Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การปฏิบัติธรรมในยุคปัจจุบัน (4) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ขนุนธรรม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 14
ที่อยู่ (จังหวัด): นครราชสีมา

ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2006, 9:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันนี้เราจะมาพูดถึงการปฏิบัติในกิจญาณในอริยสัจ 4 กัน

พุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรมอันวิเศษซึ่งเรียกว่า อริยสัจ 4 ซึ่งในการตรัสรู้ของพุทธองค์จริงๆ แล้วไม่ได้มีภาษาที่จะเรียกธรรมะที่ทรงตรัสรูว่าเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็น ไตรลักษณ์ อริยสัจ เพราะธรรมะที่แท้จริงที่พุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นธรรมะที่ถ่ายทอดสู่จิตเพียงอย่างเดียวซึ่งทางภาษาบาลีเรียกว่า ปรมัตถ์ แล้วเมื่อพุทธองค์ทรงตรัสรู้และเข้าใจธรรมนั้นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว พระองค์ก็ทรงนำมาบัญญัติเป็นภาษาของมนุษย์ที่ใช้กันซึ่งเรียกกันว่า สมมติบัญญัติ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเพราะธรรมะที่แท้จริงนั้นไม่มีภาษาที่จะเรียกอะไรเป็นอะไร มีแต่เพียงบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่เท่านั้น ดังนั้นเมื่อพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ถึงกับทรงท้อพระทัยไม่กล้าที่จะนำธรรมะที่ทรงตรัสรู้ไปสอนเหล่าเวไนยสัตว์เพราะพระองค์คิดว่าอาจจะเหนือวิสัยการเข้าใจของมนุษย์ได้ แต่ท้ายสุดพระองค์ก็ทรงพิจารณาถึงบัว 4 เหล่า ว่าย่อมต้องมีบุคคลที่ต้องสามารถรู้ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ได้อย่างเป็นแน่แท้ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงนำธรรมะเหล่านั้นไปโปรดแก่เหล่าเวไนยสัตว์ ซึ่งก็ปรากฏว่าในปัจจุบันก็มีผู้ที่รู้ธรรมะของพุทธองค์อย่างมากมาย ดังจะเห็นได้จากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

การที่เราจะเข้าใจในการปฏิบัติได้นั้นเราจำเป็นจะต้องเข้าใจในอริยสัจ 4 บ้างพอสมควร มิเช่นนั้นเราก็จะไม่รู้จุดหมายปลายทางในการปฏิบัติ ไม่รู้แนวทางว่าปฏิบัติเพื่ออะไร ได้ผลเป็นเช่นไร ซึ่งเราจะมาทำความเข้าใจกันว่ากิจในอริยสัจนั้นมีอะไรบ้าง

1. ทุกข์ ซึ่งหลายคนก็คงเคยได้ยินมาว่าทุกข์นั้นให้กำหนดรู้ ซึ่งการรู้ทุกข์ในที่นี้หมายถึงรู้ว่ารูปนามตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์นั่นเองคือสภาพที่ทนได้ยาก มิใช่ว่าเป็นทุกขเวทนาแต่อย่างใด แล้วอะไรหล่ะที่เราจะใช้กำหนดรู้ทุกข์ ก็คือเครื่องมือที่เรามีอยู่อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเรานี่เอง ระลึกให้ทันว่าการรับรู้อายตนะทั้ง 6 ทางมีการเกิดดับอยู่ทุกขณะที่ระลึกได้ เมื่อมีสติระลึกไปคราใดก็เห็นรูปนามเกิดดับทันที เห็นสภาพที่ทนได้ยาก ไม่จีรังยั่งยืน และบังคับไม่ได้ ของรูปนาม อย่างนี้จึงจัดว่ากำหนดรู้ทุกข์ ฉะนั้นถามต่อว่าแล้วหากเป็นทุกขเวทนาทางกายและทางใจหล่ะควรทำอย่างไร ก็ต้องระลึกรู้ให้เห็นสภาพแห่งทุกข์ (คือการทนได้ยาก) ไม่จีรังยั่งยืน และบังคับไม่ได้ ของทุกขเวทนานั้นๆ เช่นกัน มิใช่กำหนดรู้ทุกขเวทนาทางกายหรือใจแล้วมาเข้าใจว่าเนี่ยแหละตัวทุกข์ที่ต้องกำหนดรู้ ซึ่งผู้เขียนก็เคยเข้าใจเช่นนี้มาก่อน เพราะว่าอะไรก็เพราะทุกขเวทนานั้นก็ทนอยู่ไม่ได้ มีการเกิดดับอยู่อย่างนั้น สมดังที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า

"ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป" ซึ่งก็หมายถึง มีแต่รูปนามที่ ทนสภาพได้ยากหรือว่ากันง่ายๆก็คือมีแต่รูปนามที่ตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์นั่นเอง ซึ่งการกำหนดรู้ทุกข์นี้สำคัญมาก เพราะเมื่อกำหนดรู้ไปเรื่อยๆ สาเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ก็เป็นอันละได้เอง

2. สมุทัย ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินมาว่า สมุทัยให้ละ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นสมุทัยซึ่งเกิดจากกิเลสตัณหา ความอยาก นั้นจะไปละตรงๆ เลยไม่ได้ เพราะเป็นอนุสัยที่ติดอยู่กับจิตมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงสามารถทำได้เพียงกำหนดรู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ จนจิตเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าไม่มีสิ่งใดที่เราสามารถยึดไว้เป็นของเราได้เลย

- รูปที่เห็น แม้จะสวยงามสักแค่ไหนรูปนั้นก็ไม่ได้ปรากฏติดตาติดใจอยู่ตลอดเวลา ล้วนเสื่อมสูญ เป็นของกลางว่างจากตัวตน ว่างจากเจ้าของ

- เสียงที่ได้ยิน แม้จะไพเราสักแค่ไหนก็ไม่ได้ดังก้องกังวาลอยู่ที่หูตลอดเวลา ล้วนมีอันเสื่อมสูญไป

- กลิ่นที่หอม แม้จะหอมสักปานใดกลิ่นั้นก็ไม่ได้ติดอยู่ที่จมูกตลอดเวลาล้วนมีอันเสื่อมสูญไป

- รสชาติที่อร่อย แม้จะอร่อยสักเพียงใดรสอาหารเหล่านั้น ก็ไม่ได้ค้างอยู่ที่ลิ้นตลอดเวลาล้วนมีอันเสื่อมสูญไป ฯลฯ

เมื่อจิตเข้าใจเป็นเช่นนี้แล้วก็จะเห็นทุกข์ที่แท้จริงคือการที่เห็นความอยากที่จะกระเสือกกะสนไปแสวงหาสิ่งต่างๆอันมี รูปสวยงาม รสอร่อย เสียงเพราะๆ ว่าเป็นความทุกข์ที่แท้จริง เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นสมบัติของตนสักอย่าง ล้วนเป็นของกลางว่างเปล่าจากตัวตนทั้งหมด

3. มรรค ซึ่งหลายคนเคยได้ยินว่า มรรค ควรเจริญ ซึ่งมรรคนั้นมีอยู่ 8 ประการซึ่งควรเจริญให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้น แต่หากเข้าใจดีแล้วจะเห็นได้ว่าหากมีสติก็เป็นการรวมเอามรรคทั้ง 8 มารวมกันในขณะที่สติเกิดนั้น หลายคนคงเคยระลึกเห็นว่าตัวเองกำลังเผลอคิด เผลอดู เผลอดมกลิ่น แล้วมีสติที่เคยสั่งสมมาจากการปฏิบัติระลึกได้แล้ว การคิด การดมกลิ่น การฟังเสียง ด้วยความเคลิมเคล้มก็จะหมดไป จิตขณะนั้นจะโล่ง โปร่ง เบา สบาย ซึ่งต้องเป็นสติที่มิได้มาจากการบังคับด้วย เพราะการบังคับนั้นมิใช่เป็นของสติของจริง แต่หากเป็นการสร้างความเคยชินให้สติเกิดขึ้นบ่อยก็เท่านั้น แต่สติที่เราต้องการก็คือ สติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวมาก่อนนั่นเอง ดังนั้นจึงควรเจริญมรรคให้มาก

4. นิโรธ ซึ่งเป็นความดับทุกข์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเจริญมรรคนั่นเอง ซึ่งความดับทุกข์นี้เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจอย่างแท้จริง กล่าวคือทุกข์ทางใจหมดไปนั่นเอง ซึ่งสภาวะนิโรธนี้ทุกคนที่ปฏิบัติก็จะได้สัมผัสเสมอเมื่อสติเกิดขึ้น วงจรแห่งขันธ์ 5 ที่จะไปปรุงแต่งสร้างทุกข์ ร้อยแปดพันเก้านั้นก็จะหมดไป แต่หากเป็นการเจริญสติในช่วงแรกๆ นั้น หากสติไม่บริบูรณ์แล้วกิเลสมีกำลังมากกว่า กิเลสก็เข้ามาแทน แต่เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆจนกิเลสหมดไปอย่างสิ้นเชิงก็จะถึงสภาวะนิโรธอย่างแท้จริงคือความหมดทุกข์อย่างถาวรซึ่งก็คือพระอรหันต์ก็จะเป็นนิโรธ อันเป็นจุดหมายสูงสุดในการปฏิบัตินั่นเอง

กิจญาณในอริยสัจ 4 นั้นมีความสำคัญมาก นักปฏิบัติพึงทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าควรทำอะไร แล้วผลคืออะไร อันนี้ต้องรู้ หากไม่รู้ก็จะเดินทางไม่ถูก แต่เมื่อรู้แล้วก็พึงปฏิบติเสียมิใช่มีทั้งแผนที่และเข็มทิศแต่ไม่ออกเรือเสียทีก็คงอยู่ที่เดิม ได้แต่เพียงคาดฝันว่าหมู่เกาะสวรรค์เป็นอย่างไรแต่ก็ยังไม่เห็นด้วยตาของตนเอง ดังนั้นเมื่อมีทั้งแผนที่และเข็มทิศพึงรีบออกเรือเดินทางเสียเพื่อที่จะได้พบหมู่เกาะสวรรค์ในไม่ช้า

การแนะนำกิจญาณในอริยสัจในวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้ สวัสดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง