ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ย. 2006, 4:21 pm |
  |
ขออนุญาต ขอโอกาส เปิดประเด็นกระทู้สาธารณะขึ้น ในเรื่องนี้
เพื่อทำความเข้าใจของพุทธบริษัทให้ตรงกันในเรื่องสำคัญนี้...... ถ้าความเข้าใจในเรื่องสัมมาทิฏฐิไม่ตรงกันเสียตั้งแต่ต้นแล้ว โอกาสที่จะเข้าใจเรื่องอื่นๆตรงกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
ขอโอกาส อัญเชิญคำกล่าวของ ท่านพุทธทาสภิกขุ มาเป็นประเด็นของกระทู้
=========================================
ประเด็น
(ธรรมบรรยาย โดยท่านพุทธทาส)
การทำให้สิ้นกรรมนี้ ก็เป็นกรรม อันหนึ่งเหมือนกัน คือ ปฏิบัติให้ถูกตามหลักของธรรมะในพุทธศาสนา ในชั้นที่เป็นสัจธรรม หรือธรรมะแท้ ที่พูดไว้ในภาษาธรรม.
ถ้าไปมัวยึดกรรม ในเรื่องภาษาโลก แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดไปเถอะ ตามความคิดโง่เขลา. แล้ว จะจริงหรือไม่จริง ไม่มีอะไรมาให้ดูได้, ตายเข้าโลงแล้ว ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้
=========================================
ความเห็น
ในเบื้องต้น ผมขอเสนอให้แยก
1.สัสตทิฏฐิ
ออกจาก
2.โลกีย(สาสวะ)สัมมาทิฏฐิ
ให้ชัดเจนเสียก่อน
ด้วยเหตุว่า ทั้งสัสตทิฏฐิ และโลกียสัมมาทิฏฐินั้น ทั้งสองความเห็นต่างเห็นว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพ-ชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น.สัสตทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น เชื่ออย่างยึดมั่นสุดๆว่า มีอัตตา-ตัวตน ที่มั่นคงเที่ยงแท้ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่เป็นตัวยืนโรง ให้สัตว์ไปคอยเวียนว่ายตายเกิด ตามภพ-ชาติต่างๆ.
สัสตทิฏฐินั้น ปิดกั้นและขัดขวางการเห็นโลกุตรธรรม ด้วยเพราะความเชื่อที่ยึดมั่นว่ามีอัตตา-ตัวตน ที่มั่นคงเที่ยงแท้ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่เป็นตัวยืนโรง ไปคอยเวียนว่ายตายเกิด..... สัสตทิฏฐิจึงปิดกั้นโอกาสในการเห็นธรรมในเรื่องอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน)ของโลกุตรภูมิเข้าอย่างจังเบอร์.หรือจะกล่าวว่า สัสตทิฏฐิเป็นความเห็นที่ขวางกั้น ความเห็นชอบในระดับโลุตร(อนาสวะ)สัมมาทิฏฐิก็คงจะไม่ผิด
ในขณะที่ [b]โลกียสัมมาทิฏฐินั้น ถึงแม้นว่าจะยังไม่สามารถเห็นอนัตตาอย่างแท้จริงในระดับหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้บุคคลนั้นๆล่ะสังโยชน์เบื่องต่ำ3ข้อแรกเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกสุดก็ตาม[/b].... แต่ผู้ที่มีโลกียสัมมาทิฏฐินั้น ก็คือพุทธสาวกที่เชื่อในพระปัญญาญาณในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ยอมรับและเห็นพ้องด้วยว่ามีสัมมาทิฏฐิในระดับที่สูงกว่าที่ตนเองมีตามพระพุทธวจนะในมหาจัตตารีสกสูตร..... เพียงแต่ตนเองยังไม่สามารถเจริญวิปัสสนาจนก้าวเข้าสู่ขั้นโลกุตรภูมิได้.หรือจะกล่าวว่า โลกียสัมมาทิฏฐินั้นเป็นบุพภาคของโลกุตรสัมมาทิฏฐิ ก็คงจะไม่ผิด.
ดังนั้น ผมจึงขอเสนอ ให้แยกระหว่าง สัสตทิฏฐิ และโลกียสัมมาทิฏฐิให้ออกจากกันเสียให้ชัดเจนก่อน ในเบื้องต้น เพื่อจะได้ไม่สับสนว่า ความเห็นใดกันแน่ที่ขวางกั้นโอกาสเห็นอนัตตาในโลกุตรสัมมาทิฏฐิ..... ระหว่าง สัสตทิฏฐิ และโลกียสัมมาทิฏฐิ. และความเห็นใดที่เป็นบุพภาคของโลกุตรสัมมาาทิฏฐิ ระหว่าง สัสตทิฏฐิ และโลกียสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นผิด ที่"โง่เขลา"นั้น น่าจะหมายเอาเฉพาะ สัสตทิฏฐิ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเตือนสาวก ไม่ให้เข้าสู่ทิฏฐิที่สุดโต่งนั้น.
แต่ไม่ควรหมายเอา โลกียสัมมาทิฏฐิ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนและสรรเสริญว่า "เป็นส่วนแห่งบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์" มาจัดรวมไว้ เป็นความเห็นที่"โง่เขลา"ไปด้วย
.......ผมขอเสนอความเห็นมาดังนี้ครับ........ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ย. 2006, 4:24 pm |
  |
ประเด็น เรื่อง อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ อย่างไรคือมิจฉาทิฏฐิ นี้ ผมมองว่าเป็นรากของความไม่เข้าใจกันในหลายๆประเด็น.....
ถ้าปรับคลื่นวิทยุตรงเรื่องนี้ให้เข้ากันได้ระดับหนึ่ง(อาจจะไม่ต้องตรงกัน100%) ก็น่าจะสื่อสารกันเข้าใจได้มากขึ้นอีกมากมาย
====================================
พระพรหมคุณาภรณ์ ท่านกล่าวสรุปเกี่ยวกับเรื่อง มิจฉาทิฏฐิไว้อย่างน่าสนใจ
ความเห็นผิดมี ๒ คือ
๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ;
อีกหมวดหนึ่ง มี ๓ คือ
๑. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ
๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ
๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้ เช่น มารดาบิดาไม่มีเป็นต้น;
ในภาษาไทยมักหมายถึง การดื้อดึงในความเห็น
(พจนานุกรมเขียน ทิฐิ);
(ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๓ ในอนุสัย ๗)
สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง คือความเห็นว่า อัตตาและโลก เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป
เช่น เห็นว่าคนและสัตว์ตายไปแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนดวงชีพหรือเจตภูตหรือมนัสเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง;
ตรงข้ามกับ อุจเฉททิฏฐิ
(ข้อ ๑ ในทิฏฐิ ๒)
อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ เช่น เห็นว่าคนและสัตว์จุติจากอัตภาพนี้ แล้วขาดสูญ;
ตรงข้ามกับ สัสสตทิฏฐิ
(ข้อ ๒ ในทิฏฐิ ๒)
=================================
จากหนังสือ พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ หน้า ๑๓๔
-------------หลักปฏิจจสมุปบาท แสดงความจริงของธรรมชาติให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายมีลักษณะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เรียกว่าไตรลักษณ์ เป็นไปตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ไม่มีปัญหาในเรื่องที่ว่า สิ่งทั้งหลายมีหรือไม่มีจริง ยั่งยืนหรือขาดสูญ เป็นต้น
แต่ผู้ไม่รู้ความหมายของหลักปฏิจจสมุปบาท มักเข้าใจไตรลักษณ์ผิดพลาด
โดยเฉพาะหลักอนัตตานั้น มักได้ยินได้ฟังกันอย่างผิวเผิน แล้วตีความเอาว่า อนัตตาหมายถึงไม่มีอะไร กลายเป็นนัตถิกวาท อันเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างร้ายแรงไปเสีย
=====================================
จากหนังสือ พุทธธรรม
หน้า ๗๐/๒๔
------------ความหลงผิดอีกอย่างหนึ่งที่มักชักพาคนให้เข้าไปติด ก็คือ การแล่นจากสุดโต่งแห่งความคิดเห็นด้านหนึ่งไปยังสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
กล่าวคือ คนพวกหนึ่งยึดติดถือมั่นในตัวตนว่าเป็นของจริงแท้คงที่ถาวร สัตว์บุคคล เป็นตัวตนอย่างนั้น ซึ่งมีจริง มิใช่สิ่งสมมติ สัตว์ บุคคล มีตัวจริงตัวแท้ที่ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าคนจะตาย ชีวิตจะสิ้นสุด ตัวสัตว์ ตัวบุคคล ตัวตน ดวงชีวะ อาตมัน หรืออัตตา (soul) นี้ ก็จะคงอยู่อย่างเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สูญสลายไปด้วย บ้างก็ว่าอัตตาตัวนี้ไปเวียนว่ายตายเกิด บ้างก็ว่าอัตตาตัวนี้รออยู่เพื่อไปสู่นรกหรือสวรรค์นิรันดรสุดแต่คำตัดสินของเทพเจ้าสูงสุด ความเห็นของคนพวกนี้เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ หรือ สัสสตวาท แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า สัตว์บุคคลตัวตนหรืออัตตาเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไป
ส่วนคนอีกพวกหนึ่งก็เห็นว่ามีตัวตนเช่นนั้นอยู่ คือยึดถือสัตว์ บุคคล เป็นตัวแท้ตัวจริง แต่สัตว์ บุคคลนั้น ไม่เที่ยงแท้ถาวร สูญสลายไปได้ เมื่อคนตาย ชีวิตจบสิ้น สัตว์บุคคล ก็ขาดสูญ ตัวตนก็หมดไป ความเห็นของคนพวกนี้ เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ หรือ อุจเฉทวาท แปลว่า ความเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่าสัตว์บุคคลตัวตนหรืออัตตาไม่เที่ยงแท้ถาวร ดำรงอยู่ชั่วคราวแล้วก็สูญสิ้นไป แม้แต่ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจไม่ชัดเจนถ่องแท้ ก็อาจตกไปในทิฏฐิ ๒ อย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาหลักกรรมในแง่สังสารวัฏ (เวียนว่ายตายเกิด) ถ้าเข้าใจพลาดก็อาจกลายเป็นสัสสตทิฏฐิ คือเห็นว่าเที่ยง **
ผู้ที่ศึกษาหลักอนัตตา ถ้าเข้าใจพลาด ก็อาจกลายเป็นอุจเฉททิฏฐิ คือเห็นว่าขาดสูญ
จุดพลาดที่เหมือนกันของทิฏฐิสุดโต่งทั้งสองอย่าง ก็คือ ความเห็นว่า หรือยึดถือว่า มีสัตว์ บุคคลที่เป็นตัวแท้ตัวจริง แต่พวกหนึ่งยึดถือว่าสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้นคงตัวอยู่ยั่งยืนตลอดไป ส่วนอีกพวกหนึ่งเห็นไปว่า สัตว์ บุคคล ตัวตนที่มีอยู่นั้นมาถึงจุดหนึ่งตอนหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อกายแตกสลาย ชีวิตนี้สิ้นสุด สัตว์ บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ก็ถูกตัดขาดสูญสิ้นไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีอีกพวกหนึ่งที่เห็นเลยเถิดไปอีกทางหนึ่งว่า ความไม่มีตัวตนก็คือ ไม่มีอะไรเลย ความไม่มีสัตว์ บุคคล ก็คือไม่มีผู้รับผล เมื่อไม่มีใครรับผล การกระทำใดๆก็ไม่มีผล ทำก็ไม่เป็นอันทำ ไม่มีความรับผิดชอบต่อกรรม หรือพูดง่ายๆว่ากรรมไม่มีนั่นเอง
ความเห็นและความยึดถือแนวนี้ ถ้าแยกละเอียดออกไปก็มี ๓ ทิฏฐิ คือ
พวกหนึ่งเห็นว่าทำก็ไม่เป็นอันทำ หรือว่าการกระทำไม่มีผล เรียกชื่อว่า อกิริยทิฏฐิ หรือ อกิริยวาท
พวกหนึ่งเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปอย่างเลื่อนลอย สุดแต่ความบังเอิญ ไม่มีเหตุปัจจัย พูดง่ายๆ ว่าเห็นว่าไม่มีเหตุ เรียกชื่อว่า อเหตุกทิฏฐิ หรือ อเหตุวาท
และพวกหนึ่งเห็นว่าหรือถือว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสภาวะที่จะกำหนดเอาเป็นหลักสาระได้ เรียกชื่อว่า นัตถิกทิฏฐิ หรือ นัตถิกวาท
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นกระบวนธรรม เกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ประมวลกันขึ้น และเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ย่อมไม่มีทั้งตัวตนที่จะเที่ยงแท้ยั่งยืน และทั้งตัวตนที่จะดับสิ้นขาดสูญ คือ แม้แต่ในขณะที่เป็นอยู่นี้ ก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่แล้ว จะเอาตัวตนที่ไหนมายั่งยืน จะเอาตัวตนที่ไหนมาขาดสูญ เป็นอันปฏิเสธทั้งสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ ในเมื่อกระบวนธรรมดำเนินไปอยู่ โดยองค์ประกอบทั้งหลายสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน เป็นไปตามเหตุปัจจัย จะว่าไม่มีอะไรได้อย่างไร และจะว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปอย่างเลื่อนลอยตามความบังเอิญ ไม่มีเหตุปัจจัยได้อย่างไร เป็นอันปฏิเสธทั้งนัตถิกทิฏฐิและอเหตุกทิฏฐิ , ในเมื่อกระบวนธรรมดำเนินไปตามเหตุปัจจัย แปรเปลี่ยนไปตามเหตุและผลที่เกิดขึ้นในกระบวนธรรมนั้น การกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเหตุในกระบวนธรรมนั้น จึงย่อมจะต้องมีผล ไม่มีทางสูญเปล่า และเป็นการมีผลโดยไม่ต้องมีผู้รับผล คือผลเกิดขึ้นในกระบวนธรรมเอง ซึ่งเป็นการเกิดผลที่แน่นอนยิ่งกว่าการมีตัวตนเป็นผู้รับผลเสียอีก ในเมื่อความเป็นไปตามเหตุปัจจัยมีอยู่ เหตุและผลเกิดขึ้นในกระบวนธรรม กระบวนธรรมก็แปรเปลี่ยนไป จะว่าทำไม่เป็นอันทำหรือการกระทำไม่มีผลได้อย่างไร เป็นอันปฏิเสธ อกิริยทิฏฐิ หรือ อกิริยวาท |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ย. 2006, 4:34 pm |
  |
ขออนุญาต ขอโอกาส เสนอประเด็นเพิ่มเติม
ประเด็นนี้ ก็ยังคงขออัญเชิญธรรมบรรยายของ ท่านพุทธทาส ที่น่าสนใจ มาเป็นประเด็นต่อน่ะครับ
================================
ประเด็น
(รรมบรรยาย โดยท่านพุทธทาส)
คนธรรมดาสามัญ ตามปกตินั้น จะต้องมีมิจฉาทิฏฐิที่เรียกว่า สัสตทิฏฐิ ตามความรู้สึกของเขาเองทุกคน
รู้สึกว่าเป็นตัวฉัน เป็นตัวกู มีตัวกู แล้วก็ได้รับคำแนะนำสั่งสอนต่อไปอีกว่า ตัวกูเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร , ตายแล้ว ตัวกูก็ยังไม่ตาย,ไปหาที่เกิดใหม่อีก เป็นตัวกูต่อไปอีก:นี่เขาเรียก สัสตทิฏฐิ.
คนส่วนมากจะมีสัสตทิฏฐิ แม้จะไม่เชื่อหลังจากตายไปแล้ว, เพราะไม่รู้หรือไม่เอาใจใส่ แต่ก็มีสัสตทิฏฐิ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ว่า เป็นตัวกู
=====================================
ผมขอเสนอความเห็นให้แยก บทธรรมนี้เป็นส่วน เพื่อง่ายแก่การศึกษาวิเคระห์
1. ประเด็น
คนธรรมดาสามัญ ตามปกตินั้น จะต้องมีมิจฉาทิฏฐิที่เรียกว่า สัสตทิฏฐิ ตามความรู้สึกของเขาเองทุกคน
ความเห็น
###ผมขอเสนอว่า ในความเป็นจริง( ณ เวลา พ.ศ.2549) ในปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่ในสังคม จะมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพ-ชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ รวมทั้งเรื่องการที่กรรมสามารถให้ผลข้ามภพชาติได้......แต่จะเป็นไปในลักษณะที่ปฏิเสธเสียมากกว่า
ในกลุ่มที่ปฏิเสธขาดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพ-ชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ นั้น ก็จะตกหลักๆอยู่ใน อุจเฉททิฏฐิ(มีอัตตาในปัจจุบัน แต่อัตตานี้ขาดสูญเมื่อชีวิตสิ้นลง) กับ กลุ่มที่ตกอยู่ใน นัตถิกทิฏฐิ(เข้าใจผิดเห็นนัตถิตาเป็นอนัตตา เห็นว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีสภาวะที่จะกำหนดเอาเป็นหลักสาระได้ จึงปฏิเสธขาดในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพ-ชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ รวมทั้งเรื่องการที่กรรมสามารถให้ผลข้ามภพชาติได้.....เช่นที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมๆกล่าวสรุปไว้)
ทีนี้ กลุ่มที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพ-ชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์นั้น(ผมรู้สึกว่าน้อยลงในยุคนี้ เมื่อเทียนกับปีที่ท่านแสดงธรรมบรรยายไว้) ค่อยมาแยกแยะว่า กลุ่มไหนเป็นสัสตทิฏฐิ หรือ โลกียสัมมาทิฏฐิ......ซึ่งส่วนตัว ผมเห็นว่า กลุ่มที่มีโลกียสัมมาทิฏฐิก็มีไม่น้อยเลยในปัจจุบัน
2.ประเด็น
รู้สึกว่าเป็นตัวฉัน เป็นตัวกู มีตัวกู แล้วก็ได้รับคำแนะนำสั่งสอนต่อไปอีกว่า ตัวกูเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร , ตายแล้ว ตัวกูก็ยังไม่ตาย,ไปหาที่เกิดใหม่อีก เป็นตัวกูต่อไปอีก:นี่เขาเรียก สัสตทิฏฐิ.
