Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การปฏิบัติธรรมในยุคปัจจุบัน (2) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ขนุนธรรม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 14
ที่อยู่ (จังหวัด): นครราชสีมา

ตอบตอบเมื่อ: 28 ต.ค.2006, 9:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันนี้เราจะมาพูดต่อจากมื่อวานว่า การมองชีวติให้ถูกมุมนั้นต้องมองอย่างไร ซึ่งอันดับแรกคุณต้องเข้าใจในเนื้อหาบ้างก่อนเล็กน้อย

1. คุณรู้จักเครื่องมือในการมองชีวิตให้ถูกมุมแล้วหรือยัง
ก่อนที่คุณจะเริ่มปฏิบัติธรรมหรือเริ่มอยากจะมองชีวิตให้ถูกมุมคุณต้องรู้จักเครื่องมือในการปฏิบัติก่อนมิฉะนั้นก็จะทำไปโดยไม่รู้จุดหมาย
ความจริงแล้วคุณมีเครื่องมือในการมองชีวิตให้ถูกมุมแต่เชื่อหรือไม่ว่าบางคนไม่เคยใช้มันมาก่อนเลยคราวนี้ลองมาสังเกตพร้อมๆกันซิว่า มีอะรไบ้าง
1.1 คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่าทำไมคุณจึงมองเห็นได้ เราลองมาแยกองค์ประกอบที่ทำให้คุณมองเห็นได้
- เพราะเนื่องจากคุณมีตาแล้วมีประสาทตาเป็นเสมือนจอรับภาพอยู่ภายในตา(เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าตัวรับหรือธาตุรับ)
- เพราะเนื่องจากมีอะไรบางอย่างที่ทึบแสงจากภายนอกซึ่งต้องมีแสงสว่างมากระทบสิ่งๆนั้นแล้วสะท้อนเข้ามาสู่ประสาทตาของคุณ (เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าตัวกระทบหรือธาตุกระทบ)
- เมื่อตาซึ่งมีประสาทตาซึ่งมีลักษณะเหมือนจอรับภาพถูกฉายไปเจอกับสิ่งที่อยู่ภายนอกซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณสามารถมองเห็น ก็ทำให้คุณเกิดสภาพการเห็นขึ้น ตรงจุดนี้เองคุณก็จะรับรู้ว่าคุณเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมายหลังจากนั้นกระบวนการทางกายและจิตก็จะประมวลภาพที่คุณเห็น แล้วคุณก็จะจำได้ว่าสิ่งที่คุณเห็นนั้นเป็นอะไร แต่เชื่อหรือไม่ว่าคุณรู้จักสิ่งที่คุณกำลังมองเห็น เช่น คน สัตว์ ดอกไม้ แต่คุณไม่รู้สึกตัวเลยว่าคุณกำลังมีสภาพการมองเห็นเกิดขึ้น
- สรุปก็คือเมื่อคุณมีตา ซึ่งทางปริยัติท่านเรียกว่า รูป โดยเป็นรูปภายใน แล้วฉาย ออกไปรับภาพจากภายนอก (สี) ซึ่งท่านก็เรียกว่ารูปเช่นกัน โดยเป็นรูปภายนอก เมื่อรูปภายในกับรูปจากภายนอกกระทบหรือสัมผัสกันแล้วก็จะเกิดสภาพการเห็นขึ้น จากนั้นก็จะมีการแปลความหมายว่าเห็นอะไร คุณก็จะรู้จักสิ่งนั้น
- ข้อสังเกตก็คือว่าหากมีตาสมบูรณ์(โดยไม่พิการทางตา) และมีภาพ(สี) จากภายนอก มากระทบกัน แล้วย่อมเกิดสภาพการเห็นขึ้น(ท่านเรียกว่านาม) เราจะห้ามไม่ให้เห็นไม่ได้เลย
ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่มาให้รับรู้ได้ไม่ว่าจะเป็น ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราเรียกมันว่ารูป เพราะมันไม่สามารถจะรับรู้อะไรในตัวของมัน ส่วนสิ่งที่ไปรู้สภาวะต่างๆว่า เป็นภาพ(สี) เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด เราจะเรียกมันว่า นาม เพราะมันเสามารถรู้อะไรๆได้
นี่คือเครื่องมือที่เราจะใช้ในการปฏิบัติธรรมที่สำคัญมาก ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้จักก็คือรูปกับนาม หากเราไม่รู้จักรูปกับนามแล้ว เราก็จะปฏิบัติได้ไม่ถูกต้องและจะหลงไปทำอย่างอื่นซึ่งไม่ถูกทางเสียแล้ว ซึ่งผู้เขียนก็เคยผิดพลาดมาเช่น
- นั่งสมาธิโดยดูลมหายใจเข้าออกให้จิตสงบแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น
- ดีขึ้นมาหน่อยก็คือว่าเมื่อจิตสงบ เป็นสมาธิแล้ว ก็ใช้จิตนี้คิด พิจารณาว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน บังคับไม่ได้ ทนได้ยาก
- การฝึกทางอภิญญา หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น
ฯลฯ


**** ข้อคิดเห็นของผู้เขียน*****
ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง แต่มันยังไม่สุดทางเพียงแค่นั้นเป็นเพียงผลพลอยได้จากจิตที่สงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการน้อมนึกพิจารณาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน ผู้เขียนเคยเข้าใจว่าเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นวิปัสสนาไม่ หากแต่เป็นเพียงปรับปรุงตกแต่งปฏิปทาให้จิตเห็นตามความจริงที่พุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้วแค่นั้น
วันนี้เราคงพอรู้จักกับรูปนามกันบ้างแล้ว ซึ่งผู้เขียนลำบากใจพอสมควรที่จะอธิบายโดยวิธีการเขียน เพราะอาจจะเข้าใจยากอยู่สักหน่อย แต่ผู้เขียนก็พยายามที่จะช่วยในการอธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากที่สุดโดยจะไม่ใช้ภาษาบาลีมากนักแต่มันทำได้ยากจริงๆ ดังนั้นบทความนี้จึงเหมาะสมกับผู้ที่ได้ศึกษาทางปริยัติมาบ้างพอสมควร
ครั้งต่อไปเราจะมาดูกันต่อไปว่า เราจะมีวิธีการใช้เครื่องมือคือรูป กับ นาม กันอย่างไรเพื่อให้เข้าใจ ในทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ วิธีการดับทุกข์ และความเข้าถึงการดับทุกข์ในชีวิตประจำวันของเรา
สวัสดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง