| ผู้ตั้ง | 
ข้อความ | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2004, 3:30 pm | 
   | 
 
 
 
วันนี้ผมคัดสัมมาสมาธิในสติปัฏฐานสี่ เพื่อให้เห็นว่าเมื่อทำสมาธิได้ฌานนั้น สตินั้นเป็นมหาสติ และเจริญในฌาน ตามข้อความข้างล่าง โปรดพิจารณาอ่านดู เพื่อความเข้าใจเรื่องสมาธิ   
 
   
 
   
 
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร  ?  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจารณ์ มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก   
 
เพราะความวิตกวิจารณ์ระงับลง เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใส ณ ภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจารณ์ มีแต่ปิติและสุขที่เกิดจากสมาธิ อนึ่ง เพราะความที่ปิติวิราคะ(ปราศ)ไปย่อมเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ และมีสติสัมปชัญญะ  (โปรดสังเกตนะครับสมาธิในระดับทุติยฌานก็มีสติสัมปชัญญะ แสดงว่าในฌานระดับนี้ก็เจริญสติได้ - โอ่ )  และเสวยสุขด้วยกาย   
 
อาศัยคุณคืออุเบกขา สติสัมปชัญญะ และเสวยสุขอันใดเล่าเป็นเหตุ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข   
 
เข้าถึงตติยฌาน   
 
เพราะละสุขเสียได้  เพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนอัศดงดับไป   
 
เข้าถึงจตุตถฌาน   
 
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ (เห็นมั้ยในจตุตถฌานนี้ก็ยังมีสติ  -  โอ่) บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา   
 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2004, 3:49 pm | 
   | 
 
 
 
แม้ว่าในองค์ฌานที่ได้สมาธิในระดับฌานต่างๆ  สามารถจะมีสติสัมปชัญยะได้  แต่ถ้าจิตนั้นมัวเสวยอารมณ์อื่น สติและสัมปชัญญะก็ไม่เจริญได้นะครับ เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าในฌานแล้วจะมีสติสัมปชัญญะตลอด เพราะคนได้ฌานก่อนพุทธศาสนานั้นไม่มีสติพิจารณาธรรมที่ประณีต  เพราะว่าการภาวนาที่ไม่เกิดจากฐานของ กาย เวทนา จิต และธรรม เลยไม่รู้ไม่เข้าใจหลักของสติปัฏฐานสี่ ทำให้ไม่มีปัญญาพิจารณาอริยมรรค   
 
ก็เหมือนคนทั่วไปภาวนา อาจเผลอในอารมณ์ที่เป็นกุศลแล้วเสวยตรงนั้น แล้วละเลยการเจริญสติ ก็ไม่สามารถเจริญอริยมรรคไปสู่เส้นทางโสดปัตติมรรคได้ | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
สำเร็จ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2004, 7:03 pm | 
   | 
 
 
 
ขอแสดงความเห็นเรื่องในกระทู้ที่ตั้งมา..   
 
ผมอาจจะมีความเห็นที่แตกต่าง..   
 
ก็ขอให้พิจารณาเป็นเรื่องสนทนาธรรม   
 
ไม่ได้มีความประสงค์คัดค้าน..เพราะมีส่วนถูกต้องอยู่มาก   
 
ขอแสดงในส่วนที่ยังถูกต้องไม่ครบถ้วนครับ..   
 
   
 
   
 
ในการแสดงเรื่องสมาธิ  สติ   และ ฌานทั้ง  สามนี้   
 
ขอแสดงให้เห็นก่อนว่า..สมาธิและสติ  คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจ..   
 
หริอทางวิชาการเรียกว่าอยู่ในจิต..ที่เรียกว่าเจตสิก   
 
   
 
ส่วนฌานนั้นเป็นผลจากการปฏิบัติ...ให้จิตมีคุณสมบัติดีมากๆ   
 
   
 
บางทีเรียกว่าได้ฌาน...   
 
บางทีเรียกว่าออกจากฌาน...   
 
บางทีเรียกว่าอยู่ในฌาน...   
 
   
 
จึงต้องพิจารณาว่าที่พระพุทธอง์แสดงตามที่ยกกระทู้มานั้น...   
 
ผู้ปฏิบัติกำลังอยู่ที่กาลเวลาไหน   
 
   
 
กำลังอยู่ในฌาน...หรื...อยู่นอกฌาน..   
 
   
 
ที่คุณโอ่แสดงว่า...เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าในฌานแล้วจะมีสติสัมปชัญญะตลอด  เพราะคนได้ฌานก่อนก่อนพระพุทธศาสนาไม่มีสติพิจารณาธรรมที่ปราณีต....   
 
   
 
นี่คือการแสดงรวมไว้โดยไม่แยกแยะ..   
 
หมายความว่า..ไม่แยกกาลเวลาที่อยู่ในฌาน...   
 
และกาลเวลาที่อยู่นอกฌาน...   
 
   
 
เคยมีเรื่องดาบสปฏิบัติดีจนได้ฌาน...จนเหาะได้   
 
วันหนึ่งเหาะไปรับอาหารในวังช้าไป..พระมเหสีก็เลยนอนรอ   
 
นอนๆไปเสื้อผ้าก็หลุดออก...ดาบสเห็นสรีระพระมเหษีนั้นเข้า   
 
ก็เกิดราคะกำเริบ  ทำให้ฌานเสื่อม..เหาะไม่ได้อีก   
 
จะเห็นว่า..การที่ดาบสเหาะได้...เพราะอาศัยการเข้าฌานไปก่อนแล้วอธิฐาน..ให้เหาะได้   
 
   
 
ในคราวหลังเกิดโลกียธรรมเข้าครอบงำ...ไม่สามารถเข้าฌานได้...ก็เลยเหาะไม่ได้   
 
   
 
   
 
การจะเข้าฌานได้...จะต้องเริ่มต้นจาก..สงัดจากกาม...สงัดจากอกุศล..   
 
ตามที่ยกมา..ถูกต้องแล้ว   
 
ความหมายก็คือไม่โลภ...ไม่โกรธ...ไม่หลง   ดังนี้จึงเรียกว่าสงัดจากอกุศล   
 
   
 
ขณะที่อยู่ในฌาน...คือจิตเป็นมหัคคตจิตเรียกว่า  ฌานจิต  มี 76  ดวง   
 
ซึ่งในจิตทั้ง  76  ดวงนี้  จะมีสมาธิและ  สติ ครบถ้วน   
 
ถ้าเรียกตามบุคคลาธิฐาน..ก็หมายถึง  บุคคลระดับที่จะเกิดเป็นพรหมขึ้นไปถึงพระอรหันต์   
 
   
 
ซึ่งบุคคลเหล่านี้...จะได้รับผลของฌาน..ทำให้ไปเกิดในพรหมโลก   
 
บางทีก็เรียกกันว่า   พรหมจรรย์...  หรือ  ประพฤติพรหมจรรย์   
 
   
 
หมายความว่า..ไปทางของพรหม...ก็คือ..ผู้ที่เพียรทำฌานนั่นเอง   
 
   
 
เมื่ออกจากฌานมาแล้ว...ก็มารับอารมณ์ต่างๆ..   
 
บางทีก็เผอ..ทำให้ขาดสติไปตามที่คุณโอ่กล่าวไว้..   
 
ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้...เรียกว่าฌานเสื่อม...ก็เรียกกัน   
 
   
 
ดังนั้นสติที่อยู่นอกฌาน...จะมีก็ได้...อาจไม่มีก็ได้   
 
   
 
แต่ขณะใดที่กำลังอยู่ในฌานแล้ว..มีสติ..สัมปชัญญะครบถ้วนแน่นอน   
 
แม้จะอยู่ที่ฌานขั้นใดตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงปัญจมฌาน  ก็ไม่ได้ลดสติ  สัมปชัญญะลง   
 
คงลดลงแต่  วิตก..วิจาร   ปีติ  สุข...ซึ่งเป็นองค์ฌาน   
 
การลดลงของเจตสิกได้เรื่อยๆ...ก็เรียกว่าเปลี่ยนระดับของฌานไปเรื่อยๆนั่นเอง   
 
   
 
   
 
ผมจึงขอแสดงมาดังนี้   
 
   
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2004, 2:14 pm | 
   | 
 
 
 
เรื่องนี้ต้องขยายความที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงสมาธิ และการบรรลึฌาน แต่ผมคงไม่มีความรู้ตรงนี้ เพื่อจะได้เห็นความจริงว่าเป็นอย่างไรแน่ คือต้องแยกแยะเหมือนที่คุณสำเร็จอ้าง ผมไม่ถือว่าคัดค้าน เพราะเราต่างต้องการหาความจริงในธรรมะ   
 
   
 
ในบทเทศน์ของหลวงปู่เทศน์ เรื่องสมาธิกับฌานก็แยกกันเหมือนคุณสำเร็จว่า  ผมอาจหาลงมาดู แล้วจะได้พิจารณาซ้ำๆด้วย แต่เนื่องท่านเทศน์จึงยาวมาก คิดว่าพิมพ์ไม่ไหว  ประเด็นของท่านที่ผมเคยฟัง      (จะต้องไปหาหนังสือมาดูอีกจึงจะพูดได้ตรง )    
 
   
 
จับได้ว่าถ้าทำวิปัสสนาจะได้สมาธิ  ถ้าทำสมถะจะได้ฌาน ท่านว่าสมาธินั้นได้ปัญญา  แต่เมื่อเราดูตามพุทธพจน์ นั้นต้องทำตามหลักสัมมาสติ แล้วได้สมาธิ แต่พอได้สัมมาสมาธิ แล้วจะเข้าถึงฌาน  (ตามลำดับ)อันนี้เป็นพุทธพจน์  คืออาศัยสัมมาสมาธิ   
 
   
 
ตรงนี้ก็เป็นประเด็นที่เราจะต้องพูด  ผมเคยได้ยินเรื่องฤษีเหาะ  (ได้ฌานจากการเพ่งแบบฤษี  )  พอฤษีตกลงมาได้ไม่ถึงพื้น  ก็เข้าฌานอีกเหาะไปได้อีก (รายนี้ไม่เสื่อม) เหตุที่ฤษีเหาะได้เร็ว หรือเข้าฌานได้เร็ว เพราะทำเป็นวสี แต่ท่านก็ว่าวิสัยของผู้ได้ฌานเป็นสิ่งที่เราคำนึกได้ยาก   
 
   
 
อย่างไรก็ตามประเด็นที่โต้แย้งนี้เป็นประโยชน์  เพราะทำให้ค้นหาความจริงตามพยัญชนะไปก่อน    
 
   
 
สิ่งที่น่าคำนึงอย่างหนึ่ง คือเมื่อได้ฌานแล้ว  ไม่ได้เข้าฌาน แต่ผลของฌานนั้นยังเป็นสุขอยู่ และเจริญสตินอกอารมณ์ฌานนั้น  แต่ข้อความจะไม่ชัดเจน ก็ทำให้ค้นคว้า ก็ต้องขอบคุณสำเร็จ ผมคิดว่าการโต้แย้งนี้จะดี  เพราะมีข้ออ้างอิงประกอบให้ต้องพิจารณา | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2004, 3:41 pm | 
   | 
 
 
 
ผมลองเปิดพระไตรปิฏกฉบับประชาชน (พ.ศ. 2533)) หน้า 126 วรรคสอง   
 
"..........เข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข  อันมีความบริสุทธิ์ของ"สติ" อันเกิดจากอุเบกขา "   
 
ความสุขนี้น่าจะเป็นความสุขในฌาน และมี"สติ"อยู่   
 
   
 
แต่จากประสบการณ์ที่ผมทำสมาธิ เมื่อเข้าสมาธิ จะไม่รู้ตัวถึงสิ่งภายนอกเลย ถ้านานชั่วโมงหนึ่งก็เป็นอย่างนั้น 1 ชั่วโมง  และเมื่อสมาธิถอยเริ่มรู้ตัว  แล้วเริ่มคิดได้ทีละน้อยๆ  ถ้าเข้า 1 ชั่วโมง ก็เป็นไปตามเราตั้งใจไว้ก่อน ซึ่งเวลานั้นตรงไม่ขาดเกินแม้นาทีเดียว   
 
   
 
แต่ในตำราบอกว่ามีสติอยู่ รือว่าสตินั้นเป็นแต่เพียง"รู้"อย่างเดียวแต่คิดไม่ได้  ส่วนความสุขนั้นเกิดขึ้นภายหลังออกจากสมาธินั้นจะอยู่นานได้เป็นเดือน คือเมื่อระลึกถึงกุศลนิดเดียวปิติก็เกิดเต็มเปี่ยม   
 
   
 
แต่หลังจากนั้นมีกรรมชนิดหนึ่ง ที่ผมกับพวกได้ไปฆ่าเขา ใช้รรมชาติที่แล้วมาชาติหนึ่งแล้ว แต่ใช้ไม่หมดเพราะเป็นกรรมหนักมาก ต้องมาใช้ชาตินี้อีก  เมื่อกรรมนี้เข้ามากลับทำสมาธิไม่ได้ และเจ็บมาก  ส่วนคู่หูผมทำกรรมเดียวกันนี้ ก็รู้เหมือนที่ผมรู้ และรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องตายก็ตายไปแล้ว   
 
   
 
ส่วนผมนั้นจะมีสิ่งที่มาแทงร่างกาย  เจ็บมากต้องทำสมาธิเอาออกมาสี่ปีแล้ว ยังไม่หาย  สิ่งที่แทงมีรูปร่างต่างๆ และมีวิญญา(ภูต)มาแทง ผมเคยเห็นวัตถุที่เป็นเหล้กขนาดใหญ่ แทงที่ลำตัวผมด้วยตาเปล่าๆ ชัดเหมือนของจริงและเจ็บมาก   และแน่นอยู่ในร่างกาย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปรกติสำหรับผม การเห็นวิญญาน  และเห็นนรกก็เป็นเรื่องปรกติ   มัจจุราชก็เคยเห็นแบบบุคลาธิษฐานด้วยสมาธิเพียงนิดหน่อยแค่นั้น ก็เห็นได้   
 
   
 
ที่แปลกก็คือพวกเขามาเปลี่ยนกาลมรณะผมไว้  ผมไม่กลัวตายเลย  และตอนนี้ทำสมาธิไม่ได้ แม้จะทำวันหนึ่งบางครั้งถึง 10 ชั่วโมง (รวมทั้งเดินจงกรม และอิริยาบถอื่นด้วย)  อาการนี้ยังไม่หาย  ผมมีประสบการณ์เรื่องกรรมมาก  และคิดว่าเห็นพวกผีมากกว่าหมื่นตน ตอนนี้เจริญสติได้อย่างเดียว เข้าสมาธิเหมือนก่อนไม่ได้เลย การรับกรรมหนักที่เคยก่อไว้ ทำให้สมาธิเสื่อมได้เหมือนกัน | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
สายลม 
บัวเงิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004 
ตอบ: 1245 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2004, 7:01 pm | 
   | 
 
 
 
         
 
   
 
ขออนุโมทนาสาธุกับความคิดเห็นของทุกท่านด้วยครับ   
 
   
 
   | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
     | 
  | 
สำเร็จ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2004, 7:18 pm | 
   | 
 
 
 
ขอแก้พิมพ์ผิดเล็กน้อย  ฌานจิต  มี  67  ดวง  ( ไม่ใช่  76  ดวง)   
 
   
 
   
 
ขอสนทนาเพิ่มเติมเรื่องที่คุณโอ่แสดงไว้ว่า..   
 
   
 
....จากประสบการณ์ที่ผมทำสมาธิ  เมื่อเข้าสมาธิ จะไม่รู้ตัวถึงสิ่งภายนอกเลย     
 
ถ้านาน 1  ชั่วโมง  ก็เป็นอย่างนั้น  1  ชั้วโมงและเมื่อสมาธิถอยตัวเริ่มรู้ตัว  คิดได้ทีละน้อย...   
 
   
 
ขอแสดงความเห็นเพื่อให้คุณโอ่เข้าใจ...จะได้หมดข้อสงสัย..   
 
มุ่งปฏิบัติธรรมให้เจริญต่อไป...   
 
   
 
อาการที่เป็นอย่างนี้มีคำอธิบายโดยอาศัย  การศึกษาวิถีจิต...   
 
คือความเป็นไปของจิตที่รับอารมณ์...จะเกิดเป็นขบวน...เกิดเป็นชุดๆ   
 
ทางพระท่านเรียกว่า...วิถีจิต..   
 
   
 
หมายความว่าการรับรู้อารมณ์..จิตเกิดการรับรู้อารมณ์เป็นดวงๆนั้นไม่มี...   
 
จะเกิดเป็นวิถีๆละ  17  ดวง...   
 
(แต่การเกิดของจิตเกิดเป็นดวงๆ...การเกิดของอารมณ์ยาวนานเท่าจิต 17 ดวง..อายุของอารมณ์ยาวกว่าอายุของจิต 17  เท่า)   
 
   
 
ในแต่ละวิถีก็มีที่เกิดต่างกัน....   
 
   
 
   
 
ที่เกิดของวิถีท่านแยกออกเป็น  2  ทาง  คือ 1.ทางปัญจทวาร   และ  2.ทางมโนทวาร   
 
   
 
ทางปัญจทวาร..ก็คือ  ทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย..  ที่เราศึกษามาแล้ว   
 
   
 
ทางมโนทวาร..ก็คือ  ทาง ใจ  ทางจิต  ทางวิญญาณ  สุดแต่จะเรียกกัน   
 
   
 
   
 
ทีนี้เราต้องเข้าใจว่า...เรารู้ถึงสิ่งภายนอก  โดยทาง ปัญจทวาร   
 
   
 
การที่คุณโอ่ไม่รู้ถึงสิ่งภายนอก  1  ชั่วโมง  เพราะ..คุณโอ่ไม่รับอารมณ์ทางปัญจทวารในขณะนั้น   
 
   
 
อะไรทำให้ไม่รับอารมณ์ภายนอก ?   
 
   
 
เพราะ..คุณโอ่กำลังรับอารมณ์ทางใจอยู่...คือทางมโนทวาร....หมายความว่ากำลังอยู่ในสมาธิที่แนบแน่นมาก   
 
   
 
อารมณ์ทางปัญจนั้นก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม...แต่ไม่ผ่านทวารเข้ามา   
 
อธิบายว่า...วิถีจิตทางปัญจทวารไม่เกิด (มีอารมณ์ทางปัญจทวารอยู่..แต่วิถีทางปัญจทวารไม่เกิด..เพราะไม่ได้ใส่ใจ)   
 
   
 
พอถอยออกมา...ก็เริ่มรับรู้ทางปัญจทวาร  และ ทางมโนทวาร...ได้ทั้งหมด   
 
จึงทำให้เริ่มรับรู้ความเป็นไปตามปกติ..   
 
สลับไปมาระหว่างทางมโนทวารและทางปัญจทวารเรื่อยๆไป..   
 
   
 
ดังนั้นถ้าสังเกตุหรือจำได้...จะรู้สึกว่ากายเบาขึ้นเรื่อยๆ..   
 
จนไม่มีกายหยาบให้รู้..ก่อนที่จะเข้าสมาธิเต็มที่   
 
นั่นคือมีแต่วิถีจิตทางมโนทวารเท่านั้นที่เกิด..   
 
   
 
จะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ.....มีแต่เรื่องทางใจเท่านั้นที่เกิด   
 
เหมือนกำลังหลับ..ไม่รู้ว่านอนบนเตียง...ไม่รู้ร้อนเย็น..รู้ได้เมื่อตื่นแล้วเท่านั้น   
 
เพราะขณะที่กำลังหลับ...มีแต่มโนทวาร..อยู่ในภวังค์   ...ไม่มีวิถีเกิด   
 
จึงไม่รู้อะไร....ภวังคจิตทำหน้าที่รักษาภพชาติเท่านั้น...   
 
   
 
(ภวังคจิต..มีอารมณ์ในอดีตที่ใกล้ตายในภพก่อนเป็นอารมณ์...ตรงนี้ต้องอธิบายอีก-อย่าใส่ใจในตอนนี้)   
 
   
 
ซึ่งอาการอย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา..ไม่ใช่ความวิเศษอะไร   
 
   
 
จะเห็นได้ว่า..เมื่อออกจากฌานแล้ว..ก็เอาฌานที่ได้มาพิจารณา...   
 
ให้เห็นว่า..ฌานนี้เกิดได้...ตั้งอยู่ได้...และดับได้..   
 
   
 
พิจารณาให้เห็นความจริงว่า...ฌานมีความเป็นไปอย่างไร   
 
บ่อยๆเข้าก็จะเห็นสภาวะของไตรลักษณ์   
 
   
 
ไม่ใช่เห็นไตรลักษณ์...เพราะไตรลักษณ์ไม่มีให้เห็น   
 
ที่พูดว่าต้องเห็นไตรล้กษณ์...หมายความว่าเข้าใจกฏของไตรลักษณ์   
 
ต้องโยนิโสมนัสสิการจึงเข้าใจได้     
 
   
 
ขอสนทนาเท่านี้ก่อนครับ..เดี๋ยวจะไปกันใหญ่   
 
   
 
   
 
   
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2004, 6:40 am | 
   | 
 
 
 
ขอบคุณครับที่บอกเรื่องการเกิดดับของจิตเป็นวิถี อันนี้สำคัญเวลาเราจะตายและจิตดับจะไปเกิดภพใหม่ เป็นการสิบต่อของกรรมที่จะให้ผลในเวลาต่อไป   
 
   
 
ผมจะพูดความเกี่ยวเนื่องของฌาน  กับสมาธิ เท่าที่นึกได้อีกนิด ความเกี่ยวเนื่องนี้น่าสนใจตามพยัญชนะ   
 
   
 
จะเห็นว่าปฐมฌาน  เกิดจากการละนิวรรณ์  ทุติยฌานบรรลุจากการละวิตกวิจารณ์ แล้วฌานต่อไปก็ละองค์ฌานไปเรื่อย ๆ  จนเหลือแต่อุเบกขาในรูปฌานสี่   
 
   
 
ผมจะลองเทียบฌานกับสมาธิในอริยมรรคลองดู   ความดำริชอบ  คือดำริออกจากกาม ๑  ดำริไม่พยาบาท ๑ ดำริไม่เบียดเบียน ๑   
 
   
 
ให้เทียบเคียง การดำริออกจากกาม  กับการละกามฉันทะ (นิวรณ์)   
 
 การดำริไม่พยาบาท และไม่เบียดเบียน กับ  พยาบาทที่เป็นนิวรณ์   
 
   
 
ที่เอามาเปรียบเทียบ เนื่องจากเห็นว่าการเจริญมรรค ทำด้วยการเจริศสติร่วมอยู่ตลอด และทำให้เกิดสมาธิ   
 
   
 
แต่การละนิวรณ์ เช่น กามฉันะ และพยาบาท เป็นการละชั่วคราวโดยใช้องค์ฌานข่ม   
 
   
 
ส่วนการดำริออกจากกาม จากพยาบาท หมายถึงการดำริที่จะทำการประหาร พยาบาท (โทสะ)  กามราคะ(โลภะ) ให้มดซากหมดเชื้อไปเลย   
 
   
 
การละนิวรณ์นั้นเมื่อจิตเข้าสมาธิอารมณ์ละเอียดแล้ว   ตอนนั้นสติเจริญไม่ใคร่ได้ แต่มีความรู้ตัวอยู่ แต่มีอารมณ์อยากปล่อยวางทั้งหมดลง  การปล่อยวางนี้ผมคิดว่าแท้จริงแล้วเป็นการละนิวรณ์ห้าลงพร้อมกัน  ความเสมอของอินทรีย์คือศรัทธา ปัญญา วิริยะ สติ และสมาธิ มันเสมอเท่ากันหมด สมาธิเลยรวม  เมื่อรวมก็บรรลุฌาน   
 
   
 
แต่ความเสมอของอินทรีย์ห้านี้ต้องพิจารณาในเรื่องของฌานมีสติหรือไม่ด้วย เพราะสติในอินทรีย์ห้านั้นเสมอกันอยู่ สติมีและอาจสมบูรณ์ แต่อาจไม่มีการเจริญให้เกิดปัญญาต่อไป เพราะว่าเมื่อไม่มีวสีในฌานอย่างแท้จริง ยังไม่มีความสามารถที่จะทำให้สติเจริญได้ เพราะฌานมีอารมณ์ประณีตมาก   
 
   
 
แต่ฌานกับสมาธิเกี่ยวเนื่องกันแน่  การถอยจากฌานมาอยู่ที่สมาธิ(จะเป็นอุปจารหรืออัปนาก็ได้)   เป็นไปได้เพียงไร   
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2004, 9:31 pm | 
   | 
 
 
 
ขอต่ออีกครับ   
 
ในแง่ที่ทำสมาธิ(เจริญสติ)  แล้วได้ฌาน ซึ่งความรู้เหลือแต่จิต กายนั้นไม่มีเช่นนั้น พิจารณาสิ่งใดไม่ได้ มีแต่รู้นิ่ง   
 
   
 
ฌานถอนตัว จึงเอาอารมณ์ฌานนั้นมาเป็นประโยชน์แก่สมาธิที่จะพิจารณาธรรม ฌานมีประโยชน์ให้หยิบยืมอารมณ์มาให้สมาธิตั้งมั่น  เพราะฉะนั้นจะมีประโยชน์ตอนถอนออกมา  และเป็นที่พักใจได้เท่านั้น   
 
   
 
แต่อารมณ์ฌานที่ได้จากหลังฌานถอนออกมาแล้ว  ก็ยังละเอียดประณีต  และคุ้มครองจิต คุ้มครองอารมณ์ต่างๆได้   
 
   
 
ในกรณีที่ฤษีเหาะไปในอากาศ เห็นภาพทำให้ความกำหนัดคุ้มครองใจและอารมณืไม่ได้ ฤษีเหาะโดยอธิษฐาน  คือเข้าฌานก่อนแล้วถอนฌานมาที่อุปจารสมาธิ และอธิษฐาน การเหาะไปด้วยอุปจารสมาธิ เมื่อเห็นภาพเปลือย ก็ทำให้จิตที่เป็นอุปจารสมาธิเสื่อม  ฌานที่อธิษฐานไว้ก็เสื่อม   
 
   
 
แสดงว่าอารมณ์ฌานนั้นเข้าสมาธิได้แล้ว ถอนออกอย่างรวดเร็วแล้วอธิษฐานฤทธิ์    
 
   
 
ดังนั้นการเจริญสติที่มีอารมณ์อุเบกขาของฌาน ก็น่าไม่อยู่ในฌาน  แต่หยิบยืมอารมณ์นั้นออกมา แล้วเข้าอุปจารสมาธิ กำหนดพิจารณาธรรมที่ปรากฎแก่ใจ   
 
   
 
ถ้าโดยนัยนี้แล้วสติไม่ได้มีในฌาน  สติจะมีและเจริญในอุปจาร แต่เข้าอัปนา เพื่อได้ฌานแล้วเอาอารมณ์ฌานมาคุ้มครองไม่ให้อารมณ์กามกำเริบ และพิจารณาธรรมได้สะดวก มีธรรมล้วนๆปรากฎชัด  อันนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
ดนุวัติ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
08 ธ.ค.2004, 8:22 am | 
   | 
 
 
 
มีสติและต้องมีปัญญาด้วยนะครับ  | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
08 ธ.ค.2004, 1:55 pm | 
   | 
 
 
 
ครับที่จริงมีสติแล้วต้องมีสัมปชัญญะ  ปัญญานั้นเกิดจากการรู้แล้ววางไปเรื่อยตามขบวนการเจริญสติ เป็นไปเองตามความเพียรในการเจริญสติ | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
โอ่ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2004, 5:51 pm | 
   | 
 
 
 
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจาแสดงธรรมให้แก่บุคคลผู้มีปัญญาหลายประเภท บุคคลเหลานั้นฟังธรรมแล้วบรรลุอรหัตผล  ไม่ปรากฏว่าได้เคยทำสมาธิหรือเข้าฌาน หรือปฏิบัติกรรมฐานมาก่อน   
 
   
 
บุคคลเหล่านั้นไม่น้อย เมื่อบรรลุธรรมแล้ว มีฌาน มีสมาธิ เป็นภิกษุปฏิสัมภิทาญาณ   
 
   
 
ในการบรรลุธรรมนั้นคิดว่าพระอรหันต์เหล่านั้น นอกจากมีปัญญาแล้ว ต้องมีกำลังสมาธิเกิดกิเลส นี่เป็นเหตุผลว่าต้องเกิดมีกำลีงสมาธิในระดับอัปนาสมาธิ และในบางรายน่าจะมีกำลังสมาธิระดับจตุตถฌาน  หรือระดับอรูปฌาน ก็มี   
 
   
 
แต่กำลังตัดกิเลสก็ไม่ได้หมายถึงการเจริญสติ  การเจริญสตินั้นเกิดขึ้นเร็วในขณะที่ฟังธรรม  แล้วตรึกตามธรรมไปด้วย ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่ได้บรรลุฌาน  เพราะถ้าบรรลุฌานการฟังธรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้   
 
   
 
"ตัณหาเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ เกิดที่ใดก็ดับที่นั่น (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ฯลฯ)"   
 
   
 
เมื่อมีสติเห็นที่ตัณหาเกิด ณ ที่ใด ก็เห็นโดยปกติที่ไม่ได้มีการเข้าสมาธิระดับฌาน  แต่ปัญญาณที่จะเกิดเข้าไปดับนี้ต้องมีกำลังของสมาธิ   
 
   
 
การประหารกิเลสนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกับการเจริญสติ  แต่เป็นเรื่องของปัญญาอันเห็นชัดในขณะนั้น   
 
   
 
การเจริญสติในขณะฟังธรรม  เป็นการเจริญสติโดยอัตโนมัติ  ไม่ต้องฝึกกรรมฐาน ไม่ต้องมีการสอนแต่อย่างใด   
 
   
 
แต่ถ้าฝึกตามหลักสัมมาสติ ก็ฝึกให้เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เรียกว่าสัมมาสติ ไม่น่าจะเป็นสติในฌานเช่นเดียวกัน | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
| 
 |