธรรม แต่ละท่านก็ยังแตกต่างกันไปตามระดับภูมิธรรม ตามปัญญาที่สามารถทำความเข้าใจได้ในตำราหรือแม้แต่สภาวะธรรมที่ตนเองประสบ ไปยังไม่ถึงไหนก็ว่ากันไปตามตำราก่อน
สรุปความคิดเห็นส่วนตัว...ความสุขที่แท้จริงคือการอยู่ทำหน้าที่ของมนุษย์ที่สมบูรณ์...เท่านั้น จะว่าไม่อยาก มันก็ยังเป็นความอยากในไม่อยาก อยากอะไร อยากพ้นทุกข์ไง ไม่อยากอะไร ก็ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดไง พอเข้าใจอะไรๆมันก็เป็นเพียงบัญญัติที่สมมติขึ้นเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับ เป็นนั่นเป็นนี่ ระดับนั้นระดับนี้ เรียกว่าอย่างนั้นเรียกว่าอย่างนี้ ไปถึงสภาวะธรรมนั้นๆ มันก็ไม่ได้มีป้ายมาแขวนคอว่าเป็นนั่นเป็นนี่ตามที่บัญญัติไว้ ทีนี้มันก็ไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นอะไร ปฏิบัติไปให้เข้าใจในสภาวะธรรมเป็นรอบๆไปตามกำลังสติปัญญาตนที่สามารถจะประพฤติปฏิบัติได้...เท่านั้น...
ไม่อยากก็อยากในไม่อยาก
บอกยังอยากก็อยากในไม่อยาก
ปากยังอยากก็อยากในไม่อยาก
ตกลงอยากหรือไม่อยากอยากยังอยาก
ต้องขออภัยหากตอบไม่ตรงกับคำตอบที่คุณต้องการ
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
ทิดแฉ่ง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 มิ.ย.2005, 5:59 am |
  |
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิกับ คุณปุ๋ย ยอดกัลยาณมิตร http://www.geocities.com/tipitakaonline/sanghapate.htp
เรื่องพระภัททิยะ
[๓๔๕] ครั้งนั้น ท่านพระภัททิยะไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี ย่อมเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระภัททิยะไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี ได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระภัททิยะฝืนใจประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่ต้องสงสัย หรือมิฉะนั้นก็ระลึกถึงสุขในราชสมบัติครั้งก่อนนั้นเอง ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุเธอจงมา จงเรียกภัททิยะภิกษุมาตามคำของเราว่า ท่านภัททิยะ พระศาสดารับสั่งหาท่าน ภิกษุนั้นรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว เข้าไปหาท่านพระภัททิยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ท่านภัททิยะ พระศาสดารับสั่งหาท่าน ฯ
[๓๔๖] ท่านพระภัททิยะรับคำของภิกษุนั้น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระภัททิยะนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภัททิยะ ข่าวว่าเธอไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี ได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ จริงหรือ
ภ. จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูกรภัททิยะ ก็เธอพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์อะไร ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี จึงได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ดังนี้
ภ. พระพุทธเจ้าข้า เมื่อก่อนข้าพระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
แม้ภายในพระราชวังก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างเรียบร้อย
แม้ภายนอกพระราชวังก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างเข้มแข็ง
แม้ภายในพระนครก็ได้จัดการรักษาไว้เรียบร้อย
แม้ภายนอกพระนครก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างแข็งแรง
แม้ภายในชนบทก็ได้จัดการรักษาไว้เรียบร้อย
แม้ภายนอกชนบทก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างมั่นคง พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้านั้น แม้เป็นผู้อันเขาทั้งหลายรักษาคุ้มครองแล้ว อย่างนี้ก็ยังกลัว ยังหวั่น ยังหวาด ยังสะดุ้งอยู่ แต่บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี ลำพังผู้เดียวก็ไม่กลัว ไม่หวั่น ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง ขวนขวายน้อย มีขนอันราบเรียบ เป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ ที่ผู้อื่นให้ มีใจดุจมฤคอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์นี้แล ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี ... จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้น ว่าดังนี้:-
อุทานคาถา
[๓๔๗] บุคคลใดไม่มีความโกรธภายในจิต และก้าวล่วงภพน้อยภพใหญ่มีประการเป็นอันมากเสียได้ เทวดาทั้งหลายไม่อาจเล็งเห็นวาระจิตของบุคคลนั้น ผู้ปลอดภัย มีสุข ไม่มีโศก ฯ
|
|
|
|
|
 |
ก้อนหินก้อนนั้น
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 มิ.ย.2005, 3:05 pm |
  |
:
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาถามเรื่องแบบนี้หนังสือที่อ่านอยู่ทุกวันไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจเลยหรอเห็นอ่านก่อนนอนทุกคืนถ้าปฎิบัติตามบ้างก็คงจะไม่มีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนพระที่ท่านปฎิบัติดีปฎิบัติชอบนะท่านก็เขียนไว้อย่างละเอียด แต่ถว่าอ่านอย่างเดียวคงช่วยอะไรไม่ได้ ก็เหมือนเห็นคนอื่นกินอาหารรสชาดอร่อยสุดๆที่เค้าประพรรณณาแต่ถว่าเราไม่ได้กินแล้วจะรู้รสตามที่เค้าบอกไม้ ส่วนเรื่องความทุกความสุขนั้นสำหรับผู่ที่ปฎิบัติธรรมอย่างคุณAeไม่น่าจะนำมาเป็นเรื่องที่สงสัยเลยเพราะว่า ความทุกกับความสุขจะไม่มีผลกับผู้ที่ปฏิบัติธรรมเลย อย่างที่คุณชอบพูดว่า สู้สึกถึงอารมณ์แต่ไม่เสวย นั้นแล เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ไปยึดตึด สุขก็ช่างทุกก็ช่างทำตัวตามสบาย มีสติทุกขณะจิต ไม่คิดฟุ้งส้านคุณก็จะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสบายๆไม่งั้นถ้าคิดมากๆก็รังแต่จะเป็นทุก
ปล. ผมว่าความทุกของคุณนาจะมาจากความคิดของคุณเองนะเอาเป็นว่าอย่าคิดมากละกันนะ
|
|
|
|
|
 |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
20 มิ.ย.2005, 9:44 am |
  |
ต้องกราบขอบพระคุณผู้ตอบกระทู้นี้เป็นอย่างสูงมากครับ โดยเฉพาะพี่ปุ๋ย ทิดแฉ่ง และคุณเกียรติ กัลยาณมิตรที่แสนดี ถึงแม้ว่าคำตอบนั้นมันก็เป็นแรงกระตุ้นให้ฉุกคิดว่า เราตั้งกระทู้นี้ไปเพียงเพื่ออยากจะรู้ ว่าท่านทั้งหลายที่เป็นสหายธรรมนั้นเขาคิดกันยังไงกับความสุขที่แท้จริงในเพศฆาราวาส ผู้ไม่รู้ย่อม.....ต้องเสาะแสวงหาคำตอบจากผู้อื่น... และต้องขอประทานโทษด้วยที่หลายท่านอาจจะแปลเจตนาในการตั้งกระทู้นี้ในทางอื่น แต่เจตนาจริง ๆ ของผู้ตั้งกระทู้นี้เองต้องการทราบจริง ๆ.....
ความสุขที่แท้จริงของคุณคือตั้งคำถามวกไปวนมา สลับซับซ้อนเหลือหลาย มาถาม......ขอเตือนพวกชอบคิดสลับซับซ้อนทั้งหลาย สุดท้ายไปอยู่โรงบาลโรคจิต...ขอเตือน.... ระวังความคิด ......ส่วนความสุขของผม คือ เข้ามาตอบกะทู้นี้ไง (ขุดบ่อล่อปลา ป่ะ)
....ขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคุณ ชอบฟันจัง...ที่ทำให้ผมรู้ว่า ขันติ คืออะไร......ในความคิดของผมนั้นคนเราจะทำอะไรสักอย่างต้องคิดก่อนทำเสมอ ตามหน้าที่ของจิตทั้ง 4 อย่างคือ รับ คิด รู้ จำ......รับก่อน แล้วมาคิดว่า ที่รับมานั้น เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อตัวเราโดยใช้ปัญญาในการคิดพิจารณาไตร่ตรอง หลังจากใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองแล้ว ก็กำหนดรู้ รู้แล้วก็เลือกจำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ครับ เมื่อจำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็พึงให้คนอื่นได้รู้โดยการถ่ายทอดครับ ในการตั้งกระทู้นี้ผมไคร่ครวญโดยใช้ กระบวนการของจิต พยายามให้ครบ ทั้ง 4 อย่าง แต่ผมไม่รู้ (คือ เหตุ)..............ต้องตั้งกระทู้ถามชาวธรรมจักร (เป็นผล).............
