Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปิดหูปิดตาใช้ปัญญาคิด จะเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
seven11
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 ก.ย. 2006, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปิดหูปิดตาใช้ปัญญาคิด จะเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้

ถ้าอยากเห็นหุบเขา
จงไต่ขึ้นไปยอดเขา
อยากเห็นยอดเขา
จงขึ้นไปเหนือเมฆ
แต่หากต้องการเข้าใจเมฆ
จงปิดตาลงแล้วคิด


สิ่งที่เราอยากเห็นย่อมใช้ตาดูได้ สิ่งที่เราอยากได้ยินย่อมใช้หูฟังได้ แต่ถ้าเราอยากจะเข้าใจสิ่งใด ต้องใช้ความคิดพิจารณา ตาหูช่วยให้เข้าใจไม่ได้

คาลิล ยิบราน ท่านบอกว่า "ถ้าอยากเห็นหุบเขา จงไต่ไปบนยอดเขา อยากเห็นยอดเขา จงขึ้นไปเหนือเมฆ แต่ถ้าต้องการเข้าใจเมฆ จงปิดตาลงแล้วคิด"

ทุกอย่างที่เราได้เห็นได้ยิน อย่าคิดว่าเราจะต้องเข้าใจไปด้วยนะ มีหลายเรื่องที่เราเห็นและได้ยินบ่อยๆ แต่เราก็ไม่เข้าใจ เพราะเราเห็นสักแต่ว่าเห็น ฟังสักแต่ว่าฟัง ไม่มีอะไรลึกซึ้งไปกว่านั้น ขาดการพิจารณาอย่างถ่องแท้ ท่านคาลิล ยิบราน จึงบอกให้ปิดตาลง แล้วหัดคิดเสียบ้าง อย่าเอาแต่ดูให้มากนัก เพราะยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งดูยิ่งห่างไกลความจริงไปเรื่อยๆ

แต่การคิดในที่นี้ มิใช่การคิดตามหลักตรรกะ แต่เป็นการคิดแบบวิปัสสนา โดยใช้ปัญญามองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ตามความเป็นจริงของมัน การคิดอย่างนี้เมื่อคิดจนเห็นแล้ว จิตใจจะเกิดความเป็นอิสระเสรี จะไม่ยึดติดกับสิ่งที่เห็น หรือได้ยินทำให้ไม่เป็นทุกข์

แต่หากเราไม่ยอมคิดแบบวิปัสสนากันบ้าง เอาแต่ดูเอาแต่ฟัง เอาแต่อ่าน เอาแต่ท่อง จะคล่องปากอย่างไรก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก

เหมือนพระภิกษุที่เอาแต่อ่านคัมภีร์ เอาแต่ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติจนมีความรู้สูงๆ แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติตามธรรมเสียที ย่อมจะไม่ซาบซึ้งในธรรมได้ ถึงจะอธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแคว ก็เป็นผลจากการจดจำ มิใช่ความเข้าใจ ความดื่มด่ำในรสพระธรรมย่อมจะมีไม่ได้เลย จึงไม่ได้รับประโยชน์อันเป็นความสุขสงบจากพระธรรม

ชีวิตของเรา อย่ามัวเที่ยวหาอะไรต่อมิอะไรให้มันวุ่นวายไป อย่ามัวไปเที่ยวหาพระเกจิอาจารย์องค์นั้นองค์นี้อยู่เลย หาไปจนแก่ตายก็เข้าใจชีวิตไม่ได้ ชีวิตต้องเพ่งดูอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้

ชีวิตของเราใครจะช่วย นอกจากตัวเราเอง ตนต้องพึ่งตนเรื่อยไป พระสงฆ์องค์เจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนฤาช่วยได้ ? หากมัวแต่พึ่งท่าน ไม่คิดพึ่งตนเอง เราจะเติบโตไม่ได้เลย แต่กลับจะอ่อนแอลงๆ อย่างไร้แก่นสาร

หยุดเสียเถิด ปิดตาลงเสียบ้าง ปิดหูลงเสียบ้าง แล้วอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ศึกษาตัวเองให้เข้าใจ ล้วงลงไปให้ทั่วถึงดวงใจดูซิว่า ทำไมเราจึงโลภ ทำไมจึงโกรธ ทำไมจึงหลงงมงาย

พิจารณาดูเถิด ! ชีวิตที่ดีดดิ้นไปวันหนึ่งๆ นั้น มันเป็นอย่างไร ? มีอะไรที่เป็นความก้าวหน้าบ้าง ? มีอะไรดีขึ้นบ้าง ? มีความสำเร็จอย่างไร ? และที่ว่ามีความสำเร็จนั้น เราสำเร็จเรื่องอะไร ? หากเรามีความสมบูรณ์ด้วยชีวิตภายนอก ก็อย่าลืมความสมบูรณ์แห่งชีวิตภายใน อันได้แก่จิตใจบ้าง เพราะจิตใจที่เป็นสุขสมบูรณเปี่ยมล้นด้วยธรรม จึงจะเป็นความสำเร็จอันสูงส่งของชีวิตที่แท้จริง



คัดลอกจาก ปรัชญาน่าคิดของ คาลิล ยิบราน

กราบขอบพระคุณครับ สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง