เรื่องของผัว-เมีย
เป็นเรื่องธรรมดา ของผู้ที่ครองเรือนจะต้องมี พระอริยะ
๒ พวกแรก คือพระโสดาและพระสกิทาคา ก็ยังอยู่ครองเรือนได้
ถ้าผัว-เมียทั่วไป
มีกัลยาศีล และกัลยาธรรม คือ ศีล ๕ และธรรม ๕ แล้ว ครอบครัวนั้น
ก็ย่อมมีความสุขตามโลกีย์วิสัย ไม่มีปัญหาให้ผู้เขียน
ต้องนำมาดับกันในที่นี้
แต่ที่จะเขียนต่อไปนี้
หมายถึงผัว-เมียที่อยู่ด้วยกันแล้วเกิดมีความทุกข์ขึ้น
จึงต้องหาทางแก้ และการแก้ในที่นี้ ก็จะแก้ที่กรรมปัจจุบัน
ไม่พูดถึงกรรมในอดีต เพราะแก้ไม่ได้
ตามธรรมดาปุถุชนเต็มขั้น
ย่อมจะต้องมีดีบ้างชั่วบ้าง ปะปนกันไปมากบ้างน้อยบ้าง
การกระทบหรือขัดใจกัน จึงต้องมีเป็นธรรมดาของ "ลิ้นกับฟัน"
คำของคนในอดีตจึงว่า
อยู่คนเดียว ให้ระวังความคิด
อยู่กับมิตร ให้ระวังวาจา
ผัว-เมีย
ที่จะอยู่ด้วยกัน อย่างมีความสุข หรือมีความทุกข์นั้น
ขึ้นอยู่กับเหตุ ๒ ประการ คือ เสน่ย์ กับ เสนียด
-
เสน่ย์ คือ มีสื่อที่ทำให้ผัวหรือเมียรัก เช่น
พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน พูดจริง พูดในสิ่งที่ควรพูด เป็นต้น
การแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ ขยันในกิจการบ้านเรือน
หรือหน้าที่ของตน
ถ้าเป็นหญิง
ก็ต้องทำกับข้าว จัดเสื้อผ้า และบ้านเรือนน่าอยู่ น่านอน
น่านั่ง ไม่หึงหวงจนเกินเหตุ ไม่ทำใจคับแคบ ไม่กีดกันญาติหรือเพื่อนของผัว
เคารพ เกรงใจซึ่งกันและกัน ไม่นอกใจผัว รู้จักใช้จาย
เป็นต้น
ถ้าเป็นชาย
ก็ต้องขยันทำงาน ละสิ่งเสพติดต่าง ๆ ทำตัวเป็นผัวที่ดี
เป็นพ่อที่ดีของลูก ไม่นอกใจเมีย เป็นต้น
ทั้งหญิงและชาย
ควรศึกษาจิตใจของกันและกัน และพยายามถนอมน้ำใจกัน เป็นคนมีเหตุผล
อย่าตามใจตน ก็ย่อมจะอยู่ด้วยกันยืดยาว และมีความสุขร่วมกัน
การอยู่ร่วมกันนาน
ๆ แต่มีเรื่องขัดใจกัน จะพูดจะทำอะไรก็เอาลูกเป็นสื่อ
นอนหันหลังให้กัน หรือแยกกันนอน มันจะมีความสุขได้อย่างไร
?
-
เสนียด คือ มีแต่จัญไร และอัปมงคล พบกันก็มีแต่บ่นหรือด่า
ฝ่ายที่ถูกบ่นหรือด่า ก็ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากเข้าบ้าน
ก็ต้องไปหาบ้านอยู่ใหม่ ถ้ามีลูกด้วยกันก็มีปัญหามาก
ขอให้มั่นใจเถิดว่า
เมื่อมีปัญหาหรือความทุกข์เกิดขึ้น จะต้องมีการปฏิบัติผิด
กฎของศีลและธรรม เกิดขึ้นแล้ว ไม่ฝ่ายผัวก็เมียหรือไม่ก็ทั้งสองฝ่าย
วิธีปฏิบัติ
ขั้นแรก
ควรสำรวจตนเองก่อน ว่าเหตุที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากอะไร
? ใครเป็นคนก่อ ? ถ้าเกิดจากเรา ก็จงยอมรับและรีบตัดสินใจแก้ในทันที
ถ้าปัญหานั้น
เกี่ยวโยงถึงอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ให้ปรึกษาหารือ ให้อยู่บนฐานแห่งความเป็นจริง
แล้วร่วมกันแก้ ถ้าแก้ไม่ได้ ก็อาจปรึกษาท่านผู้รู้ต่อไป
อุปสรรคสำคัญ
ที่ทำให้ผัวเมียต้องแยกกัน หรืออยู่ด้วยกันอย่างไร้ความสุข
ก็คือ ทิฐิมานะ ดื้นรั้น เห็นแก่ตัวจัดจนขนาดเมตตา คือ
ความรักและปรารถนาดีต่อกัน
อีกประการหนึ่ง
คือ การขาดความรับผิด จะรับแต่ชอบอย่างเดียว มักจะโทษว่าคนอื่นผิดเสมอ
เมื่อตัวทำผิดก็ไม่รับ และปกปิด ถ้าคนอื่นทำผิดแม้เล็กน้อย
ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่โต และจะนำมาพูดกระทบ ไม่รู้จักจบสิ้น
อันปุถุชนเดินดินนั้น
ที่จะทำอะไรไม่ผิดเลยนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะไม่ทำอะไรเลย
และการไม่ทำอะไรเลยนั้น ก็เป็นความผิดอีก คือ ผิดที่ไม่ทำ
อันวิสัยของคนดีนั้น
เมื่อทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับ และยอมรับไขไม่ให้เกิดผิดซ้ำอีก
คนที่ทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับ เป็นคนสุขภาพจิตเสื่อม อยู่ที่ไหน
? กับใคร ? ก็เดือดร้อนที่นั่น คือ เมื่อเกิดความผิดขึ้น
ก็จะป้ายไปให้ผู้อื่น เมื่อเกิดความดีก็จะรีบรับเอาเสียเอง
ไม่ว่าจะชอบธรรม หรือไม่ก็ตาม
คนประเภทนี้
มีอยู่ในครอบครัวใด ครอบครัวนั้นก็หาความสันติสุขได้ยาก
ดังนั้น
ผัวเมียคู่ใด ต้องการความสุขในการครองเรือนร่วมกัน ควรปลูกฝังคุณธรรม
ในการครองเรือน ให้มีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ชีวิตสมรสย่อมจะเดินไปตามทาง
ที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างแท้จริง
ทางแก้
ควรให้หลักธรรม
๓ ชุด คือ มีศีล ๕, ละเว้นอบายมุข และมีฆราวาสธรรมอีก
๔ ข้อ คือ
-
ชุดศีล ๕ และธรรม ๕ ควรฝึกทำให้ได้
๑.
ไม่ฆ่าสัตว์ (รวมทั้งคนด้วย) และมีเมตตา
๒.
ไม่ลักทรัพย์ และมีสัมมาชีพ
๓.
ไม่ผิดผัว-เมียคนอื่น และมีสทารสันโดษ คือการยินดีและพอใจในคู่ครองของตนเท่านั้น
หรือมีกามสังวร
๔.
ไม่พูดเท็จ และมีสัจจะ
๕.
ไม่ดื่มสุรา และมีสติไม่ประมาท
-
ชุดอบายมุข ๖ ต้องเว้นให้ขาด
๑.
การดื่มน้ำเมา
๒.
การเป็นคนเจ้าชู้
๓.
การเล่นการพนัน
๔.
การเที่ยวเตร่
๕.
การคบคนชั่ว
๖.
ความเกียจคร้าน
-
ฆราวาสธรรม ๔ ควรมีประจำ
๑.
สัจจะ สัตย์ซื่อและจริงใจต่อกัน
๒.
ทมะ ฝึกฝนปรับหรุงตนให้ดีขึ้น
๓.
