สันโดษ คือ ความยินดี ความพอใจ
ถ้าเป็นฝ่ายนักบวชก็หมายถึงความยินดี และพอใจในปัจจัย
๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
เป็นต้น
ถ้าเป็นฝ่ายชาวบ้าน ก็หมายถึงความยินดี และพอใจในทรัพย์สินของตน
พอใจในภรรยาหรือสามีของตน พอใจในหน้าที่การงานของตน
เป็นต้น
สันโดษ แยกออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
ยถาลาภสันโดษ ยถาพลสันโดษ ยถาสารุปสันโดษ
ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือ ได้สิ่งใดมา
ด้วยความเพียรของตน ก็มีความพอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่เดือนร้อน
เพราะของที่ไม่ได้ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น ไม่ริษยาเขา
เป็นต้น
ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลัง คือ พอใจเพียงแต่พอแก่กำลังร่างกาย
สุขภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตนของที่ที่เกิดกำลังก็ไม่หวงแหนเสียดาย
ไม่เก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน เป็นต้น
ยถาสารุปสันโดษ ยินดีตามสมควร คือ
พอใจตามที่สมควร แก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน
เช่น ภิกษุพอใจแต่ของอันเหมาะกับสมณภาวะ หรือได้ของใช้ที่ไม่เหมาะกับตน
แต่จะมีประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็นำไปมอบให้แก่เขา เป็นต้น
คำอธิบายความหมายของสันโดษ นำมาจากหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมวลศัพท์ ของท่านอาจารย์พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์
ปยุตฺโต) ขอกราบขอบพระคุณ ในเมตตาจิตที่กรุณาให้มาหลายเล่ม
(หนังสือเล่มนี้ ช่วยเป็นดวงตาและแสงสว่าง ให้ผู้เขียนได้ศึกษาธรรม
ปฏิบัติธรรม พูดและเขียนอย่างถูกต้อง และรวมเร็วยิ่งขึ้นเป็นอันมาก
ชาวพุทธที่สนใจการศึกษาและปฏิบัติธรรมะ ควรมีไว้เป็นคู่มืออย่างยิ่ง)
คำว่าสันโดษนั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่เอาอะไรเลย หรือจนอยูอย่างไร
ก็พอใจในความจนอยู่อย่างนั้น ไม่คิดที่จะหาทาง ให้มีกินมีใช้หรือให้เหลือกินเหลือใช้
ในเมื่อมีทางที่จะทำได้
แต่หมายถึงว่า มีมากก็พอใจมาก มีน้อยก็พอใจน้อย และสิ่งที่มีนั้นจะต้องได้มาด้วยความสุจริต
และชอบธรรม ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อี่น
ข้อที่ควรจะทำความเข้าใจกันต่อไปก็คือ เมื่อจนอยู่ก็พอใจในความจน
ยอมรับความจน แต่จะต้องพยายามหรือขวนขวาย ให้พ้นจากความจนด้วย
เพราะขึ้นชื่อว่าความจนแล้ว มันก็เป็นต้นเหตุของความทุกข์แขนงหนึ่งด้วย
ถ้าพอใจในความจน และไม่หาทางยกฐานะขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้
ความสันโดษนั้น ก็มี ตัวขี้เกียจ
