การปฏิบัติธรรมในยุคปัจจุบัน (3)

ตอบเมื่อ: 30 ต.ค.2006, 9:12 am

วันนี้ขอพูดเรื่องเบาๆ เรื่องปัญหาและข้อสงสัยในการปฏิบัติที่ถามกันมากในเรื่องการเจริญสติ
หากว่าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ การบำเพ็ญกุศลอย่างอื่น เช่น ให้ทาน เป็นต้น เราจะยังสามารถทำได้อยู่หรือไม่
- คำตอบคือว่า สามารถทำได้ทุกอย่าง และก็สามารถทำได้อย่างเต็มใจที่สุด แต่การปฏิบัตินั้นจะแทรกอยู่ในระหว่างการทำบุญนั้นคือ
เช่น เมื่อเราไปวัดเพื่อทำบุญใส่บาตร ขณะที่เราใส่บาตรแล้วจิตเกิดมีอาการใดๆที่แสดงขึ้น เช่น จิตมีปีติ มีความสุข ก็ให้ระลึกรู้ไปตรงขณะที่จิตมีความสุข หรือแม้แต่กระทั่งจิตมีความคิดปรุงแต่งใดๆที่เป็นความเศร้าหมอง เช่น ขณะใส่บาตรมีคนมาแซงแถวที่เราต่ออยู่ก็ให้ดูความขุ่นเคืองที่ปรากฏขึ้นว่ามีลักษณะอย่างไร หลังจากนั้นเมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาบุญให้พร ขณะที่พระสงฆ์ให้พร ก็มารู้ที่จิตว่าสมมติว่าจิตเป็นศุข เบิกบานก็มาระลึกรู้ที่จิตขณะที่กำลังเป็นสุข เบิกบานนั้น
ฉะนั้นเราสามารถที่จะบำเพ็ญกุศลได้ทุกประเภท ซึ่งยิ่งจะได่อานิสงส์มากว่าคนที่ไม่ได้เจริญสติอีกเพราะมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นว่า จิตเป็นสุข หรือเศร้าหมองจะเกิดขึ้นเองลอยๆไม่ได้ ย่อมมีเหตุปัจจัยมากระทบก่อน ดังที่ได้แสดงตัวอย่างข้างบน ซึ่งจะตรงตามที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า แม้ขณะใดจิตเป็นกุศลก็ระลึกรู้ในจิตที่เป็นกุศลนั้น เมื่อใดจิตเป็นอกุศลก็ระลึกรู้ในจิตที่เป็นกุศลนั้น เมื่อเข้าใจพฤติกรรมของจิตไปเรื่อยๆ ก็จะทราบว่า แม้เราไปทำบุญ สร้างกุศลใดๆ ก็ปราศจากตัวตนทั้งหมด มีแต่สภาวะจิตที่เบิกบาน (เป็นกุศล) หรือมีสภาวะที่เศร้าหมอง ขุ่นเคือง (เป็นอกุศล) ที่เกิดขึ้น แล้วดับไป แม้จะยึดไว้สักแค่ไหนก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะอำนาจแห่งพระไตรลักษณ์นั่นเอง จึงทำให้ละความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนเสียได้
วันนี้ขอกล่าวเพียงแค่นี้
สวัสดี