Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เกิด-ดับ กีสาโคตมี อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กรกต
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 11

ตอบตอบเมื่อ: 28 ต.ค.2006, 11:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารถเรื่อง นางกีสาโคตมี ความพิสดารว่า นางกีสาโคตมี เป็นสะใภ้เศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ วันหนึ่งบุตรของนางซึ่งกำลังน่ารักน่าชังได้ถึงแก่ความตายลงไปอย่างกะทันหัน ก็มีความโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง วงศาคณาญาติจะนำศพไปเผาตามประเพณีนางก็ไม่ยินยอม แย่งเอาร่างบุตรน้อยมากอดไว้แนบอก เที่ยวถามหายาที่จะช่วยชุบชีวิตบุตรของตน มิใยใครจะหาว่าเป็นบ้าไปแล้วหรือ การจะไปหายามาทำให้คนที่ตายไปแล้วกลับฟื้นนั้นมีที่ไหน แต่นางก็ไม่ยอมเชื่อ ก็คงร้องไห้ฟูมฟาย อุ้มร่างลูกน้อยกระเซอะกระเซิงไปตามถนน ร้องครวญคร่ำพร่ำหายาวิเศษมาช่วยชีวิตลูกน้อย

มีคนสงสารนาง จึงแนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะเชื่อว่าพระองค์คงจะมีพระพุทโธบายช่วยให้นางเข้าใจหลักธรรมในชีวิตได้ โดยหลอกว่าพระศาสดาองค็จอมไตรนั้นคงจะมียาวิเศษที่จะช่วยชุบคนตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีวิตได้ นางกีสาโคตมีก็ดีใจ รีบอุ้มร่างลูกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลขอยาวิเศษ พระบรมศาสดา ทรงมีพุทโธวาทว่า ยานั้นพระองค์มี จะประทานให้ได้แต่ขอให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้พระองค์สักฟายมือหนึ่งก่อน นางกีสาโคตมีได้ฟัง ก็ดีใจ คิดว่า ยาอะไร แค่เมล็ดพันธุ์ผักกาดเพียงฟายมือเดียว…! เราต้องรีบไป พอได้มา ลูกเราก็จะได้ฟื้นคืนชีวิตละทีนี้ นางกำลังจะลุกแล่นออกไป พระพุทธองค์ก็มีพุทธบรรหารต่อไปว่า

เดี๋ยวก่อน น้องหญิง จำไว้ด้วยว่า เมล็ดพันธุ์ผักกาดที่จะมีคุณวิเศษสามารถชุบชีวิตคนตายได้นี้ ต้องได้มาจากเรือนของคนซึ่งไม่เคยมีใครตายเลยในบ้านนั้น ตระกูล เท่านั้น…! หากผิดข้อกำหนดนี้แล้ว ก็จะไม่สามารถประกอบยาวิเศษนั้นได้ นางกีสาโคตมีนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบคนตายเลย ฟังรับสั่งแล้วก็ยังไม่เข้าใจ รับถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วก็อุ้มร่างบุตรน้อยเข้าสะเอวออกไปเที่ยวหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด คิดว่า อีกประเดี๋ยวคงจะได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า

…กี่บ้าน…กี่เรือน ที่นางเวียนเข้าไปขอเมล็ดพันธุ์ผักกาด ทุกบ้าน ทุกเรือน ก็รีบนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดออกมาให้ด้วยใจเมตตา …อย่าว่าแต่ฟายมือหนึ่งเลย น้องหญิง สักทะนานหนึ่งก็ได้ ถ้าเจ้าจะนำไปทำยาช่วยชีวิตบุตรของเจ้า… แต่เมื่อนางถามว่า ในบ้านนี้ เรือนนี้ เคยมีคนในครอบครัวตายบ้างไหม นางก็จะได้รับคำตอบอย่างเดียวกันทั้งนั้นว่า มีครอบครัวไหนบ้างในโลกนี้ ที่ไม่เคยมีคนตาย นางรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดมา แล้วก็ต้องคืนกลับไปทุกบ้าน ทุกเรือน แต่เช้า…จนเย็นย่ำค่ำคืน ทั้งเหนื่อยอ่อน ด้วยอุ้มบุตรน้อยเซซังไปตลอด ทั้งหิวกระหายด้วยข้าวน้ำไม่ได้เคยตกลงถึงปากถึงท้องมาเลยตลอดเวลาแต่บุตรนางตาย นางซวนซบสลบลงในชายป่า น้ำค้างตกลงพรมร่างจึงได้สติฟื้นขึ้นมา รำลึกถึงความทั้งหมด แล้วก็กลับได้คิดว่า

“เราคิดว่า มีแต่ลูกของเราเท่านั้นที่ตาย แต่แท้จริง ทุกบ้าน ทุกเรือน เขามีคนตายทั้งนั้น ถ้าจะนับกันแล้ว ในครอบครัวหนึ่งๆ นับชื่อคนตายจะมีมากกว่าคนเป็นด้วยซ้ำ โอ…เรานี่ช่างเขลาจริงหนอ !” นางนึกได้เช่นนั้น ก็รีบไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วก็นิ่งอยู่ พระผู้มีพระภาค ทรงทอดพระเนตรนางด้วยพระทัยกรุณา แล้วตรัสถามว่า นางได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดมาแล้วหรือ นางกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า ทุกบ้านทุกเรือนเคยมีคนตายทั้งสิ้น จึงทรงแสดงธรรมให้นางละความโศกเศร้า ว่าความตายนั่นแล เป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้ นางกีสาโคตมี ฟังพระคาถาจบลง ก็บรรลุโสดาปัตติผล และได้ทูลขอบรรพชาต่อพระองค์ นางได้เป็นภิกษุณี มีนามว่า กีสาโคตมีเถรี

วันหนึ่ง นางกีสาโคตมีเถรี อยู่งานตามประทีปในโรงอุโบสถ ขณะนั่งตามประทีปเห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลงได้ถือเองอาการเกิดขึ้นและดับไปของประทีปเป็นอารมณ์ “สัตว์ทั้งหลายก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดั่งเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพานย่อมไม่เป็นอย่างนั้น” พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในพระคันธกุฏีนั้นเอง ทรงแผ่พระรัศมีไปดั่งนั่งตรงหน้างนาง รับสั่งว่า “อย่างนั้นแล โคตมี สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดและดับ ดังเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่เป็นอย่างนั้นความเป็นอยู่เพียงขณะเดียวของผู้เห็นพระนิพพาน ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ถึง 100 ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพาน” นางกีสาโคตมี นั้งอยู่ตามเดิมนั่นแล ดำรงอยู่ในพระอรหัต พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลาย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กเมื่อวานซืน
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 ต.ค. 2006
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบรี

ตอบตอบเมื่อ: 29 ต.ค.2006, 3:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ

ขอบคุณที่นำมาให้อ่าน
 

_________________
กินเหมือนสุกร อยู่เหมือนสุนัข ฝักใฝ่เสพกิเลสร่ำไป
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง