ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.ย. 2006, 10:50 pm |
  |
ประเด็น.......
การคิดเรื่องชาตินี้ชาติหน้านั้นไม่มีประโยชน์ในการดับทุกข์ที่กำลังเกิดอยู ่ "ขณะนี้"
เหมือนไฟกำลังไหม้ผมเราอยู่ "ขณะนี้"
ก็ควรรีบดับไฟ "ขณะนี้"
ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ พิสูจน์ได้ ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้
=================================
ความเห็น.......
ประเด็นนี้ ผมเห็นด้วย100%ครับ กับการเน้นการดับทุกข์ทางใจในปัจจุบัน
แต่ความจริง ในพระสูตรต่างๆ พระพุทธองค์ไม่ได้แยกทุกข์ออกเป็น ทุกข์ทางใจในปัจจุบัน กับทุกข์ที่ต้องไปเกิดตายจริงๆออกจากกันน่ะครับ...... พระพุทธองค์ท่านตรัสทุกข์เหล่านี้ไว้รวมกันเลย คือ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสๆลๆ........ และพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสว่า การเวียนว่ายตายเกิด(เกิดตายจริงๆ)นั้นไม่ใช่ทุกข์น่ะครับ
คือท่านไม่ได้แยก ชาติ ชรา มรณะ(การเวียนว่ายตายเกิด) ไว้ส่วนหนึ่ง......แล้วแยก โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสๆลๆ(ทุกข์ทางใจในปัจจุบัน)ไว้อีกส่วนหนึ่ง
ในสัจจบรรพของมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านกล่าวรวมไว้ด้วยกันเลยน่ะครับ และท่านยังบอกอีกว่า "กล่าวโดยย่อ อุปาทานขันธ์๕เป็นทุกข์".......
ในปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์(สมุทัยวาร) เริ่มจากอวิชชาไปจนครบ11ปัจจัย 12องค์ธรรมนั้น จะผ่านตรง อุปาทาน ......ตรงนี้ล่ะสำคัญมาก ตรงอุปาทาน(คนล่ะองค์ธรรมกับอุปาทานขันธ์๕)นี้ล่ะครับ......
อุปาทานนั้นประกอบด้วย4อย่างคือ
๑. กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม
๒. ทิฏฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฏฐิ
๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต
๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นวาทะว่าตน(หรือ ตัวกู-ของกู)
อุปาทาน(เน้นตรงอัตตวาทุปาทานซึ่งเป็นรากของอุปาทานอีก๓อย่างที่เหลือด้วย)นี้ล่ะที่มีพระสูตรตรัสแสดงไว้ชัดเจนว่า สามารถทำให้เกิดทั้งทุกข์ทางใจในปัจจุบัน และเป็นแรงผลักดันให้หมู่สัตว์ไปเกิดใหม่(จริงๆ)
พระสูตรที่แสดงให้เห็นชัดว่าอุปาทาน(เน้นอัตวาทุปาทานหรือตัวกู-ของกู)สามาร ถทำให้เกิดทุกข์ทางใจในปัจจุบันโดยตรงเลย(โดยไม่ต้องไปผ่านขั้นตอน ภพ ชาติ ชรา มรณะ) ก็คือ อัตตทีปสูตร........
ขอยกเนื้อหาสำคัญมาเลย
".......จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
ย่อมเห็นตนมีรูป ๑
ย่อมเห็นรูปในตน ๑
ย่อมเห็นตนในรูป ๑
รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่าง อื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป. ......" (ส่วน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน)
.........จาก อัตตทีปสูตรนี้ เป็นตัวอย่างพระสูตรที่นำมาใช้อธิบายถึงกลไกทุกข์ของที่เกิดทุกเมื่อเชื่อวั นได้เป็นอย่างดี......โดยไม่ต้องไปกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกันกับชาติ-ชรา-มรณ ะเลยก็ได้!!!....หรือ จะกล่าวว่า"อัตตวาทุปาทาน " หรือ ตัวกู-ของกู นั้น เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ที่พบได้ทุกเมื่อเชื่อวันโดยตรงเลยก็คงไม่ผิด
ทีนี้ มีพระสูตรไหนไหม ที่ทรงตรัสว่าอุปาทานเป็นเหตุให้สัตว์ไปเกิดจริงๆ(ไม่ใช่สำนวนโวหาร ที่หมายถึง การเกิดขึ้นของตัวกู-ของกู)
ลอง พิจารณา กุตุหลสาลาสูตรดูน่ะครับ
ประเด็น
..พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น
หาบัญญัติแก่ คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่
.พระพุทธองค์ทรงบัญญัติการเกิดเฉพาะกับผู้มีอุปาทาน เท่านั้น
.พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติการเกิดกับผู้หมดอุปาทาน
อุปาทานเป็นปัจจัยของภพ
ภพเป็นปัจจัยของชาติ
เมื่อหมดอุปาทานก็หมดเกิดนั่นเอง......จากปฏิจจสมุปบาท
ที่ต้องให้ความสนใจคือการเกิดในพระสูตรนี้ พระพุทธองค์กล่าวถึงการเกิดของอะไร
ระหว่าง การเกิดจริงๆแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ หรือ เป็นการกล่าวว่าการเกิดนี้เป็นการเกิดขึ้นของความรู้สึกว่าเป็นตัวกู-ของกู( อหังการ-มมังการ)
ลองพิจารณาถึง การตาย ที่ตรัสในพระสูตรนี้ให้ละเอียดน่ะครับ
..
มีพระพุทธวจนะที่ตรัสถึง
. การตายแล้วไปเกิดในภพใหม่ ที่บรรยายด้วยคำว่าผู้นั้นกระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลาย
.. คำว่ากระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วนี้หมายถึงตายจริงๆน่ะครับ คือ คนตายนี่ล่ะครับ
มันจะเป็นไปได้ไหมครับ ที่การเกิดหรืออุปบัติที่พระพุทธองค์ทรงกำลังตรัสอยู่นี้ จะกลายเป็นการเกิดขึ้นของความรู้สึกว่าเป็นตัวกู-ของกู(อหังการ-มมังการ)
ในเมื่อการตายที่พระองค์ทรงกำลังตรัสอยู่นี้คือ การตายจริงๆ
ลองพิจารณาดูน่ะครับ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.ย. 2006, 10:51 pm |
  |
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.ย. 2006, 10:54 pm |
  |
ท่าน อาจารย์ วศิน อินทสระ มีความเห็นที่น่าสนใจดังนี้ครับ
จากหนังสือ หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ของ อ. วศิน อินทสระ
เรื่องหลักกรรมและสังสารวัฏเป็นซีกหนึ่งของพระพุทธศาสนา คือเป็นเป็นซีกโลกียะ เมื่อนำเอาหลักอริยสัจมาพิจารณาเรื่องตาย - เกิด ก็เป็นเรื่องของอริยสัจ ๒ ข้อต้น คือ ทุกข์กับสมุทัย กล่าวคือตัณหาอันเป็นเหตุให้คนและสัตว์ยังต้องเกิดต่อไป เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องทุกข์ต่อไป
ในราตรีที่ตรัสรู้นั้น พระพุทธเจ้าทรงได้ญาณ ๓ ,ญาณ ๒ ข้อต้นก็เป็นพระญาณอันเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย และของพระองค์เอง ส่วนญาณที่ ๓ ( อาสวักขยญาณ) เป็นพระญาณอันเป็นไปเพื่อความสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดถ้าการเวียนว่า ยตายเกิดไม่มี คนเราเกิดมาเพียงชาติเดียวแล้ว การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจะมีความหมายอะไร นิโรธและมรรคจะเป็นธรรมอันประเสริฐได้อย่างไร แต่เพราะมีกรรมมีการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง อริยสัจ ๔ จึงเป็นพระญาณอันล้ำลึกของพระบรมศาสดา
บางคนกล่าวว่าที่ว่าความเกิดเป็นทุกข์นั้นหมายถึง ความเกิดขึ้นของกิเลสตัณหาในใจ ความเกิดของขึ้นของอหังการ มมังการ(ความยึดมั่นว่า ตัวกุ ของกุ) ไม่ใช่การเกิดจากท้องแม่ ความเห็นนี้มีส่วนถูกเหมือนกันแต่แคบไป เพราะการเกิดจากท้องแม่ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน อย่างที่เห็นๆกันอยู่แล้ว อนึ่ง ถ้าถือว่าความเกิดที่ตรัสในนิเทศแห่งอริยสัจ หมายถึงความเกิดของอหังการ มมังการแล้ว ความแก่และความตายก็ควรจะหมายถึงความแก่และความตายของอหังการ มมังการด้วยเหมือนกัน ความตายของอหังการ มมังการเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ด้วยหรือ ? ควรจะเป็นสุขอย่างยิ่งดังพระพุทธพจน์ว่า " อสฺมิมานสฺส วินโย เอตํ เว ปรมํ สุขํ - การถอนอัสสมิมานะเสียได้ เป็นความสุขอย่างยิ่ง"
อีกอย่างหนึ่งในนิเทศแห่ง "ชาติ" ในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็ระบุชัดหมายถึงการเกิดจากท้องแม่ มีพระพุทธพจน์ดังนี้
" ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจเป็นไฉน? ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ..... ที่ว่าความเกิดนั้น เป็นไฉน ? หมายถึงความเกิดขึ้น การหยั่งลง การบังเกิดขึ้นใหม่ของสัตว์ทั้งหลาย ในพวกสัตว์นั้นๆ คือการปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ การมีอายตนะ(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) "
พระพุทธภาษิตนี้ บ่งชัดทีเดียวว่า หมายถึงการเกิดเป็นตัวตนจากท้องมารดา นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอื่นอีกมาก อันแสดงว่าความเกิดที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น หมายถึงการเกิดเป็นตัวตน เป็นบุคคล มีขันธ์และอายตนะ
การเวียนว่ายตายเกิดจะสิ้นสุดลง ก็ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นได้พัฒนาจิตถึงที่สุดแล้ว(ตามแนวทางในมหาสติปัฏฐาน) ละกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิง สิ้นกรรมอันเป็นเหตุให้เกิดอีก เรื่องกิเลส กรรมและการเวียนว่ายตายเกิด จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและอย่างจำเป็น คือแยกกันไม่ได้" |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.ย. 2006, 10:57 pm |
  |
ท่านอาจารย์ วศิน อินทสระ
จากหนังสือ " หัวใจพระพุทธศาสนา" เกี่ยวกับเรื่อง ทิฏฐุปาทาน ว่า
".........ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาบางคน มองพระธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงด้านเดียวเหมือนกัน แล้วติดอยู่เฉพาะในส่วนนั้น ปฏิเสธส่วนอื่นๆเสียสิ้น ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นเอนกปริยาย เพื่อประโยชน์แก่บุคคลทุกระดับชั้นตามภูมิปัญญาของเขาเท่าที่พอจะรู้ได้และน ำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนตามสมควรฐานะ
แต่นักการศึกษาสมัยใหม่บางคนสำคัญตนว่าเป็นผู้เข้าใจพระพุทธศาสนาดี ถูกต้อง ตรง เลื่อมใสพระพุทธวจนะสูตรใดสูตรหนึ่งตอนใดตอนหนึ่ง แล้วปฏิเสธส่วนอื่นซึ่งมิใช่ส่วนนั้นทั้งหมดว่ามิใช่พุทธศาสนา
บางคนเลื่อมใสกาลามสูตรหรือเกสปุตตสูตรอันว่าด้วยเรื่องความเชื่อ ว่าไม่ควรรับเชื่อเพราะอย่างนั้นๆ ๑๐ ประการ รวมทั้งไม่ควรเชื่อในฐานะที่ผู้นั้นเป็นครูของเราด้วย ในที่สุดก็ไม่เชื่ออะไรเลย เขามิได้เอื้อเฟื้อต่อคำสอนอื่นๆ ของพระพุทธองค์ที่สอนให้มีศรัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ บุคคลที่ควรเชื่อ เขามิได้นึกว่ากาลามสูตรนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องเฉพ าะคราวเท่านั้น แก่บุคคลกลุ่มนั้นเท่านั้น
บางคนไปติดจูฬมาลุงกโยวาทสูตร ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงแก้ปัญหาเรื่องโลก และเรื่องชีวิตวิญญาณหลังจากตายแล้วเป็นอย่างไร แล้วยืนยันมั่นคงโดยอ้างพระสูตรนี้อยู่สูตรเดียวว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระท ัยเรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด แต่ที่ทรงแสดงไว้ในที่อื่นมากมายเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด เขาไม่สนใจรับฟัง ฝังใจอยู่แต่พระสูตรนี้เท่านั้น
ยึดมั่นด้วยทิฏฐิว่า นี้เท่านั้นถูกต้อง อย่างอื่นเหลวไหลทั้งสิ้น ( อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญํ) อันพระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า สัจจาภินิเวส จัดเป็นคันถะ เครื่องผูกมัดอย่างหนึ่งในบรรดาคันถะ ๔ ประการ เรียกว่า อิทังสัจจาภินิเวส คือความยึดมั่นว่านี้เท่านั้นจริงอย่างอื่นเหลวไหลทั้งสิ้น อันเป็นทัศนะที่แคบ มืดมน ทำให้ร้อนกายร้อนใจเหมือนคนขุดบ่อลึกแต่แคบ ยิ่งลึกยิ่งมืดและร้อนเมื่อลงไปอยู่ในนั้น......." |
|
|
|
  |
 |
คนโง่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ย. 2006, 5:20 pm |
  |
แล้วที่คิดเป็นปัจจุบันนั้นดับทุกข์ได้แล้วหรือยัง |
|
|
|
|
 |
อยากฉลาด
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ย. 2006, 6:28 pm |
  |
ทำไม ทุกข์ ทุกข์ แล้วรู้สึกอย่างไร อย่างไรเรียกว่า ทุกข์
คนสติแตกมี ทุกข์ไหม
เราเห็นเขา ทุกข์ แต่ เขา ทุกข์ ไหม  |
|
|
|
|
 |
ผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ย. 2006, 5:14 pm |
  |
ประโยชน์ และ วิธีฝึก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ / อตีตังสญาณ
คัดมาจากบางส่วน ของคำสอนของพระราชพรหมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ในเรื่อง วิธีฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ อตีตังสญาณ มีดังนี้.....
ประโยชน์ของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณนี้ เป็นญาณระลึกชาติได้ คือถอยหลังชาติต่างๆ ที่เกิดมาแล้ว เป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนชาติ ฝึกระลึก ตามลำดับชาติตามลำดับ คือตั้งแต่ชาติที่หนึ่ง เป็นลำดับไปจนถึงชาติที่หมื่นแสน แล้วก็ย้อนจากชาติปลายสุดกลับมา หาชาติปัจจุบัน แล้วพยายามฝึกระลึกชาติสลับชาติ คือคิดว่าจะระลึกชาติในระดับไหนก็ให้ได้โดยฉับพลันทำอย่างนี้ ให้คล่อง จะมีประโยชน์มาก เพราะ.....
๑.จะกำจัดมานะทิฏฐิ ความถือตัวถือตนว่าเป็นผู้วิเศษเสียได้เป็นอย่างดี
เพราะ เมื่อพบสัตว์เดียรัจฉานเราก็เอา ญาณนี้ช่วย โดยคิดว่าเราเคยเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างนี้บ้างหรือไม่ ? เราก็จะพบว่า สัตว์อย่างนี้เราเคยเป็น และ อาจจะเคยเกิดเป็นสัตว์อย่างนี้มาแล้วตั้งหลายครั้งหลายหน
เมื่อพบตัวเองว่า เคยเป็นสัตว์เราก็คิดค้นคว้าหากฎของ ความเป็นจริงต่อไปว่า สัตว์อย่างนี้ เราเคยเป็นมาก่อน บัดนี้เราเป็นมนุษย์ เขายังเป็นสัตว์เขาเอากำเนิดมาจากไหน คิดทบทวนไปก็จะพบว่า เรานี้เองเป็นต้นตระกูลสัตว์
บัดนี้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นี้ก็ไม่ใช่ใคร คือทายาทของเราเอง เราจะมารังเกียจทายาทของเรา เพื่อประโยชน์อะไร เรารังเกียจเขา เราควรรังเกียจเราเองดีกว่า เพราะเราเลวมาก่อน
ถ้าเราไม่เลวมาก่อนจนกระทั่งเป็นต้นตระกูลสัตว์แล้ว สัตว์พวกนี้ก็จะไม่มีในโลก นี่เราเลวมากจนลืมทายาทของตน เอง รังเกียจทายาทของตนเอง พบคนที่น่ารังเกียจโดยสุขภาพ ทุพพลภาพ ชาติ ตระกูล ก็จงระลึกชาติถอยไปหาสมัย เมื่อเราเคยเกิดเป็นอย่างนั้น
๒. ป้องกันความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเห็นท่านที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โดยฐานะหรือชาติตระกูล
เมื่อเห็นเขาทรง อำนาจราชศักดิ์ เราก็ถอยไปหาชาติที่เคยดำรงความดำรงชีวิตอย่างนั้น เมื่อพบแล้ว ก็สอบต่อไปถึงความสุขความ ทุกข์ที่ได้รับผลในชาตินั้นๆ ตลอดจนต้องพลัดพรากจากฐานะความเป็นอยู่ในสมัยที่ต้องตายจากอัตภาพนั้นๆ ก็จะ
เห็นว่าความเป็นผู้ทรงเกียรติทรงอำนาจมีเงินมีทองของให้มาก ๆ ไม่ได้ช่วยให้สิ้นทุกข์ ไม่มีทางจะกีดกันความป่วยไข้ ไม่สบายและห้ามความตายก็ไม่ได้ ต้องมีทุกข์มีความป่วยไข้ไม่สบาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตายจาก อัตภาพนั้นๆ
ความจริงเป็นอย่างนี้เราจะทะเยอทะยานไปเพื่ออะไร ในเมื่อเรากับเขาก็ตายเหมือนกัน ก่อนตายก็ต้อง แก่ต้องป่วยไข้ ต้องประสบกับความกลัดกลุ้มขัดข้องเหมือนเรา เรามีฐานะน้อย ก็มีห่วงกังวลน้อย คนที่มีฐานะใหญ่ ก็มีห่วงมีกังวลมาก เราสบายกว่า เพราะกังวลน้อยกว่า
ในเมื่อเกิดมาเพื่อตายจะสะสมไปเพียงไหนให้หนัก เราพอใจ ในความเป็นอยู่ของเรา เรามีเท่านี้พอแล้ว คนที่เขายากจนกว่าเราถมไป แต่ทว่าเราหรือใครก็ตามในโลกนี้ ตาย เหมือนกันหมด เราจะมัวมาหลงติดโลกามิสอยู่เพื่ออะไร
*** เราเกิดมาก็มาก ตายมาก็หลายครั้งหลายคราเกิดแต่ละ คราวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ จะกินข้าวสักคำ กินน้ำสักอึก ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ อาหารก่อนจะได้กิน ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะการแสวงหาทรัพย์มาเป็นค่าอาหาร กว่าจะได้มาแต่ละบาทก็ต้องทรมานตน
ทนหนาวทนร้อน คอยหลบหลีกอันตราย นี้เพียงค่าของอาหารมื้อเดียว ทุกข์อย่างอื่นของมนุษย์ยังมีอีกมาก คิดทบทวนถึงค่าเสื้อผ้า ค่าของใช้ ค่ายารักษาโรค รวมความแล้วโลกนี้เป็นโลกของความทุกข์ หาความสุขสดชื่นไม่ได้เลย เมื่อคำนึงถึงทุกข์
*** เพราะอาศัยญาณนี้เป็นตัวค้นคว้า อย่างนี้เป็นเหตุให้เห็นอริยสัจได้โดยง่าย เมื่อคนใดเห็นอริยสัจคนนั้นก็เป็นคนพ้นทุกข์ เพราะหมดกิเลส มีผลให้เข้าถึงพระนิพพานอย่างไม่ยากนัก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
(อตีตังสญาณ)
อตีตังสญาณ ญาณนี้เป็นญาณรู้เรื่องในอดีต คือเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วทั้งในชาติปัจจุบัน และหลายแสนหลาย ล้านชาติ อาการของญาณนี้ดูเป็นญาณที่มีสภาพ เช่นเดียวกันกับปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
แต่ทว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้น ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของตนเอง
อตีตังสญาณนี้ ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของคน สัตว์ และสิ่งของ สถานที่ ภายนอกตนออกไป
สำหรับกฎการกระทำเพื่อรู้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพียงแต่กำหนดจิตถามในเรื่องของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่นั้นๆ เท่านั้น การกำหนดรู้นั้นในขั้นแรกให้กำหนดจิตเพื่อรู้ก่อน ถ้ากำหนดรู้ยังรู้ไม่ชัดเจน ท่านให้กำหนดจิตถาม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ อตีตังสญาณ
การกำหนดจิตเพื่อรู้และถามก็ทำดังที่กล่าวมาแล้ว คือ