ขันติ อดทนและอดกลั้นทุกสิ่ง
๔.
จาคะ แบ่งปันและสละมะเร็งในอารมณ์
ถ้าครอบครัวใด
ทั้งผัวและเมีย ปฏิบัติธรรมเพียง ๓ ชุดเท่านี้ ขอรับรองว่าต้องมีความสุข
ตามวิสัยของกัลญาณปุถุชนอย่างแน่นอน
โปรดลองสำรวจดูสิว่า
ท่านปฏิบัติบกพร่อง ในศีลและธรรม ๓ ชุดนี้บ้างไหม ?
หรือสิ่งเหล่านี้ ไม่เป็นปัญหาให้ท่านต้องทุกข์ก็ขอผ่านไป
ยังมีจุดที่เป็นปัญหาให้เกิดทุกข์ได้อีก คือ
๑.
การจู้จี้ พูดมาก ขี้บ่น ข้อนี้ส่วนมากเป็นแก่แม่บ้าน
ส่วนพ่อบ้านก็มีบ้างแต่น้อย ต้นเหตุเพราะ คนในบ้านไม่ให้ความร่วมมืออะไร
ๆ จึงมาตกแก่แม่บ้านหมด ทั้งงานนอกงานใน ขี้เยี่ยวไม่ออกก็แม่บ้านคนเดียว
ถ้า "ทำใจ" คือวางและปลงไม่ได้
โรคประสาทก็จะมาเยือนอย่างแน่นอน
ทางแก้
ทั้งพ่อบ้าน แม่บ้านและลูกบ้าน ควรร่วมมือกัน อะไรพอทำได้ก็ควรช่วยกัน
และแม่บ้านที่ฉลาด ก็ไม่ควรจะผูกขาดงานในบ้านเสียคนเดียว
ใคร ๆ ทำให้ก็ไม่ถูกใจ ควรฝึกให้ลูกๆ ขยันและช่วยตัวเองให้มาก
๒.
การเอาแต่ใจผัว คือ ชอบทำอะไรเผด็จการ ไม่ปรึกษาหารือกันก่อน
ผัวเมียแม้มีสองร่าง (ตัว) แต่ควรมีหัวใจเดียวกัน บ้านจึงจะสันติสุข
ควรเป็นคนมีเหตุผล อย่าทำอะไรตามทาสของอารมณ์แม้ว่าการทำเช่นนั้น
จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกก็จริง แต่ต้องนอนหันหลังให้กัน
มันจะมีความสุขทั้งกายและใจได้อย่างไร ?
ทางแก้
ควรควบคุมอารมณ์ ก่อนทำหรือพูดควรมีสติ และปัญญากำกับด้วย
เราไม่ชอบสิ่งใด ก็ไม่ควรทำหรือพูดสิ่งนั้น ควรลดทิฐิ
มานะ และอุปาทานให้มาก เอาเหตุผลและความถูกต้องเป็นแนวทาง
๓.
ควรมัสนโดษ คือ พอใจสิ่งที่มี และยินดีในสิ่งที่ได้
อย่าเทียบฐานะกันคนที่เหนือกว่า ถ้าจะเทียบก็ควรเทียบกับคนที่ด้วยกว่า
แล้วใจจะเป็นสุข
๔.
ครอบครัวแสนสุข คือ ทั้งพ่อแม่และลูก
ควรอยู่ศีลธรรมทางศาสนา มีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และผู้มีพระคุณ
๕.
การหย่าร้าง เมื่อมีความจำเป็นต้องแยกกัน
ควรระลึกถึงลูก ๆ ให้มาก การมีพ่อขาดแม่ การมีแม่ขาดพ่อ
หรือการอยู่กับพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยงนั้น ยากนักที่ลูกๆ
จะได้รับความรักและความอบอุ่น มักจะเป็นเด็กที่มีปัญหาแก่สังคม
อย่าได้ทิ้งเวรกรรมไว้กับลูกเล็ก ๆ เลย เขายังอ่อนต่อโลกและชีวิตนัก.