เสมือนเป็นการหว่านพืชลงไปในดิน เมล็ดพืชนี้ยังอ่อนมากไม่รู้อะไรเลย แต่เมื่อเราเติมน้ำ เติมปุ๋ยเข้าไป ต้นพืชยอมเจริญเติบโต แต่เมื่อน้ำนั้นปนเปื้อนด้วยสารพิษ (เปรียบเหมือนทุจริตวาจา) ต้นพืชนั้นจะเจริญเหรอ แต่ถ้าน้ำนั้นบริสุทธิ์และอุดมด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ (สุจริตวาจา) พืชนั้นย่อมเจริญเติบโตเป็นธรรมดา......
ส่วนความสุขของผม คือ เข้ามาตอบกะทู้นี้ไง (ขุดบ่อล่อปลา ป่ะ).....
อยากเรียนถามคุณ ชอบฟันจัง ว่าการที่คุณมีความสุขในการเข้ามาตอบกระทู้นั้นคุณได้ใช้กระบวนการของจิตหรือเปล่า หรือว่าสักแต่ว่าตอบโดยไม่ใช้ความคิด ถ้าไม่ใช้ความคิดระวังนะครับสมองจะปราศจากรอยหยัก ....สุดท้ายก็โรงพยาบาลประสาทเหมือนกัน
สำหรับคุณก่อนหินก้อนนั้นนะครับ ขอบคุณมากครับที่ให้ผมได้รู้ว่าขันติคืออะไรอีกเช่นกัน ก็เหมือนข้างต้นนะครับ ไม่รู้ถาม.....รู้จะถามทำไม มันเป็นเหตุและผลอยู่ในตัว ถูกต้องที่อยู่ที่การปฏิบัติ แต่การปฏิบัติต้องการผู้รู้เพื่อชี้แนะแนวทาง การที่เราอ่านหนังสือธรรมะก็ไม่ได้แสดงว่าเราจะรู้อะไรไปหมดเสียทุกอย่าง แต่เราก็ได้ซึมซับเอารสของพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันตเจ้าเข้าไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่คิดว่าการได้อ่านหนังสือธรรมะนั้น เมื่อใช้กระบวนการของจิต ( รับ คิด รู้ จำ ) เมื่อนำไปปฏิบัติหรือถ่ายทอด ย่อมมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เพราะบางท่าน ก็ไม่ได้จะหวังแค่ให้หลุดพ้น จากความทุกข์ หลุดพ้นจากวัฏสงสารเท่านั้น ปณิธานของบางท่านอาจจะอยากเกิดมาเพื่อเสวยทุกข์แทนสรรพสัตว์ เสมอเหมือนอย่าง พระโพธิสัตว์ครับ
หลายคำตอบ หลายความคิดเห็น ความคิดเห็นใดเป็นประโยชน์ผมก็จะใช้กระบวนการของจิตในการพิจารณา แต่ความคิดเห็นไหนไม่มีประโยชน์ (จากการไคร่ครวญโดยกระบวนการของจิต) ก็เข้าข่ายที่ว่า " พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสียโพธิสัตว์ "
" ขอสรรพสัตว์จงเป็นสุข ขอสรรพสัตว์จงพ้นทุกข์ด้วยเถิด " |
|
|
|
    |
 |
ก้อนหินก้อนนั้น
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 มิ.ย.2005, 1:31 pm |
  |
การที่เราอ่านหนังสือธรรมะก็ไม่ได้แสดงว่าเราจะรู้อะไรไปหมดเสียทุกอย่าง แต่เราก็ได้ซึมซับเอารสของพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันตเจ้าเข้าไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่คิดว่าการได้อ่านหนังสือธรรมะนั้น เมื่อใช้กระบวนการของจิต ( รับ คิด รู้ จำ ) เมื่อนำไปปฏิบัติหรือถ่ายทอด ย่อมมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เพราะบางท่าน ก็ไม่ได้จะหวังแค่ให้หลุดพ้น จากความทุกข์ หลุดพ้นจากวัฏสงสารเท่านั้น ปณิธานของบางท่านอาจจะอยากเกิดมาเพื่อเสวยทุกข์แทนสรรพสัตว์ เสมอเหมือนอย่าง พระโพธิสัตว์ครับ
ถึงคุณAe จากคำตอบของคุณก็แสดงให้เห็นว่าคุณทั้งอ่าน คิด จำ และที่สำคัญ "ปฏิบัติ" แล้วใยคุณจะยังมาค่องแวะกับความสุขในชีวิตฆราวาสว่าเป็นเช่นใดหนอ เพราะว่าผู้ที่มีภูมิธรรมระดับคุณนั้นไม่น่าจะมาสงสัยอะไรกับเรื่องพวกนี้เพราะทางที่ท่านปฏิบัติอยู่ก็น่าจะมีความสุขสงบอยู่พอสมควร แต่ทว่า ถ้าที่ท่านปฏิบัติอยู่นั้นแล้วยังไม่พบกันความสุกละก็อาจเป็นไปได้ว่าท่านกำลังฝืนจิตของตนอยู่โดยการบังคับให้จิตอยู่พายใต้อนุภาพของพระธรรมของพระพุธทเจ้า โดยที่จิตของท่านยังไม่พร้อมยังมีความต้องการกับสิ่งมัวเมาในโลกของความเป็นจริง ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งคุณทำตัวกับจิตของคุณให้อยู่ในสภาวะเดียวกันได้ก็คงจะพบความสุขอย่างแน่นอน และขั้นต่อไปก็คงจะพบกับความสุขที่ชาวพุธทแท้ปราถนานั้นก็คือความสุขทางธรรม ได้อย่างแน่นอน |
|
|
|
|
 |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
20 มิ.ย.2005, 2:03 pm |
  |
พอดีมีกัลยาณมิตร mail มาหา และอธิบายความสุขที่แท้จริง ซึ่งท่านพุทธทาสได้สอนไว้ว่า
ความสุขที่แท้...
ความสุขที่แท้จริง....
ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่กลับทำให้เงินเหลือ
ความสุขที่หลอกลวง...
ยิ่งต้องใช้เงินจนเงินไม่พอใช้
ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการทำงานด้วยความพอใจ
จนเกิดความสุขเมื่อกำลังทำงาน
ส่วน..."ความสุขที่หลอกลวง"นั้น
คนทำความพอใจให้แก่กิเลส ซึ่งไม่รู้จักอิ่มจักพอ
...เงินจึงไม่มีเหลือ
ขอกราบขอบพระคุณมาอย่างสูงครับ
และก็อยากให้ชาวธรรมจักร ได้ทราบครับ.....
ขอบคุณทุกคำตอบครับ |
|
|
|
    |
 |
Graffiti
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 มิ.ย.2005, 8:37 pm |
  |
ขอบคุณหลายๆ สำหรับความเห็นของคุณปุ๋ย ทิดแฉ่ง<ชอบเรื่องพระภัททิยะ เปล่งวาจา สุขหนอๆ > คุณก้อนหินก้อนนั้น
...อยากลอกรูปฟันมาไว้ในค.ห.นี้มั่ง...
...มีดอยู่กับหมอ ไว้ผ่าตัดช่วยชีวิตคน มีดเล่มเดียวกันนี้ไปอยู่กับโจรก็เอาไปใช้จ้วงแทงคนเท่านั้นเอง .....
พุทธธรรมะอยู่กับสุจริตชนจะพาให้โลกพลอยร่มเย็นไปด้วย
<แต่หากพุทธธรรมไปอยู่กับพาล มันจะนำธรรมะนั้นมาห้ำหั่นทำร้ายจิตใจ หมู่ชน>
...ดังนั้น...
Dear Ae, "...เราเป็นชาวพุทธยึดถือหลักของเหตุผล เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ" คุณได้ประกาศคติธรรมท้ายกะทู้ ไว้ว่า "รู้ทุกข์ รู้ธรรม
ใช้ ธรรมพ้นทุกข์ มีธรรมสงบสุข มีสุข เพราะมีธรรม" คุณโพสไว้ เมือ 2005-06-02 จำได้อ๊ะป่าว???
คุณประกาศคติพจน์ออกมาจากท้ายกระทู้ชัดเจนในเรื่องความสุข แลัวมาตั้งคำถามว่า ความสุข...คือไร แล้วยังมาบอกน้ำขุ่นๆว่าอยากรู้จิงๆ
(แถมพูดกำกวมตีขลุมอีกด้วยว่า ถามเผื่อคนอื่น แต่ในกะทู้ตั้งโจทย์เป็นเรื่องของคุณ)ใครจะเชื่อได้...ในเมื่อ... คำถามในกะทู้กับคำประกาศท้ายกะทู้
ขัดกันเองแบบหัวทิ่มหัวตำหกขเมนตีลังกา ออกอย่างนั้น...ป่าวนะ อิ อิ พ้มป่าวแก้งไคร<กรรมย่อมเป็นเครื่องชี้เจตนา>
การค้นข้อมูลเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วมาอ้าง ไม่เสียหายอะไรเพราะเก่าใหม่ก็ข้อมูล ข้อมูลเก่าเป็นฐานของข้อมูลใหม่ และข้อมูลใหม่ก็จะเป็นฐานของข้อมูลในอนาคต http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?category=dhammajak&no=2054
คุณเกียรติย่อมเป็นเกลอสุดเลิฟของคุณแน่นอนไร้ข้อกังขา
delete ชื่อ Ae นี้ออกไปจาก username list ส่วนตัวของคุณได้แล้ว เพราะว่าชื่อนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งความน่าเชื่อถือ สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน :ขอให้สัตว์ทั้งหลาย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย, จงเป็นผู้ดำรงค์ชีพอยู่เป็นสุข ทุกเมื่อเถิด  |
|
|
|
|
 |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
21 มิ.ย.2005, 10:05 am |
  |
สาธุชาวพุทธทั้งหลาย
มีดอยู่กับหมอ ไว้ผ่าตัดช่วยชีวิตคน มีดเล่มเดียวกันนี้ไปอยู่กับโจรก็เอาไปใช้จ้วงแทงคนเท่านั้นเอง .....
...............................ถ้ามีดอยู่กับ หมอ แล้วหมอเจตนาจ้วงคน..............................
...............................ถ้ามีดอยู่กับโจร แล้วไม่มีเจตาฆ่าคน....................................
Dear Ae, "...เราเป็นชาวพุทธยึดถือหลักของเหตุผล เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ" คุณได้ประกาศคติธรรมท้ายกะทู้ ไว้ว่า "รู้ทุกข์ รู้ธรรม
ใช้ ธรรมพ้นทุกข์ มีธรรมสงบสุข มีสุข เพราะมีธรรม" คุณโพสไว้ เมือ 2005-06-02 จำได้อ๊ะป่าว???
................................คติธรรม เป็นเพียง สมมติ ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นสรณะในการปฏิบัติ แต่เมื่อปฏิบัติไม่ได้ ไปไม่ถึง มีปัญหา ข้อกังขา ย่อมต้องเสาะแสวงหา ผู้รู้ เพื่อไขข้อใจให้กระจ่าง.............................................
คุณประกาศคติพจน์ออกมาจากท้ายกระทู้ชัดเจนในเรื่องความสุข แลัวมาตั้งคำถามว่า ความสุข...คือไร แล้วยังมาบอกน้ำขุ่นๆว่าอยากรู้จิงๆ
(แถมพูดกำกวมตีขลุมอีกด้วยว่า ถามเผื่อคนอื่น แต่ในกะทู้ตั้งโจทย์เป็นเรื่องของคุณ)ใครจะเชื่อได้...ในเมื่อ... คำถามในกะทู้กับคำประกาศท้ายกะทู้
ขัดกันเองแบบหัวทิ่มหัวตำหกขเมนตีลังกา ออกอย่างนั้น...ป่าวนะ อิ อิ พ้มป่าวแก้งไคร<กรรมย่อมเป็นเครื่องชี้เจตนา>
.................................................เจตนาในที่นี้คืออะไร.................................................
.........เหตุ (ไม่รู้)...................ผล (ถาม เพื่อให้รู้)..........................หรือ
.........เหตุ (ไม่รู้)...................ผล (ไม่รู้ ยิ่ง ขึ้นไป เพราะไม่ถาม หรือ ได้คำตอบที่มาจากการเข้าใจผิด).........................
.........วิญูชน ย่อมแสวงหาคำตอบที่ไม่รู้ ...............................
การค้นข้อมูลเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วมาอ้าง ไม่เสียหายอะไรเพราะเก่าใหม่ก็ข้อมูล ข้อมูลเก่าเป็นฐานของข้อมูลใหม่ และข้อมูลใหม่ก็จะเป็นฐานของข้อมูลในอนาคต
..................เกิดขึ้น............ตั้งอยู่................ดับไป
..................ไม่เที่ยง...........เป็นทุกข์............ไม่มีตัวตน (พยายาม ให้ถึง) แสดงว่ายังไม่ถึง ติดอยู่ ต้องการถาม คำตอบที่ได้จากการถาม ก็เป็นแบบที่หลายท่านตอบกระทู้นี้ครับ
คุณเกียรติย่อมเป็นเกลอสุดเลิฟของคุณแน่นอนไร้ข้อกังขา
เป็นพระคุณอย่างสูง
delete ชื่อ Ae นี้ออกไปจาก username list ส่วนตัวของคุณได้แล้ว เพราะว่าชื่อนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งความน่าเชื่อถือ สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน :ขอให้สัตว์ทั้งหลาย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย, จงเป็นผู้ดำรงค์ชีพอยู่เป็นสุข ทุกเมื่อเถิด
.............................ขอบพระคุณครับ ขอให้เหมือนกับสายน้ำที่ไม่ไหลกลับมา อีก ไปแล้วไปเลย ไม่กลับ............. การเข้ามาสนทนาในเวป ธรรมะ ก็เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ความรู้ และไขข้อปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่รู้ คนเราไม่ได้เกิดมาจะรู้ไปหมดซะทุกอย่างครับ และขอบคุณมาก ๆ ที่เสียสละเวลามาอ่าน และแสดงความคิดเห็น ถึงแม้คำตอบที่ได้นั้น มันแสดงถึง อัตตา ของคนที่ตอบก็ตาม (ความคิด ผมเอง) ..........ขอแผ่เมตตาให้กับ เพื่อน ๆ ที่เข้ามาตอบ ไม่ว่าจะเจตนาดี หรือไม่ก็ตาม.....
............เกิด ขึ้น...........ตั้งอยู่..............ดับไป..................
ตอนนี้ user name ชื่อนี้ กำลังเข้าขั้นที่ว่า จะดับไปแล้วครับ...............
ขอให้มันดับจาก สัญญา ของทุกท่านที่เคยอ่าน เคยตอบ เคยสนทนากับ user name นี้เถิด..
ไหน ๆ ก็จะไปแล้ว ขอฝาก คติ ธรรมที่จดจำมาจากหนังสือ เพื่อประโยชน์แก่ พุทธบริษัท ทั้งหลาย เพื่อยังประโยชน์ ไม่มากก็น้อยครับ
" การศึกษาธรรม ด้วยการอ่าน การฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็น ผลของการปฏิบัติ คือ ภูมิธรรม "
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
" ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่ แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลาย กล่าวว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่วิวาทโต้เถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา "
พุทธพจน์
จิตที่ส่งออกนอก................เป็นสมุหทัย
ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอก........เป็นทุกข์
จิตที่เห็นจิต.............เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต..........เป็นนิโรธ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ปัจฉิมลิขิต |
|
|
|
    |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
21 มิ.ย.2005, 10:39 am |
  |
กราบเรียนทุกท่านด้วยความเคารพ
การโพสแสดงความคิดเห็น หรือการโพสกระทู้ต่างๆไม่ว่าเวปบอร์ดไหนๆ ก็เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น ทีนี้ยิ่งเป็นบอร์ดเกี่ยวกับธรรมะแล้ว การแสดงความคิดเห็นก็ย่อมแตกต่างกันไปตามภูมิธรรมของแต่ละท่าน ตามความเข้าใจของแต่ละท่านดังที่กล่าวไปแล้ว
ทีนี้ในฐานะที่เราๆ ท่านๆ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ศึกษาธรรมะ ผู้ปฏิบัติธรรม ตรงนี้เราควรพิจารณาอารมณ์ที่เข้ามากระทบเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน ความคิดเห็นขัดแย้งกับเราอย่างไร หรือปล่อยให้อารมณ์กิเลสต่างๆเข้ามาครอบงำอยู่อย่างเดิม ทั้งพอใจ ไม่พอใจ น้อยใจ เสียใจ
ลองพิจารณาซิว่า เมื่ออารมณ์ใดมากระทบ ตรงนั้น ณ เวลานั้น ความรู้สึกเป็นอย่างไร อารมณ์เป็นอย่างไร เคยโกรธ แล้วเบาบางลงบ้างหรือเปล่า เคยไม่พอใจแล้วอารมณ์นั้นมันคงยึดติดอยู่นานหรือเปล่า หรือหนักกว่าเดิม หรือพิจารณาแล้วมันเกิดได้ มันก็ดับไป สลายไป หากพิจารณาได้ สงบราบเรียบ มีปัญญาผุดขึ้นมาให้คิดดี ทำดี พูดดี หรือเปล่า หรือยังคงหาคำโต้แย้งกันไปมาเพื่อความสะใจ เพื่อความเอาชนะ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ศึกษาธรรมะแล้ว ไม่นำมาปฏิบัติ ไม่นำมาพิจารณา
ปล่อยให้กิเลสครอบงำหนักกว่าเดิม ใครจะเป็นอย่างไร พิจารณาที่ตัวเรา มีสติก็ตัวเรา ทุกข์ก็ตัวเรา สุขก็ตัวเรา ลองพิจารณาอารมณ์กระทบนะคะ จะมีประโยชน์ก็ตัวเรา
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
มาดู
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
21 มิ.ย.2005, 11:35 am |
  |
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
21 มิ.ย.2005, 12:19 pm |
  |
โอะโอ๋ ไฉน กระทู้อะไรคือ ความสุขที่แท้จริง ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้หนอ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะตั้งอยู่ อะไรจะดับไป ก็ตาม ผมจะยังคงทำตามที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปี 2548 ณ วันที่ 1 มค 2548 ว่า จะขอบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการทุกวัน ไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียวให้ครบ 1 ปีให้ได้ (แล้วปีหน้าค่อยตั้งใจใหม่)
ซึ่ง 2 ข้อใน บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ ก็คือ การฟังธรรม และการแสดงธรรมครับ ผมเองก็ได้อาศัยเว็บนี้ สร้างบุญเรื่องการแสดงธรรมหลายๆ ต่อหลายครั้ง ขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของเว็บด้วยนะครับ ถือว่า มีส่วนสนับสนุนทำให้ความตั้งใจของผมสำเร็จมา 172 วันแล้วครับ เหลืออีกแค่ 193 วันเท่านั้น ก็จะครบ 1 ปี
อ้อ ถึงแม้ผมจะใช้ศัพท์ว่า แสดงธรรม ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมมีภูมิรู้ภูมิธรรมสูงส่งอะไรแต่อย่างไรนะครับ เพราะผมถือตลอดว่าเป็นการถ่ายทอดธรรมะที่ทรงจำมาจากครูบาอาจารย์ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เบื้องต้นส่วนหนึ่งของตนเองกับผู้อื่นมากกว่า จริงๆแล้ว ก็ไม่อยากใช้คำว่า แสดงธรรม แต่เป็นเพราะศัพท์คำว่า แสดงธรรม เป็นไปตามหัวข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการเท่านั้นเอง จึงต้องใช้คำนี้ครับ |
|
|
|
|
 |
ก้อนหินก้อนนั้น
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
21 มิ.ย.2005, 2:37 pm |
  |
เชื่อแล้วว่าคุณอ่ามมามากจริงๆๆๆตั้งกระทู้เองและก็ตอบเอง................ถึงแม้ว่าที่ตอบมาจะไม่เคยมีความคิดที่เกิดจากคุณเลยก็ตาม.............. |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
21 มิ.ย.2005, 5:00 pm |
  |
คุณก้อนหินก้อนนั้น กำลังคุยกับผมอยู่หรือครับ ถ้าใช่ล่ะก็ ถูกต้องแล้วล่ะครับ มนุษย์ทุกคนในโลก ไม่เคยมีใครรู้อะไรได้ด้วยตัวเอง (ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ทุกคนเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น ลองสังเกตุดูนะครับ ตั้งแต่เกิดมา เรามีความรู้อะไรบ้าง ที่รู้ด้วยตัวเองโดยไม่ได้จาก
ทิศเบื้องหน้า พ่อแม่
ทิศเบื้องขวา ครูอาจารย์
ทิศเบื้องบน สมณะ
ทิศเบื้องซ้าย เพื่อนๆ
จะเห็นว่า ไม่มีเลยครับ เราได้ความรู้ทุกอย่างจากครูทั้งสิ้น บางคนอาจจะแย้งว่า มีหลายๆ อย่างผมคิดได้ด้วยตัวเอง ตอบว่า ไม่ใช่ครับ แต่คิดได้ด้วยพื้นฐานความรู้จากครูต่างหาก หลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ท่านยังพูดจับใจผมว่า
สมัยตอนที่ท่านเป็นนักเรียนฟุตบอลของโรงเรียน เวลาที่นักบอลยิงประตูเข้าโกล์ได้ นักฟุตบอลจะไหว้ไปที่โค้ชก่อน แล้วก็ไหว้ขอบคุณไปที่คนดูว่า ทุกคนมีส่วนสนับสนุนในประตูนี้ของเขา แต่นักฟุตบอลปัจจุบันพอยิงประตูได้ ก็ชูมือเหนือฟ้าว่าตนเองเก่งเหลือเกิน ซึ่งถ้าไม่มีครูเขาก็ไม่มีวันนี้หรอก
จงนึกถึงพระคุณของครูให้มากๆ ครับ อ้อ แต่ผมไม่รู้จักกับคุณ Ae หรอกนะครับ ดังนั้น จึงไม่ได้ถามเองตอบเองครับ เพราะจะผิดศีลข้อ 4 ซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการที่ผมปฏิบัติอยู่ครับ
|
|
|
|
|
 |
ก้อนหินก้อนนั้น
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2005, 10:51 pm |
  |
ขอประทานโทษนะครับที่ทำให้คุณ เกียรติ เกิดความสับสนด้วยอันที่จริงแล้วผมไม่ได้ปล่อยให้แม้เพียงเสี้ยวของสภาวะจิตไปข้องเกี่ยวกับคุณเลย ที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ก็เพื่อคุณ Ae ดังนั้นขอให้ทราบว่าที่เคยเขียนไปทั้งหมดนั้นเพื่อเจ้าของกระทู้หวังว่าคุณคงจะอภัย
และที่เขียนไปในกระทู้นั้นไม่ได้มีเจตนาเป็นที่หมายความว่าให้รู้ด้วยตนเองแต่สำหรับบางคนรู้มากแต่ไม่ลงมือทำก็แค่นั้นทำให้ผู้ที่สอนเหนื่อยเปล่า ก็มีให้เห็นอยู่ดาดดื่นที่พระระดับสูงๆทำผิดเสียเองทั้งที่รู้มากๆแต่ปัญหาอยู่ที่ได้แต่รู้ไม่ปฏิบัติก็เลยเป็นอย่างทุกวันนี้
ส่วนคุณที่กำลังปฏิบัติอยู่ผมก็ขออนุโมทนาด้วยในความเพียรในธรรมของคุณ
|
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 มิ.ย.2005, 7:20 am |
  |
|
|
 |
ติ๊ก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ก.ค.2005, 4:24 pm |
  |
ดิฉันคิดว่าไม่แปลกที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ จะไม่ทราบว่าความสุขที่แท้จริงของชีวิตคืออะไรนะคะ และก็ไม่แปลกอีก ที่คนที่ตอบคำถามจะตอบไม่ถูก แต่อย่างน้อยทุกคนในห้องนี้ก็ใส่ใจที่จะตอบคำถามของคุณนะคะ อย่าใช้คำพูดเสียดสีกันเลยค่ะ เพราะทุกคนที่เข้ามาเปิดกระทู้ของคุณดูเพราะเค้าก็อยากทราบเช่นเดียวกันว่าจริงๆแล้วชีวิตของเราต้องการอะไรกันแน่ หลายคนบอกดิฉันว่าความสุขอยู่ที่ความเพียงพอ อยู่ที่ความสงบ แต่ดิฉันก็ยังไม่หายกังขาในตัวดิฉันไม่ได้ว่า ทำไงดิฉันถึงจะมีจิตใจที่สงบและเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งปวง กรรมฐานช่วยได้จริงเป่าค่ะ
.....ขอบคุณที่รับฟังความเห็นค่ะ |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ก.ค.2005, 7:46 pm |
  |
ใช่แล้วครับ คุณติ๊ก แสดงความเห็นได้ชอบแล้วครับ ส่วนที่คุณติ๊กกังขา ก็เป็นความกังขาที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วครับ เปรียบเสมือนที่คนที่เดินอยู่ในหนทางที่เป็นที่มืด กำลังไม่มั่นใจในหนทางที่เดินไป พอได้ยินเสียงออกมาจากที่ไกลๆ หน่อยว่า มาทางนี้สิ ทางนี้สว่างแล้ว เขาย่อมมั่นใจมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่อาจมั่นใจได้เต็ม 100
เพราะว่า หนทางรอบๆ เขายังมืดอยู่ ต่อเมื่อเขาได้จุดเทียนให้สว่างขึ้น หรือ จุดตะเกียงให้สว่างขึ้น ความมั่นใจของเขาจะเพิ่มมากขึ้นเป็นทับทวี ว่าทิศทางที่บอกว่านั้นถูกหรือผิด เช่นเดียวกับการปฏิบัติตัวในพระพุทธศาสนา ถ้าได้ศึกษาความรู้ต่างๆ ในพระพุทธศาสนาเพิ่มเติม จนกว่าปัญญาไปทีขั้น แสงสว่างแห่งปัญญาก็จะนำทางไปสู่จุดหมายไปทางได้ในที่สุด
ดังผู้ที่ซาบซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงได้อุปมาไว้ครับ ว่าแจ่มแจ้งจริงๆ เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง และจุดประทีปในที่มืดครับ |
|
|
|
|
 |
|