แอบแฝงอยู่ด้วย
สันโดษคำนี้ มักมีผู้เข้าใจผิด ๆ กันอยู่มาก คือเข้าใจว่า
เป็นข้ออ้างของคนขี้เกียจ เมื่อขี้เกียจทำการงาน ก็อ้างว่ามีความสันโดษแล้วยังแถมพ่วงเอา
มักน้อย ติดเข้าไปด้วย
ที่เข้าใจผิดไปมากกว่านั้นก็คือ เห็นว่าเพราะคนไทยถือสันโดษ
ตามหลักพระพุทธศาสนา เมืองไทยจึงไม่พัฒนา ไม่เหมือนต่างประเทศเขา
ว่าเข้านั้นเหลิงเจิ้งออกไปไกลเลย
ความจริง คำว่าสันโดษนั้น ใช้ได้ทั้งชาววัด และชาวบ้านใครมีหรือปฏิบัติได้
ก็จะไม่เป็นโรคเส้นประสาทไม่หากินทางทุจริตแน่
ส่วนคำว่า มักน้อย ที่ตรงกับภาษาพระว่า
อัปปิจฉะ หรือ อัปปิจฉตา
ความเป็นผู้มักน้อยนั้น ท่านสอนเฉพาะนักบวชเท่านั้น
เป็นคนละขั้นตอนกับสันโดษ
มันน้อยนั้น หมายถึงว่า มีของมากแต่ใช้น้อย ๆ เช่น มักน้อยในไตรจีวร
ก็ใช้ผ้าเพียง ๓ ผืน คือ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และผ้าซ้อนนอก
(สังฆาฏิ) เท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ยอมใช้ เป็นต้น ขอให้คำจำกัดความอีกครั้งว่า
สันโดษ คือ ได้เท่าไรพอใจเท่านั้น ได้มากพอใจมาก ได้น้อยก็พอใจน้อย
ส่วนมักน้อยนั้น ได้มากก็ใช้น้อย ได้น้อยก็ใช้น้อย ต่างกันชัด
ๆ อย่างนี้
ดังนั้น มักน้อยจึงนำมาใช้กับชาวบ้านไม่ได้ เพราะชาวบ้านจะต้องสะสม
และหาให้มาก ๆ เข้าไว้
คนที่ขาดสันโดษ เป็นคนอาภัพน่าสงสาร เป็นคนที่หาความสุขในชีวิตได้ยาก
เพราะมีเงินมีข้าวของมากมาย ก็ไม่พอใจไม่ยินดี ความพอใจหรือยินดี
มันกระโดดไปอยู่กับของคนอื่น หรือของที่ยังไม่ได้มาเป็นของเรา
เช่น
- ไม่พอใจ ไม่ยินดี ในพ่อแม่ของตน แต่ไปชื่นชมพอใจและยินดีในพ่อแม่ของคนอื่น
- ไม่พอใจ ไม่ยินดี ในหน้าที่การงานของตน แต่ไปชื่นชมพอใจและยินดี
ในหน้าที่การงานของคนอื่น
- ไม่พอใจ ไม่ยินดี ในภรรยาหรือสามีของตน แต่ไปชื่นชมพอใจและยินดี
ในภรรยาหรือสามีของคนอื่น
- ไม่พอใจ ไม่ยินดี ในทรัพย์สินของตน แต่ไปชื่นชมพอใจและยินดี
ในทรัพย์สินของคนอื่น
......
คนที่คิดยินดีและพอใจทำนองนี้ โปรดเข้าใจว่า ท่านกำลังเริ่มสะสม
และเพราะเชื้อของ มะเร็งในอารมณ์ แล้ว
โดยไม่รู้ตัว
ทางแก้
๑. ศึกษาให้เข้าใจความหมายของสันโดษ อย่างถูกต้อง แล้วปฏิบัติให้ได้
ชีวิตจะประสบความสุข
๒. จงควบคุมตัณหา คือ ความอยาก ให้อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมเถิด
แล้วสันโดษก็จะเกิดตามมา
๓. คนมีสันโดษเป็นคนโชคดี ได้หรือมีอะไร ก็พอใจและยินดีไปหมด
ทำให้กินได้นอนหลับสบาย
๔. ให้ระวังตัวขี้เกียจ มันจะแทรกมากับสันโดษ ขอให้เข้าใจว่า
สันโดษไม่ใช่ขี้เกียจ และขี้เกียจก็ไม่ใช่สันโดษ
๕. ขอฝากคติของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐมว่า
รู้จักพอ
ก่อสุขทุกสถาน