ความเห็น
###เห็นด้วยทุกประการ โดยเฉพาะตรงกันกับที่ท่านพระพรหมๆกล่าวสรุปไว้ในคห.4)
3. ประเด็น
คนส่วนมากจะมีสัสตทิฏฐิ แม้จะไม่เชื่อหลังจากตายไปแล้ว, เพราะไม่รู้หรือไม่เอาใจใส่ แต่ก็มีสัสตทิฏฐิ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ว่า เป็นตัวกู
ความเห็น
จากบทความของท่านพุทธทาส ที่ว่า "คนส่วนมากจะมีสัสตทิฏฐิ แม้จะไม่เชื่อหลังจากตายไปแล้ว,"
### ผมเห็นว่า ถ้าเชื่อว่า อัตตาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วอัตตานี้นั้นจะไม่มีหลังจากตายไปแล้วนั้น น่าจะถูกจัดเป็นอุจเฉททิฏฐิมากกว่าสัสตทิฏฐิน่ะครับ
ท่านเจ้าคุณพระพรหมท่านกล่าวสรุปไว้ ใน ค.ห 4 ที่ว่า
" จุดพลาดที่เหมือนกันของทิฏฐิสุดโต่งทั้งสองอย่าง ก็คือ ความเห็นว่า หรือยึดถือว่า มีสัตว์ บุคคลที่เป็นตัวแท้ตัวจริง
แต่พวกหนึ่งยึดถือว่าสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้นคงตัวอยู่ยั่งยืนตลอดไป (สัสตทิฏฐฺ)
ส่วนอีกพวกหนึ่งเห็นไปว่า สัตว์ บุคคล ตัวตนที่มีอยู่นั้นมาถึงจุดหนึ่งตอนหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อกายแตกสลาย ชีวิตนี้สิ้นสุด สัตว์ บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ก็ถูกตัดขาดสูญสิ้นไปด้วย (อุจเฉททิฏฐิ)"
ซึ่งปฏิจจสมุปบาท ปฏิเสธทั้งสองแนวคิดที่สุดโต่งนี้ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ย. 2006, 4:37 pm |
  |
ที่ขอเสนอเพิ่มเติม อีกประการหนึ่งก็คือ
ทั้งสัสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐินั้นล้วนแต่มีอัตตา-ตัวตนทั้งคู่......
สัสตทิฏฐินั้น อาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นความเห็นที่มี"ตัวกู-ผู้เที่ยงแท้ยั่งยืน"......
ส่วน อุจเฉททิฏฐินั้น อาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นความเห็นที่มี"ตัวกู-ผู้ขาดสูญเมื่อชีพสิ้นลง"
ในส่วนของบุคคลผู้ทีไม่ใช่ทั้งสัสตทิฏฐิ และ โลกียสัมมาทิฏฐิ นั้น...... ก็ต้องพิจารณาให้ดีว่า ตกอยู่ในทิฏฐิใด ระหว่าง
โลกุตรสัมมาทิฏฐิ ที่มีโลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาค หรือ
นัตถิกทิฏฐิ ที่จะปฏิเสธขาดในโลกียสัมมาทิฏฐิเลย
(ป.ล. สำหรับผู้ที่ไม่อาจจะปลงใจเชื่อมั่นในคำสอนระดับโลกียสัมมาทิฏฐิ ในมหาจัตตารีสกสูตร
แต่ไม่ปฏิเสธขาดในโลกียสัมมาทิฏฐิ โดยถือตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ในบทท้ายของเกสปุตตสูตรนั้น
ผมไม่เห็นว่าท่านผู้นั้นจะสมควรถูกจัดเป็นนัตถิกทิฏฐิน่ะครับ......) |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ย. 2006, 4:40 pm |
  |
ขออนุญาต ขอโอกาส เสนอประเด็นเพิ่มเติม ในหัวข้อ
การให้ผลกรรม ตามภาษาคนโง่
ขอโอกาส อัญเชิญคำกล่าวของ ท่านพุทธทาสภิกขุ
===================================
ประเด็น
(ธรรมบรรยาย โดยท่านพุทธทาส)
ทีนี้ คำพูดมันก็เลยแบ่งเป็นสองแผนกอยู่เรื่อยไป คำพูดเรื่องเวลาที่แสดงถึงเวลา ก็เลยแบ่งเป็นสองพวก
คำพูดเรื่องเวลาในพระคัมภีร์ มีอยู่สามคำว่า
ทิฏฐธัมมะ ทิฏฐเว ธัมเม หรือ ทิฏฐธรรม นี้คำหนึ่ง
แล้วก็ สัมปราเย หรือ อุปัชเช ก็เรียก นี้คำหนึ่ง
แล้วก็ อปราปร หรือ อปเร ปริยาเย นั้นอีกคำหนึ่ง
สามคำนี้ พูดตามภาษาคน ภาษาคนโง่ ทิฏฐธรรม คือในชาตินี้
สัมปรายะ คือ พอตายเข้าโลงแล้วไปโผล่ขึ้นมา นี้เป็นสัมปรายะ
แล้วชาติต่อๆไป จากนั้นอีก เรียกว่า อปราประ หรือ อประปริยายะ
เขาเอาชาติเกิดจากท้องแม่แล้วตายไปเข้าโลงเป็นหลักเรื่อยไป ฉะนั้น ชาตินี้ มันก็คือ ชาตินี้, แล้วก็ชาติต่อไป คือตายเข้าโลงแล้ว, แล้วชาติ ต่อๆๆไปอีก ก็ต้องหลังไปจากนั้นอีก
นั่นแหละภาษาคน เป็นอย่างนั้น
ถ้าภาษาธรรม
ชาตินี้คือ ทันควัน ที่เรียกว่าทิฏฐธรรม ที่เรามาชอบแปลว่าชาตินี้ ทิฏฐธรรมคือให้ผลทันควัน
สัมปรายะ คือ ให้ผลในเวลาถัดมา ต่อมาอีก
แล้ว อปราประ คือว่า ต่อมาอีก
แต่ว่าทั้งสามอันนี้ ในอัตตภาพนี้ ชีวิตนี้
===============================
ความเห็น
นี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ยังเห็นไม่ตรงกันของทุกฝ่าย
โดยมีการกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อว่า กรรมสามารถให้ผลข้ามภพ-ชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์(ซึ่งมีกล่าวถึงไว้หลายแห่งในพระสูตร เช่น บุพกรรมของพระพุทธองค์ที่ตามมาให้ผลในภพ-ชาติสุดท้าย หรือ กรณีของพระมหาโมคคัลลานะ)นั้น เป็นคนโง่!!!......
ถ้า การให้ผลของกรรม ตามแบบภาษาธรรม(ภาษาคนฉลาด)นั้น จะเป็นเรื่องที่เกิดในชีวิตนี้ ชีวิตเดียว |
|
|
|
  |
 |
นานๆแวะมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2006, 4:39 pm |
  |
เสนอความเห็น จากประเด็นนี้ ครับ
การทำให้สิ้นกรรมนี้ ก็เป็นกรรม อันหนึ่งเหมือนกัน คือ ปฏิบัติให้ถูกตามหลักของธรรมะในพุทธศาสนา ในชั้นที่เป็นสัจธรรม หรือธรรมะแท้ ที่พูดไว้ในภาษาธรรม.
ถ้าไปมัวยึดกรรม ในเรื่องภาษาโลก แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดไปเถอะ ตามความคิดโง่เขลา. แล้ว จะจริงหรือไม่จริง ไม่มีอะไรมาให้ดูได้, ตายเข้าโลงแล้ว ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้
ข้อความนี้ต้องตีความในมุมมองของ สุญญตาธรรม หรือ อนัตตา เพราะผู้พูดเขาเสนอมาในแง่นี้
ดังนั้น กรรม คือ อัตตา กรรมไม่ดี ก็เป็น อัตตา กรรมดี ก็เป็น อัตตา
การสิ้น กรรม คือ การ สลัด กรรม ทิ้งไปได้ กรรมเป็น อนัตตา ไม่ยึดติด อีก ทั้ง กรรมดี กรรมไม่ดี
เหมือนกับคำที่ว่า การอยู่ ระหว่าง มี และ ไม่มี
การเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นเรื่อง ธรรมดา เพราะมองเป็น ตถตา ไปแล้ว มา หรือ ไม่มา เกิด หรือ ไม่เกิด ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องเดียวกัน
แม้เป็นพระ อรหันต์ ไปแล้ว แต่ กรรมไม่ดี ที่ก่อไว้ ก็ต้องชดใช้ ตามกฎแห่งกรรมของทางโลก คือ ทำเช่นไร ย่อม ได้เช่นนั้น แต่ในทางธรรม ประเภทที่เรียกว่า สุญญตาธรรม กรรม ไม่มีแล้ว ทั้ง กรรมดี กรรมไม่ดี
อ่านแล้วอาจ งง สักหน่อย เอาเป็นว่า สุญญตา เป็นการ ดับ ภายใน เมื่อ ภายใน ไม่มี ภายนอกก็ไม่มีการยึดถืออีก ต่อไป
เปรียบได้กับ พระองค์คุลีมาล หรือ พระอรหันต์ บาง รูป แม้ จะ ดับ ( ไม่มี กรรมใดเกิดอีก ) แล้ว แต่ กรรมไม่ดี หรือ หนี้ที่เคยก่อไว้ในทางโลก ก็ยังต้องรับชดใช้ไป จนกว่าจะครบ ทั้งต้น และ ดอก ( กรรมไม่ดีเป็น 3 เท่า )
กรรมดี กรรมไม่ดี การเกิด การไม่เกิด รางวัลและการชดใช้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ทางโลก หากมองทางธรรม ประเภท สุญญตาธรรม แล้วถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องธรรมดา หรือ เรียกว่า ไม่มี เลย เพราะ ดับ ได้แล้ว นั้นเอง
ลอง อ่าน ดูนะ |
|
|
|
|
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2006, 9:32 pm |
  |
มีประเด็น เพิ่มเติมครับ
เป็นความเห็น ของ ศิษย์ฆราวาสท่านพุทธทาส ท่านหนึ่ง ท่านเป็นผู้รอบรู้ในคำสอนของท่านพุทธทาสมากครับ
================================================
ประเด็น
1.โลกียสัมมาทิฏฐิจึงยังจัดเป็นสัสสสตทิฏฐิ
เพียงแต่เป็น
2. สัสสสตทิฏฐิชั้นยอดหรือชั้นสูงสุด ที่ไม่มีโทษ หรือผลข้างเคียงอย่างสัสสสตทิฏฐิในแบบอื่นๆ
====================================================
ความเห็น
ตรงนี้ยังเห็นไม่ตรงกันน่ะครับ
1.โลกียสัมมาทิฏฐิจึงยังจัดเป็นสัสสสตทิฏฐิ
### ตรงนี้ ผมไม่เห็นด้วยน่ะครับ..... พระพุทธองค์ทรงตรัสตำหนิสาติภิกษุที่มีแนวคิดสัสตทิฏฐิไว้ใน มหาตัณหาสังขยสูตร อย่างรุนแรงมาก........ แต่พระพุทธองค์กลับตรัสสอนพุทธสาวกเรื่องโลกียสัมมาทิฏฐิไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรและยังตรัสสรรเสริญว่า"เป็นส่วนแห่งบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์"........ แถมยังตรัสไว้คู่กันกับโลกุตรสัมมาทิฏฐิเสียอีก
ผมยังไม่เคยอ่านพบว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญสัสตทิฏฐิไว้ตรงพระสูตรไหนเลย..... ถ้าท่านผู้ใดพบว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญสัสตทิฏฐิไว้ตรงไหน โปรดบอกเป็นวิทยาทานในกระทู้นี้ ผมอาจจะกลับไปเห็นด้วยว่า โลกียสัมมาทิฏฐิที่แท้จริงก็คือสัสตทิฏฐิชนิดหนึ่งนั่นเอง และอาจจะเห็นด้วยกับแนวคิดที่กล่าวว่า โลกียสัมมาทิฏฐิ(ที่อาจจะถูกจัดให้เป็นชนิดหนึ่งของสัสตทิฏฐิ)นั้นก็ต้องถูกจัดให้เป็นความคิดที่โง่เขลาไปด้วยก็ได้
2. (โลกียสัมมาทิฏฐิเป็น)สัสสสตทิฏฐิชั้นยอดหรือชั้นสูงสุด ที่ไม่มีโทษ หรือผลข้างเคียงอย่างสัสสสตทิฏฐิในแบบอื่นๆ
### ตรงนี้ต้องขอความรู้เป็นวิทยาทานแล้วล่ะครับ ว่า จะหาอ่านพระพุทธวจนะที่ตรัสว่า มีสัสตทิฏฐิที่ไม่มีโทษหรือผลข้างเคียงได้จากพระสูตรไหน......เพราะผมไม่เคยได้ยินเช่นนี้มาก่อน
ที่เคยได้ยินมา คือ สัสตทิฏฐินั้นปิดกั้นการเห็นอนัตตาในโลกุตรภูมิ ...... ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก(ปิดกั้น มรรค ผล นิพพาน) |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2006, 9:40 pm |
  |
เป็นความเห็นที่น่าสนใจ ของ คุณ อนุตตริยะ จากลานธรรมเสวนา
น่าสนใจมาก เลยขออนุญาตคัดลอกนำมาเผยแผ่
===============================================
ขอเสริม คุณตรงประเด็น และ ทำความเข้าใจความหมายและนิยามของคำว่า โลกียะสัมมาทิฏฐิ และ สัสสตทิฏฐิก่อนนะครับ
1) โลกียะสัมมาทิฏฐิ เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นชอบ ที่เป็นบันไดขั้นแรกเพื่อนำพาไปสู่โลกุตรสัมมาทิฐิ ไม่ว่าโลกียะ หรือ โลกุตระ นิยามของ สัมมาทิฐิ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจ คือ ความเข้าใจในอริยสัจจ์ ความเข้าใจในอริยมรรค และ ความเข้าใจในหลักปฏิจจสมุททบาท
2) โลกียะสัมมาทิฐิ และ สัสสตทิฏฐิ มีเหตุที่ทำให้เกิด และ มีผลที่เกิดจากการมีความเห็นทั้งสองประเภทนี้ ต่างกันครับ กล่าวคือ
สัมมาทิฐิ มีเหตุที่ทำให้เกิด โดยอาศัยธรรม ๒ ประการ คือ
2.1) การได้รับฟังจากผู้อื่น
2.2) การพิจารณาอย่างแยบคาย หรือ ใช้โยนิโสมนสิการ
และ สัมมาทิฐิ
- มี เจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย
- มี ปัญญาวิมุติ เป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย
และองค์ธรรม ๕ ประการ ที่จะอนุเคราะห์ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ได้แก่
๑ ศีลอนุเคราะห์
๒ สุตะอนุเคราะห์
๓ สากัจฉาอนุเคราะห์
๔ สมถะอนุเคราะห์
๕ วิปัสสนาอนุเคราะห์
สัมมาทิฏฐิ ที่มีเจโตวิมุติเป็นผล และ มีปัญญาวิมุติเป็นผล ต้องอาศัยธรรม ๕ ประการนี้อนุเคราะห์
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ (โลกียสัมมาทิฏฐิ) เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามีบิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกมีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
-------------------------------------
กรณี สัสสตทิฏฐิ นั้น พระพุทธองค์ทรงนิยาม เหตุที่ทำให้เกิดความเห็นแบบนี้ และ ผลที่เกิดจากการมีความเห็นแบบนี้ แตกต่างจาก สัมมาทิฐิ ครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
[๔๓๓] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง? (สัสสตทิฏฐิ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดทิฏฐิขึ้น
อย่างนี้ว่า โลกเที่ยง. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง.
