Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
รักชาติแบบจิตวิวัฒน์ (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 07 ม.ค. 2007, 12:02 pm
รักชาติแบบจิตวิวัฒน์
โดย พระไพศาล วิสาโล
สำนึกในความเป็นชาติเมื่อเกิดขึ้นกับคนหมู่ใด ย่อมช่วยให้คนหมู่นั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ง่าย เพราะมองข้ามความแตกต่างที่มีอยู่
เมื่อรู้สึกว่าเป็นคนไทยขึ้นมา ความเป็นคนเชียงใหม่ คนกรุงเทพฯ คนนครศรีธรรมราช ก็มิใช่ความแตกต่างที่สำคัญ
ตรงกันข้ามหากไม่มีสำนึกในความเป็นคนไทย ภูมิลำเนาที่แตกต่างกันก็อาจเป็นเหตุให้วิวาทบาดหมางกันได้ ดังที่เคยก่อศึกสงครามกันหลายครั้งหลายคราสมัยที่ "ประเทศไทย" ยังไม่เกิดขึ้น
พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่า เมื่อมีประเทศไทยเกิดขึ้นแล้ว คนจังหวัดต่างๆ ก็เลิกทะเลาะกัน การวิวาทบาดหมางระหว่างคนต่างภูมิลำเนาก็ยังมีอยู่ เช่นเดียวกับการตีกันระหว่างสถาบัน แต่นั่นก็เพราะตอนนั้นสำนึกในความเป็นไทยเลือนราง ขณะที่สำนึกหรือ "อัตลักษณ์" ในด้านอื่นโดดเด่นขึ้นมาแทน
เมื่อสำนึกในความเป็นอีสานโดดเด่น ก็ย่อมเห็นคนภาคอื่นเป็นคนละพวก และเมื่อสำนึกในความเป็นนักเรียนช่างกลปทุมวันเด่นชัดขึ้นมา ก็ง่ายที่จะเห็นนักเรียนสถาบันอื่นเป็นศัตรู แต่เมื่อไปอยู่ต่างประเทศด้วยกัน อาจจะกอดคอกันใหม่เพราะรู้สึกว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน หรือเมื่อต่างชาติดูหมิ่นเหยียดหยามประเทศไทย ก็อาจร่วมกันเดินขบวนประท้วงสถานทูตของชาตินั้น เพราะสำนึกในความเป็นไทยถูกปลุกขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำนึกในความเป็นชาติใช่ว่าจะทำให้คนในชาติกลมเกลียวกันเสมอไป บางครั้งสำนึกดังกล่าวก็อาจทำให้เกิดการแตกแยกหรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้น
เช่นเมื่อมีคนที่แสดงความเห็นต่างไปจากคนส่วนใหญ่ หรือเพียงแค่ไม่ถูกใจตัวเอง ก็จะประทับตราบุคคลผู้นั้นหรือกลุ่มนั้นทันทีว่า "ไม่ใช่คนไทย" หรือตั้งคำถาม (อย่างที่นายกฯ ทักษิณชอบถาม) ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ? สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือการกล่าวหาว่า "ไม่รักชาติ"
เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่รักชาติหรือไม่หวังดีต่อชาติเสียแล้ว ก็ง่ายที่จะถูกตีตราว่าเป็น "คนชั่ว" ถึงตรงนี้ก็ต้องเตรียมตัวเป็นเหยื่อรองรับความรุนแรงได้ ดังที่ได้เกิดมาแล้วกับนักศึกษาประชาชนที่ประท้วงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีความรุนแรงถึงขั้นนั้นอีก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้ความเป็นไทยเพื่อเล่นงานคนไทยด้วยกันที่มีความเห็นแตกต่างจากคนอื่นก็ยังมีอยู่
เช่น เมื่อมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับวีรกรรมของท้าวสุรนารี หรือไม่เชื่อว่าศิลาจารึกหลักที่ 1 ทำโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือไม่เห็นด้วยกับการห้ามผู้หญิงเข้าไปในเขตชั้นในของพระเจดีย์ที่มีพระธาตุอยู่ข้างใต้ คนเหล่านั้นก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่คนไทยไปในทันที
ผลที่ตามมาคือถูกกลุ่มพลังมวลชนเผาพริกเผาเกลือและสาปแช่ง มิพักต้องพูดถึงถ้อยคำหยาบคายที่ปรากฏในเว็บบอร์ดต่างๆ
ความเป็นไทยนั้นควรทำให้คนไทยรักกัน มิใช่ทำให้เกลียดกัน แต่รักและเกลียดนั้นเป็น 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน
รักกันเพราะเหมือนกันมากเท่าไร ก็ย่อมเกลียดกันเมื่อแตกต่างกันมากเท่านั้น ตรงนี้คือปัญหาของความเป็นไทยในปัจจุบัน นั่นคือเน้นเรื่องความเหมือนมากเกินไป
ทุกวันนี้ความเป็นไทยหมายความว่าพูดภาษาและนับถือศาสนาเดียวกัน มีประวัติ ศาสตร์ร่วมกัน และอาจรวมไปถึงมีเชื้อชาติเดียวกันคือเชื้อชาติไทย
เกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยถามนักศึกษาในชั้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า "นักศึกษาคิดว่าตนเองเป็นคนไทยหรือไม่ ?" ปรากฏว่า ในจำนวน 91 คนมีผู้ตอบว่า ตนไม่ได้เป็นคนไทย 10 คน และตอบอย่างกำกวม 24 คน ผู้ตอบเหล่านั้นอธิบายเหตุผลว่า เพราะตนนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็อิสลาม เป็นลูกจีนหรือไม่ก็มีเชื้อแขก มิได้มีเชื้อไทยแท้ๆ
ความเป็นไทยที่เน้นความเหมือนเพียงไม่กี่อย่างได้สร้างความทุกข์ให้แก่ผู้คนมาก เพราะไม่เพียงทำให้คนที่นับถือศาสนาอื่นหรือไม่มีเชื้อไทย รู้สึกเป็นพลเมืองชั้นสองแล้ว ยังมีการพยายามบีบบังคับให้เขาละทิ้งภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมของตนเพื่อจะได้เหมือนกับคนส่วนใหญ่
นอกจากชาวเขาและคนกลุ่มน้อยอื่นๆ แล้ว ผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้คือผู้ที่ทุกข์ทรมานเพราะความเป็นไทยประเภทนี้ และนี้คือสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของความไม่สงบในภาคใต้ขณะนี้
ความเป็นไทยที่เน้นแต่ความเหมือน ทำให้เรายอมรับความแตกต่างได้ยาก ขันติธรรมจึงมีน้อย และเมตตาธรรมก็พลอยน้อยลงด้วย ลำพังการจดจ่อเน้นย้ำความแตกต่างทางด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และเชื้อชาติก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว
ระยะหลังยังผู้คนยังทนได้ยากขึ้นกับความคิดที่แตกต่างหรือไม่ถูกใจ (ความเห็นที่ร้อนแรงในเว็บบอร์ดต่างๆ คือตัวอย่างที่ชัดเจน) นี้คือการที่น่าเป็นห่วงเพราะในยุคโลกาภิวัตน์ ผู้คนนับวันจะมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในด้านวิถีชีวิต อาชีพการงาน ความเป็นอยู่ ความคิดความเชื่อ
ขณะเดียวกันคนต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม และต่างเชื้อชาติก็หลั่งไหลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยมากขึ้น สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือ ขันติธรรมที่เพิ่มพูนขึ้น ยอมรับความแตกต่างได้มากขึ้น และมีเมตตาต่อกันให้มากขึ้น
ความเป็นไทยหรือความรักชาติที่คับแคบ มีแต่จะทำให้เกิดความตึงเครียดและแตกแยกกันมากขึ้นในประเทศ ขณะเดียวกันก็ทำให้จิตใจของผู้คนถอยต่ำลง เพราะคอยแต่จะมองคนที่ต่างจากตนเป็นคนละพวก เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์และไร้น้ำใจต่อกัน
ความเป็นไทยที่พึงประสงค์น่าจะได้แก่ความเป็นไทยที่ยอมรับความแตกต่างได้มากขึ้น ไม่ว่าจะแตกต่างทางด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และเชื้อชาติ แม้จะคิดไม่ตรงกันก็มีสิทธิเป็นคนไทยได้เช่นเดียวกับเรา หรือแม้จะมีประวัติศาสตร์ต่างกัน ไม่ได้มีบรรพบุรุษอพยพจากเทือกเขาอัลไต ก็เป็นคนไทยได้ (เอาเข้าจริงๆ น่าสงสัยว่ามีคนไทยกี่คนกันที่บรรพบุรุษมาจากเทือกอัลไต)
แน่ละเราต้องมีอะไรร่วมกันบ้าง ถึงจะเรียกว่าเป็นไทยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม เชื้อชาติ หรือประวัติศาสตร์ แล้วอะไรที่จะมีร่วมกัน
คำตอบหนึ่งของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็คือ ความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะ "สร้างปัจจุบันร่วมกัน ปัจจุบันที่ทุกคนภาคภูมิใจ อยากปกปักรักษาไว้เพราะเป็นคุณทั้งแก่ตนเองและส่วนรวม" ความเป็นไทยอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับความเคารพ คุณค่าประชาธิปไตยได้รับการปกป้อง ผู้คนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและปกป้องชุมชนของตน เป็นต้น
ความเป็นไทยที่พึงประสงค์นั้นต้องรวมผู้คนมาเป็นหนึ่งเดียวกัน มิใช่ผลักไสออกไปหรือแบ่งซอยออกเป็นคนละพวก
มนุษย์นั้นมีแนวโน้มอยู่แล้วที่จะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยเอาความแตกต่างทั้งหลายเท่าที่จะนึกได้ มาเป็นเส้นแบ่งเพื่อกีดกันใครต่อใครออกไปจนเหลือแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง
ความเป็นไทยที่พึงประสงค์ต้องไม่ไปเสริมสัญชาตญาณถดถอยดังกล่าว แต่ควรช่วยให้ผู้คนเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจมากขึ้น นั่นคือมองข้ามความแตกต่างทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะตระหนักถึงคุณสมบัติร่วมที่ทุกคนมีเหมือนกัน นั่นคือความเป็นมนุษย์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือความเป็นไทยที่เคารพความเป็นมนุษย์ ถือว่าความเป็นมนุษย์นั้นศักดิ์สิทธิ์กว่าความเป็นไทย แม้เขาจะไม่ใช่ไทย เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงกับเขา เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ ความเป็นไทยแบบนี้จะทำให้ขันติธรรมและเมตตาธรรมเจริญขึ้นในจิตใจ
รักชาติแบบจิตวิวัฒน์คือรักมนุษยชาติด้วย มิใช่เห็นชาติสำคัญกว่าความเป็นมนุษย์ รักชาติแบบนี้แหละที่จะทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ ภาคใต้เกิดสันติ และจิตใจสงบเย็น
............................................................
คัดลอกมาจาก
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9723
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th