เข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔มาหยุดอยู่เพียงอุปจารสมาธิ แล้วกำหนดรู้หรือกำหนดถาม
แล้วเข้าฌาน ๔ (ซ้ำอีกครั้ง) ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน
เท่านี้ก็จะรู้เรื่องละเอียด คือภาพในอดีตจะปรากฏแก่จิตคล้ายดูภาพยนต์
และรู้เรื่องไปตลอดเหมือนกับเราร่วมความเป็น ไปกับภาพนั้น
สร้างความเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอันมาก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่ทว่าท่านมีความเพลิดเพลินรื่นเริงในส่วนที่เป็นกุศล
คือเพลิดเพลินในญาณเป็นเครื่องรู้ ท่านสามารถสังคมกับเทวดาและพรหม
สนทนาปราศรัยโดยธรรม มีความชื่นบานในการรู้เรื่องในอดีตและกาลต่อไปในอนาคต รู้ความเกิดขึ้นและความสูญสลายตน ของสรรพวัตถุและสิ่งที่มีชีวิต เอาสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตนเพื่อความรู้ แจ้งในอนัตตา
*** เป็นการฝึกฝนสั่งสมอารมณ์วิปัสสนาญาณให้แจ่มใส
ตัดกังวลภายในและภายนอก คือตัดกังวลความห่วงใยในร่างกายจนเกินพอดี รู้สภาพว่า กายนี้ต้องพังทลายแน่นอน และเห็นสภาพภายนอกที่เป็นสรรพวัตถุที่จะต้องสลายตัวเช่นเดียวกัน ตัดความมัวเมา ในตนและสรรพวัตถุภายนอกเสียได้โดยสิ้นเชิง มีความหวังในพระนิพพานได้อย่างแน่นอน
ผลของอตีตังสญาณ สร้างความเพลิดเพลินในการรู้เรื่องราวในอดีต และสร้างพลังจิตให้เกิดปัญญาในส่วนวิปัสสนาญาณได้อย่างนี้ ฉะนั้น ท่านจึงนิยมสร้างสมาธิให้ได้ฌาน ๔ และสร้างญาณให้เกิดแก่จิตเพื่อหวังในมรรคผลนิพพาน
*** เพราะการได้ ทิพยจักษุญาณแล้ว ถ้าปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ย่อมเป็นไปได้อย่างถูกต้อง
ไม่หลงผิด ทั้งนี้ถ้าคิดสงสัยใน ปฏิปทาของตนว่า จะผิดหรือถูกประการใด ก็เข้าฌาน ออกฌานอธิษฐานถามได้ เป็นการศึกษาโดยตรงจากท่านที่บรรลุแล้ว เป็นแนวทางที่ถูกที่ตรงและไม่มีอะไรยากอย่างพวกเราสอนกันเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
*** ในบทพระพุทธคุณตอนหนึ่งว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีผลเป็นปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติที่มีอารมณ์จิตเข้า ถึงทิพยจักษุญาณแล้วจะรู้เอง ฉะนั้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
*** ถ้าจะนั่งพรรณนาให้คนที่ไม่มีญาณฟังพูดไปก็เหนื่อยเปล่า มีผลไม่คุ้มเหนื่อย ดีไม่ดีก็จะพลอยทำให้อารมณ์เศร้าหมองขุ่นมัว
ฉะนั้น ใครอยากรู้ว่าพุทธบารมีเป็นอย่างไร ยังจะช่วยอะไรผู้ที่ปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบได้อยู่หรือประการใด ก็ขอให้พยายามประพฤติปฏิบัติในฌาน และสร้างญาณให้บังเกิดแก่จิตก็จะทราบ ชัดแก่ตนเอง
*** ถ้ายังขืนคิดว่า ไม่ต้องทำฌานให้เกิดก็รู้ได้จากตำราแล้ว ท่านก็เป็นคนที่น่าสงสารมาก
เพราะท่านจะ ไม่มีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนชนิดเนื้อแท้จริงจังตามปากท่านพูดเลย วาจาที่ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นพุทธศาสนิกนั้น อาจเป็นวาจาที่พูดกันจนติดปากมากกว่า การพูดด้วยความจริงใจ พูดกันตามภาษาไทยๆ ก็เรียกว่าพูดส่งเดชไป ตามเขาอย่างนั้นเอง
 |
|
|
|
|
 |
ปิงปอง ม.ร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2006, 3:55 am |
  |
ตามความเห็นของผมคิดว่า การไม่ต้องคิดเรื่องความทุกข์ในชาติหน้าให้ดับความทุกข์ในปัจจุบันนั้นก็ดีอยู่ แต่ในหลักมงคลสูตรมงคลที่ 6 เรื่องตั้งตนชอบนั้นได้ให้ตั้งตนชอบใน 3แบบคือ ประโยชน์ในชาตินี้ ประโยชนในชาติหน้า และประโยชน์สูงสุดคือ นิพพาน ถ้าเราห่วงแต่ดับทุกข์ในปัจจบันและสามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุอริยมรรคก็โชคดีไป แต่ถ้าชาตินี้ไม่บรรลุธรรมแล้ว ก็หน้าห่วงว่าชาติหน้าจะเป็นเช่นใด เพราะชาติหน้ามีอยู่จริง มีภพมนุษย์ เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และนรกขุมต่างๆ การที่ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเกิดใหม่ที่ไม่แน่นอนว่าจะไปดีหรือไปร้ายนั้นอาจจะเป็นการประมาทเกินไปหน่อย เพราะขนาดคนที่เขาทำดีมาทั้งชีวิตแต่ตอนตายจิตมีความเศร้าหมองก็ไปทุคติภูมิได้ การทำความดีในรูปแบบ ทาน ศีล ภาวนาจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการเพิ่มโอกาสของการไปพบภพภูมิที่ดีหลังตายแล้วได้ เพราะขณะตายจิตจะนึกถึงสิ่งที่คุ้นเคยเคยทำอยูเป็นประจำ หากทำดีมากๆก็หวังความปลอดภัยแล้วได้สูง มีกลอนกล่าวไว้ว่า ขนโคควายทั่วกายเท่ใดเล่า แต่มีเขาเพียงคู่ไวสู้สิงห์ หวังนิพพานล้านแสนแม้นทำจริง ตายเสร็จสิ้นถึงฝั่งไม่กี่คน ในวัฏสงสารอันยาวไกลที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบหากเราไม่เตรียมเสบียงสำหรับการเดินทางที่ยาวไกลที่สุด น่ากลัวที่สุดนี้เราจะไม่รักตัวเอง ห่วงตัวเองเกินไปรึเปล่า |
|
|
|
|
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2006, 6:48 am |
  |
ทีนี้ในสาย นิโรธวาร(ดับทุกข์)ของปฏิจจสมุปบาท นั้น....
เมื่ออาสวักขยญาณบังเกิดขึ้น วิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาสิ้นไป
อวิชานั้นสิ้นจากใจพระพุทธองค์ตั้งแต่คืนตรัสรู้ที่โคนไม้โพธิ์น่ะครับ..... เพราะในคืนวันนั้นพระองค์ได้ตรัสว่า วิชาได้เกิดขึ้นแล้ว(เพราะอวิชาดับลงไงครับ)..... ในวันนั้นพระองค์ท่านถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้ว...... ที่ถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้น เพราะสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ และถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ(ซึ่งก็คือสิ้นอุปาทานแล้วนั่นเอง). สรุปก็คือ ในคืนวันตรัสรู้นั้น วงจรปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่ อวิชา ไล่ไปจนถึง อุปาทาน นั้นดับสนิทหมด....
จาก ธาตุสูตร......ลองดูวงจรปฏิจจสมุปบาทสิครับ อวิชา สังขาร วิญญาณ นาม-รูป สาฬยะตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา-มรณะ....... . กล่าวคือ วงจรนี้นั้น เมื่ออวิชาดับและดับไล่มาจนถึงอุปาทานนั้น ส่วนที่ต่อจากนั้นอย่างไรเสียจะต้องยุติแน่ๆ ถึงแม้นภพจะยังไม่ดับสนิทโดยประการทั้งปวงในคืนวันตรัสรู้ก็ตาม(เพราะภพจะดับสนิทโดยประการทั้งปวงเมื่อถึงซึ่งอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ อันมีในเบื้องหน้า)...... แต่อวิชา ที่เป็นปัจจัยแรกสุดของวงจรนี้ดับแล้ว..... อย่างไรเสีย การดับสนิทของภพโดยประการทั้งปวง(ดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)ก็จะต้องตามมาเองเป็นของธรรมดา
ผมถึงมองว่า การดับทุกข์ทางใจอย่างสนิท(พระอรหันต์ถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ) และการยุติเด็ดขาดในการเวียนว่ายตายเกิด(พระอรหันต์ดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)นั้นเป็นขบวนการที่ต่อเนื่องกัน คือเป็นสายนิโรธวารของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง...... และทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นโลกุตรธรรมของพระอรหันต์ทั้งสิ้น!!!......
ดังนั้น ตามธาตุสูตรของทางเถรวาทแล้ว จึงไม่สามารถแยกการพ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิง ออกจากการไม่เกิดใหม่ในภพใดๆอีกออกจากกันได้เลย.....
จาก ธาตุสูตร
นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว
อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่า สอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่า อนุปาทิเสส
ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ
------------------------------------------------------------
ผมขอแยกแยะตรงนี้ให้อ่านง่ายๆดังนี้
สอุปาทิเสส นั้นมีลักษณะ
1.มีในปัจจุบัน
2เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
อนุปาทิเสสนั้นมีลักษณะดังนี้
1.มีในเบื้องหน้า
2.เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
-----------------------------------------------------------------
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตตรธรรม และเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา;
ดู นิพพานธาตุ
นิพพานธาตุ ภาวะแห่งนิพพาน;
นิพพาน หรือ นิพพานธาตุ ๒ คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ
สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ,
ดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตอยู่,
นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ;
อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ,
ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต หมายถึง พระอรหันต์สิ้นชีวิต,
นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับภพ; |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2006, 7:10 am |
  |
เมื่อกล่าวถึงเรื่อง "การเกิด(ใหม่)" (คนล่ะคำ คนล่ะความหมายกับ"การกลับชาติมาเกิด"น่ะครับ ขอเน้น)ในพุทธเถรวาท......
ก็มีพระสูตรที่น่าสนใจอื่นๆอีก เช่น
ยมกสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=2447&Z=2585&pagebreak=0
ซึ่งพระสูตรนี้ พระสารีบุตรท่านชี้ให้เห็นว่าคำกล่าวที่ว่า "พระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญ"นั้นไม่ถูก.......
เพราะถ้ากล่าวเช่นนั้น ก็จะไปตกอยู่ในอุจเฉทิฏฐิอีก ว่ามี"ใคร"หรือ"อะไร"ที่ขาดสูญเมื่อชีพนี้สิ้นลง.
และที่พระสารีบุตรท่านกล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีพระอรหันต์ที่ตายแล้วขาดสูญนั้น เพราะถ้าหมดอุปาทานอย่างสิ้นเชิง(พระอรหันต์ถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)ก็ย่อมไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า เป็น ตัวตน บุคคล สัตว์ ใดๆ เหลืออยู่อีกเลย......ก็จะเหลือแต่เพียง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป......
ก็คือ ไม่มีความรู้สึกว่าเป็น ตัวตน บุคคล สัตว์ ใดๆ สำหรับพระอรหันต์แล้วตั้งแต่ชีพยังไม่สิ้น ตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่.....
เมื่อไม่มีความรู้สึกว่าเป็น ตัวตน บุคคล สัตว์ เสียแล้ว
จะเอาตัวตน บุคคล สัตว์ ที่ไหนมาตาย
จะเอาตัวตน บุคคล สัตว์ ที่ไหนมาเกิด(ใหม่)อีก
และที่พระพุทธองค์ทรงตรัสใน กุตุหลสาลาสูตร นั้น ก็ชัดเจนว่า พระองค์ไม่บัญญัติการเกิดกับผู้หมดอุปาทาน.(เกิดแบบไหน โปรดให้ความสำคัญ)
ดังนั้น อุปาทาน นอกจากจะทำให้ใจเป็นทุกข์ในปัจจุบันนี้แล้ว.......
อุปาทานนี้ล่ะ ที่จะเป็นตัวผลักดัน ให้เกิด(ใหม่)จริงๆอีกด้วย....... |
|
|
|
  |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2006, 4:08 pm |
  |
แหะๆ...ตีความบัญญัติเต็มกระบาลหัวเลย...แหะๆ |
|
|
|
|
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2006, 8:31 pm |
  |
ขอบคุณ ทุกๆความเห็นเพิ่มเติมน่ะครับ
จะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2006, 8:33 pm |
  |
ขอเพิ่มอีกสักเล็กน้อยน่ะครับ
ที่ผมไม่เห็นด้วยกับคำว่า"กลับชาติมาเกิด"....
เพราะพระพุทธองค์ตรัสตำหนิสาติภิกษุ ที่เชื่อแบบสัสตทิฏฐิ ว่า มีวิญญาณนั้นล่ะที่เป็นตัวยืนโรงไปเวียนว่ายตายเกิด ในมหาตัณหาสังขายสูตร......
ในขณะที่พระพุทธองค์ตรัสถึง การเกิด"ใหม่"ที่เป็นผลจากการมีอุปาทานไว้อย่างชัดเจนเช่นกันใน กุตุหลสาลาสูตร เช่นกัน......
(ผมไม่ได้มองว่า มหาตัณหาสังขายสูตรนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้จริง..... ส่วนกุตุหลสาลาสูตรนั้น มีพราหมณ์สัสตทิฏฐิมาแอบปลอมปนเอาไว้หรอกน่ะครับ )
ผมถึงมองว่า ถ้ายังไม่สิ้น เหตุ-ปัจจัย การเกิด(ใหม่)ย่อมมีอีก โดยที่ขันธ์๕ในชาติที่แล้วกับขันธ์๕ในชาตินี้ก็ไม่ใช่สิ่งเดิมเลย แม้นแต่วิญญาณก็ตามเถิด...... จะพูดไปไกลข้ามภพ-ชาติ เอาแค่วิญญาณเมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมานี้กับวิญญาณที่ผมกำลังพิมพ์ข้อความนี้ก็ไม่ใช่วิญญาณเดิม......
จึงกล่าวว่าในทางปรมัตถ์แล้ว ไม่มี"ใคร"หรือ"สิ่งใด"มาเป็นตัวยืนโรงคอยเวียนว่ายตายเกิดหรอก..... แต่การเกิด(ใหม่)นั้นมีแน่นอน ถ้าเหตุ-ปัจจัยยังไม่สิ้น
แต่ถ้าชาวบ้านเขาจะกล่าวว่า คนๆนั้นตายแล้ว คนๆนั้นแหละ(หรือวิญญาณดวงเดิมนั้นล่ะ)กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นคนนี้ ก็คงจะปล่อยไปตามความเข้าใจเขาเถิด เพราะอธิบายเรื่องนี้ต้องคุยกันยาว |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2006, 8:35 pm |
  |
มีประเด็น ที่น่าสนใจอีก ในเรื่องการเกิด(ใหม่)นี้
คือว่า ในยุคปัจจุบัน มีบางท่าน แยกไม่ออก ระหว่าง
1.สาสวะ(โลกียะ)สัมมาทิฏฐิ และ
2.สัสตทิฏฐิ
เนื่องเพราะทั้งสองอย่างนี้ ก็ล้วนแต่ยังมีความรู้สึกที่ยังเป็นอัตตาอยู่ทั้งคู่...... จึงมีบางท่านที่อนัตตาสุดๆ(ตกขอบ) ก็เลยเหมารวมสาสวะ(โลกียะ)สัมมาทิฏฐิ ว่าเป็นชนิดหนึ่งของสัสตทิฏฐิไปเฉยๆเสียอย่างนั้นล่ะ.......
พอเห็นใครพูดถึงการเกิด(ใหม่)ก็จะตรงรี่เข้าไปเหมาให้เขาเป็นสัสตทิฏฐิไปเสียทั้งหมด
อ่านรายละเอียดจากกระทู้เก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7625&start=0
ลองหาอ่านดูน่ะครับ กับแนวคิดที่ว่า
"......โลกียสัมมาทิฏฐิจึงยังจัดเป็นสัสสสตทิฏฐิ
เพียงแต่เป็นสัสสสตทิฏฐิชั้นยอดหรือชั้นสูงสุด ที่ไม่มีโทษ หรือผลข้างเคียงอย่างสัสสสตทิฏฐิในแบบอื่นๆ....." |
|
|
|
  |
 |
แมวขาวมณี
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307
|
ตอบเมื่อ:
04 ต.ค.2006, 10:40 pm |
  |
ทุกข์ในชาตินี้ : เป็นผลงานจากชาติที่แล้ว ๆ มา
ดับทุกข์ในชาตินี้ : ต้องเร่งบำเพ็ญเพียรให้ยิ่งๆ ให้มาก ๆ
ดับทุกข์ในชาตินี้... ไม่ได้.. : ต้องฝากความหวังไว้กับชาติหน้า..ที่...ไม่แน่นอน....
ทำวันนี้... อย่าได้ประมาท...เลย |
|
_________________ พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา |
|
   |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
05 ต.ค.2006, 4:59 pm |
  |
มีประเด็นเพิ่มเติมน่ะครับ
ผมพอจะประมวลความเห็นของ พุทธศาสนิกชน ในเรื่อง การเกิด(ใหม่) (ที่หมายเอาการเกิดในภพต่างๆแบบเป็นคนเป็นสัตว์ๆลๆจริงๆ เช่นที่ตรัสใน กุตุหลสาลาสูตร วิชชาสามประการ หรือ พระพุทธวจนะที่ตรัสถึงพระสาวกที่ทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วไปเกิดใหม่ในภพต่างๆ)
แบ่งออกได้เป็นกลุ่มโดยสังเขปดังนี้
1.เชื่อว่า มีจริง โดยยังแบ่งย่อยได้เป็น
1.1เชื่อว่า มีจริง และเป็นเรื่องที่เกิดจาก"เหตุเดียวกัน"กับการเกิดทุกข์ใจในปัจจุบัน.....
1.2เชื่อว่า มีจริง แต่เป็นคนล่ะเรื่อง คนล่ะเหตุ ไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับการเกิดทุกข์ใจในปัจจุบัน..... พระพุทธองค์เพียงตรัสไว้เฉยๆ ตามพระสูตรต่างๆเท่านั้น
2.ยังไม่สามารถสรุปความเห็นของตนเองได้ว่าจะไปทางไหน ระหว่าง เชื่อว่ามีจริง กับ เชื่อว่าไม่มีจริง...... ยังคงไม่สรุป.....ทั้งไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ
3.เชื่อว่า ไม่มีจริง โดยยังแบ่งย่อยได้เป็น
3.1กล่าวปฏิเสธตรงๆเลยว่าตนไม่เชื่อว่ามีจริง
3.2กล่าวปฏิเสธทางอ้อม โดยไม่ได้กล่าวคำว่า"ปฏิเสธ"เอาไว้ตรงๆ แต่จะกล่าวแฝงความหมายเอาไว้
4.ๆลๆ...... |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
05 ต.ค.2006, 5:03 pm |
  |
ประเด็นที่ อาจจะมีผู้มองว่า "พระพุทธวจนะในเรื่องการเกิด(ใหม่)"นี้ ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเองในระหว่าง พระสูตร ต่อพระสูตร นั้น
ผมขอแยกพระสูตร ออกให้ชัด ออกเป็นสองกลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1.มีพระสูตรหลายพระสูตรมากมายที่ทรงตรัสถึงการเกิด(ใหม่)ในภพต่างๆไว้ชัดเจนมาก...........แต่
กลุ่มที่ 2.มีพระสูตรบางพระสูตร ก็ตรัส ไม่ให้สาวก(บางท่าน)อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่อง การเกิด(ใหม่)ในภพ-ชาติหน้า หรือ ทรงปฏิเสธที่จะสนทนาเรื่อง ขันธ์ส่วนอดีตกับ ขันธ์ส่วนอนาคต กับบางท่าน ......แต่ให้สนใจกับการดับทุกข์ทางใจในปัจจุบันนี้ก่อนเลย
ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงไม่สอนสาวกทุกๆท่าน ด้วยธรรมข้อเดียวกัน ตรัสแบบเดียวกัน ในเรื่องเดี่ยวกัน กับสาวกทุกๆท่าน
..
มีผู้ตั้งข้อสันนิฐานไว้ว่า จะเป็นไปได้ไหมว่า
..
ก. พระสูตรในกลุ่มที่1 พระพุทธองค์ทรงตรัสเอออวยไปกับคนในยุคนั้นที่ยังเชื่อเช่นนั้นไปอย่างนั้นเองด้วยการสอนแบบหนึ่ง(ภาษาคน)
แต่ พระสูตรในกลุ่มที่2.พระพุทธองค์เอาไว้สอนคนอีกกลุ่มหนึ่ง(ภาษาธรรม)
.. ซึ่งก็คือ ตรัสเรื่องเดียวกัน แต่ทรงใช้ภาษาซ้อนภาษา!!!
หรือว่า
ข. พระสูตรในกลุ่มที่1 นั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสเอาไว้จริงๆหรอก แต่เป็นเพราะพวกพราหมณ์สัสตทิฏฐิแอบแต่งปลอมปนเอาไว้ในพระไตรปิฎกภายหลัง
..โดยมีเพียง พระสูตรในกลุ่มที่2.เท่านั้น ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้จริงๆ
ผมเอง ไม่เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานทั้ง ก. และ ข. ทั้งคู่
.. ผมมีเหตุผลดังนี้ครับ
ผมมองว่า ในข้อ ก.นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสหลักธรรมที่สำคัญด้วย การใช้ภาษาซ้อนภาษา ต้องตีความกันหลายแง่มุม. เพราะ โดยปกติ แม้นแต่ในเวลาที่ทางโลกเขาร่างกฏหมายกันนั้น เขายังพยายามไม่ให้ต้องตีความกันมาก ยังพยายามไม่ให้ใช้ภาษาซ้อนภาษากันเลย
กฏหมายไหนในสังคมไหนๆที่ตีความกำกวมได้หลายแง่มุมนั้น จะเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับสังคมนั้นๆ
แล้วพระพุทธองค์ที่ทรงเป็นจอมปราชญ์จะทรงไปตรัสหลักธรรมที่สำคัญด้วยการใช้ภาษาซ้อนภาษาไว้หรือ???.....ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าในบางครั้ง พระองค์ก็ทรงตรัสสอนในลักษณะอุปมา-อุปมัยอยู่เหมือนกัน
แต่ในบางเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ทรงซ้อนซ้ำแก่ต่างบุคคล-ต่างวาระหลายๆครั้งมาก พระองค์จะทรงใช้วิธีสอนด้วยการอุปมา-อุปมัยทุกๆครั้งเลยหรือ......
ลองพิจารณาดูดีๆ
ผมมองว่า ในข้อ ข.นั้นก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่สนับสนุนความเห็นเช่นนั้น
..เป็นเพียงการคาดเดาเอาตามความเชื่อที่ปักใจตนเองอยู่ของคนบางกลุ่ม
ผมยังเคยถามเพื่อนสมาชิกที่เชื่อแบบข้อ ข.นี้ว่า ขอดูหลักฐานด้วยว่า
หากในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่n ไม่มีพระสูตรในกลุ่มที่1
.. แต่พอ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ n+1 แล้ว ปรากฏว่ามีพระสูตรในกลุ่มที่1ขึ้น
ถ้ามีหลักฐานตรงนี้มาแสดงให้ดู ผมอาจจะยอมเชื่อว่า พระสูตรในกลุ่มที่1.นี้ถูกพราหมณ์สัสตทิฏฐิแอบปลอมปนเข้ามาไว้ในพระพุทธศาสนาจริงๆ
ทีนี้ ทำไมในบางพระสูตร พระพุทธองค์ถึงตรัสแสดง โดยไม่ตอบในทุกๆประการที่มีผู้ถาม เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ตายแล้ว จะเกิด(ใหม่)ในภพไหน
.. หรือ ทรงปฏิเสธที่จะสนทนาเรื่อง ขันธ์ส่วนอดีตกับ ขันธ์ส่วนอนาคต กับบางท่าน เช่นในจูฬสกุลุทายิสูตร
แล้วทำไมบางครั้ง กับ บางท่าน พระพุทธองค์ถึงตรัสตรงๆเลย เช่นทรงแสดง สาวกที่ทำกาลกิริยาไปแล้วมีคติเช่นใด ดังใน ที่ทรงตรัสแสดงไว้ใน คิญชกาวสถสูตร
มีผู้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า
..!!!
ไม่ได้เล่นสำนวนโวหารน่ะครับ
ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้น่ะครับ
เพราะ พระพุทธองค์ทรงเป็นครูที่ยิ่งกว่าครู เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ไม่มีใครเปรียบ
พระองค์ทรงไว้ซึ่ง พระตถาคตพลญาณ
.. ซึ่งไม่มีในบุรุษอื่นใด
..
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ทศพลญาณ
ทสพลญาณ พระญาณเป็นกำลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ เรียกตามบาลีว่า ตถาคตพลญาณ (ญาณเป็นกำลังของพระตถาคต) ๑๐ คือ
๑. ฐานาฐานญาณ
๒. กรรมวิปากญาณ
๓. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ
๔. นานาธาตุญาณ
๕. นานาธิมุตติกญาณ
๖. อินทริยปโรปริยัตตญาณ
๗. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ
๙. จุตูปปาตญาณ
๑๐. อาสวักขยญาณ;
ที่ควรสนใจยิ่งก็คือ
นานาธิมุตติกญาณ ปรีชาหยั่งรู้อัธยาศัยของสัตว์ ที่โน้มเอียง เชื่อถือ สนใจ พอใจต่างๆ กัน
อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือรู้ว่า สัตว์พวกไหนมีอินทรีย์ คือสัทธา เป็นต้นอ่อน พวกไหนมีอินทรีย์แก่กล้า พวกไหนมีจริตมีอัธยาศัย เป็นต้น อย่างไรๆ พวกไหนสอนยาก พวกไหนสอนง่าย
..
นี่คือ เหตุที่ พระสูตรต่างๆ ที่ทรงแสดงต่างวาระแก่สาวกต่างๆ จึง แสดงในแง่มุมที่แตกต่างกันไป เพราะอัธยาศัยและอินทรีย์ของสาวกแต่ล่ะท่านที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้นก็แตกต่างกันไป
พระพุทธองค์ทรงปรีชาญาณที่จะทรงทราบว่า จะตรัสแสดงธรรมอย่างไร ระดับความลึกซึ้งของธรรมจะแค่ไหน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฟัง
.. จึงเป็นเหตุให้สาวกที่ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ ก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดเท่าที่ตนพึงจะได้รับ
พระสูตรต่างๆนั้นไม่ขัดกันหรอกครับ
.. ผมเห็นเช่นนี้ครับ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
05 ต.ค.2006, 5:04 pm |
  |
จูฬสกุลุทายิสูตร
ว่าด้วยขันธ์ส่วนอดีตและอนาคต
[๓๗๑] ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง
สองชาติบ้าง ฯลฯ พึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วย
ประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกะเรา หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์
ส่วนอดีตกะผู้นั้น ผู้นั้นจะพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วน
อดีต หรือเราจะพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต.
ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ พึงรู้ชัดซึ่ง
หมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะเรา
หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะผู้นั้น ผู้นั้นพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการ
พยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต หรือเราพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์
ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต.
ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีตและขันธ์ส่วนอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดงธรรมแก่
ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุนี้เถิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี
เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้แต่ด้วยอัตภาพของข้าพระองค์ ที่เป็นอยู่บัดนี้ ข้าพระองค์ยัง
ไม่สามารถจะระลึกถึงได้ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ก็ไฉนจักระลึก
ชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง ฯลฯ จัก
ระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เหมือน
พระผู้มีพระภาคได้เล่า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเดี๋ยวนี้ แม้แต่ปังสุปีศาจ ข้าพระองค์ยังไม่เห็นเลย ไฉนจัก
เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ จักรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม
ด้วยประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็คำที่พระผู้มีพระภาค
ตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีตและอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดง
ธรรมแก่ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุเกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึง
ไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ ดังนี้นั้น จะได้ปรากฏแก่ข้าพระองค์โดยยิ่งกว่าประมาณก็หาไม่
ไฉนข้าพระองค์ จะพึงยังจิตของพระผู้มีพระภาคให้ยินดี ด้วยการพยากรณ์ปัญหา ในลัทธิอาจารย์
ของตนได้เล่า.
พึงสังเกตุ......
พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธที่จะพูดคุยเรื่อง ขันธ์ส่วนอดีต และ ขันธ์ส่วนอนาคต กับพระอุทายี..... เหตุผลด้วยว่า พระอุทายี ไม่มีบุพเพนิวาสสนุสติญาณ(ที่จะสามารถรู้เรื่องขันธ์ส่วนอดีต)และจุตูปปาตญาณ(ที่จะสามารถรู้เรื่องขันธ์ส่วนอนาคต)......
พระสูตรนี้ไม่ได้ปฏิเสธ เรื่องขันธ์ในอดีต หรือขันธ์ในอนาคต หรือปฏิเสธการเกิด(ใหม่)แต่อย่างใด |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
05 ต.ค.2006, 5:06 pm |
  |
คิญชกาวสถสูตร
ดูกรอานนท์ อุบาสกชื่อกกุฏะ กระทำกาละแล้ว
เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์อัน
เป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป อุบาสกชื่อกฬิภะ ... ชื่อทนิกัทธะ ... ชื่อกฏิสสหะ ... ชื่อตุฏฐะ ...
ชื่อสันตุฏฐะ ... ชื่อภัททะ ... ชื่อสุภัททะ กระทำกาละแล้ว เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพ
นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป.
[๑๔๗๘] ดูกรอานนท์ อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกินกว่า ๕๐ คน กระทำ
กาละแล้ว เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
สังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเกินกว่า ๙๐ คน
กระทำกาละแล้ว เป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปและเพราะราคะ โทสะ โมหะ
เบาบาง มาสู่โลกนี้อีกคราวเดียว แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เกินกว่า ๕๐๐ คน กระทำกาละแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป มีอันไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
พึงสังเกตุ........
คำว่า กระทำกาละ ก็คือ กระทำกาลกิริยา หรือ คนตาย สัตว์ตายจริงๆ..... ไม่ใช่สำนวนโวหารใดๆหรอก |
|
|
|
  |
 |
|