|
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
หน้า ๒ |
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองนี้ได้สำเร็จ
แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเอง ได้ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น
มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องแสวงหา
แม้แต่อย่างใดเลย
จิต ของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก
ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ
ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราจะได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป
มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่า
เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย
เพราะเหตุที่สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ
เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้นมันเป็นครรภ์
หรือเป็นกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย
ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ
เพื่อสะดวกในการพูดเราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัว สติ ปัญญา
แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมคือ ไม่ได้เป็นตัวสติ
ปัญญาที่คิดนึก หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึง
ในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่หรือไม่ใช่ความมีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ
ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น
มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู
จมูก ลิ้น กาย และมโนทวารอยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้
เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไรในขณะนั้น
พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง
ดังนั้นเราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
มูลธาตุทั้ง 5 ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้นมันเป็นของว่างเปล่า
และมูลธาตุทั้ง 4 ของรูปกายนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา
จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการมาหรืออาการไป
ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้น เป็นสิ่งๆ หนึ่งซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด
และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตายแต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด
และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด
จิต ของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ
เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้ง
เห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป
เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว
เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิงและเป็นสิ่งๆ
เดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้บรรลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป
ฉะนั้นนี่แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้
สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ
ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้วของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
ปรัชญา คือ ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือ จิตต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ
คือ จิตและวัตถุเป็นของสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกันนั้นแหละ
จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งและลึกลับเหนือคำพูด
และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจจธรรมที่แท้จริงโดยตัวเราเอง
สัจจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเราแม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดด้วยอวิชชา
และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่ง
ภูตตถตา ในธรรมชาตินี้ ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฏฐิ
มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น
เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น
ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรมจะเป็นสิ่งซึ่งอยู่นอกความว่างนั้นได้อย่างไร
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้น เป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ
แห่งการกินเนื้อที่ คือ ปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม และปราศจากสัมมาทิฏฐิ
พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าโดยแท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย
ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธ ทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น
ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ
หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด
มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิเป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ
เราต้องแยกรูปถอดด้วย วิชชา มรรค จิต เหตุต้องละ ผลต้องละ
ใช้หนี้ก็หมดพ้นเหตุเกิด
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมีรูปกับนามสองอย่างเท่านั้น
นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาลเข้าคู่กันเป็นเหตุเกิด
ตัวอวิชชาเกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูปที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นต้องมีรูป
รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิด ปฏิกิริยาให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล
และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน
จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย
รูปเคลื่อนไหวได้ต้องมีนาม ความว่างกั้นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิตและไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์เกิดดับสืบต่อทุกขณะจิต
ไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้ จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล
มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามที่มีชีวิตมาเป็นรูปนามที่ไม่มีชีวิต
ที่มีจิตวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน
คงเหลือแต่นามว่างที่ปราศจากรูป นี้เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงรูปนาม
ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิดรูปนามพิภพต่างๆ
ตลอดทั้งดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนาม
พิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดรูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิดรูปนามสัตว์เคลื่อนไหวได้
จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ความจริงรูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้
เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว
ให้เคลื่อนไหวตลอดกาลและมีการเปลี่ยนแปลง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น
จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์
เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิดจิตวิญญาณ
การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม
|
|
 |
หน้า ๑
l ๒ l ๓ |
 |
|
|