.....
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล อริยสาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหล่านี้ ชื่อว่าเป็นอันละความสงสัยแม้ในทุกข์ แม้ในทุกขสมุทัย แม้ในทุกขนิโรธ แม้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น อริยสาวกผู้นี้ เราเรียกว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่
ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
*** (ฐานะ ๖ คือ ขันธ์ ๕ และ สิ่งใดที่ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว ค้นคว้าแล้ว
ด้วยใจ)
--------------------------------------------------------------------------------------
จะเห็นว่า สัมมาทิฐิ และ สัสสตทิฏฐิ นั้น เป็นความเห็นที่ต่างกัน นั่นคือ สัมมาทิฐิ คือความเห็นที่พยายามถอดถอนความคิดของ สัสสตทิฎฐิ
โลกียสัมมาทิฐิ อันได้แก่
๑ ความเห็นที่ว่าทานที่ให้แล้วมีผล ยัญที่บูชาแล้วมีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล
๒ ความเห็นที่ว่าผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่ว แล้วมีอยู่
๓ ความเห็นที่ว่าโลกนี้มี โลกหน้ามี
๔ ความเห็นที่ว่า มารดามีบิดามี
๕ ความเห็นที่ว่า สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะ (เทวดา เปตร ภูต) มี
๖ ความเห็นที่ว่าพระอริยเจ้านั้นมีอยู่
สัมมาทิฏฐิที่เป็น สาสวะ นั้น เป็นบันไดขั้นแรกของการเริ่มถอดถอน สัสสตทิฏฐิ ครับ อยู่ๆ จะให้คนธรรมดากระโดด ไปเจริญ โลกุตรสัมมาทิฏฐิ เลยนั้นไม่ได้ครับ
ส่วนข้อสรุปที่ว่า โลกียสัมมาทิฐิ เป็น สัสสตทิฏฐิ ขั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวไว้เช่นนั้นเลย ผมต้องขออภัยคุณxxx ที่จะต้องสรุปว่า คุณxxx ต้องเริ่มแบ่ง ทิฏฐิ ออกด้วยคำว่า สัมมา กับ มิจฉา ก่อน แล้ว จึงเริ่มแบ่ง สัมมาทิฐิ ด้วย โลกียะ และ โลกุตระ อีกที เพราะ พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีจำแนกธรรมเช่นนี้ครับ
ปัญหาความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เพราะ คุณxxx ตีความนิยามของ สัสสตทิฏฐิ เกินไปจากขอบเขตของพระพุทธองค์ แล้ว นำไปพิจารณาร่วมกับ ธรรมคนละหมวด คนละประเภทครับผม
หมายเหตุ คุณ xxx เป็นผู้ศึกษาธรรมสายสวนโมกข์ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2006, 9:44 pm |
  |
ประเด็น
โลกียสัมมาทิฏฐิ (เนื้อหาก็อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า
เห็นว่าทานมีผล , การบูชามีผล เป็นต้น) เป็นทิฏฐิที่อยู่บนฐานของความรู้สึกที่เป็น อัตตา หรือ ตัวตน หรืออย่างที่เรียกว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา .......
==========================================
ความเห็น
โลกียสัมมาทิฏฐิ ๆลๆ....เป็นทิฏฐิที่อยู่บนฐานของความรู้สึกที่เป็น อัตตา หรือ ตัวตน
นั้น ก็ไม่ผิดครับ...... แต่ยังไม่สมบูรณ์พร้อม
ถ้าจะกล่าวให้สมบูรณ์พร้อม ผมขอเสนอว่าน่าจะกล่าวเช่นนี้
1.โลกียสัมมาทิฏฐิ นั้นยังมีความรู้สึกที่เป็นอัตตาตัวตนเต็มที่อยู่ แต่ก็เชื่อในพระปัญญาญาณการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า ยังมีสัมมาทิฏฐิในอีกระดับที่สูงกว่าที่ตนมี ไม่ได้ปฏิเสธในหลักธรรมระดับอนัตตาแต่อย่างใด ....เพียงแต่ตนยังไม่เห็นแจ้งอนัตตาในระดับหนึ่ง ที่จะสามารถเลิกล่ะสังโยชน์เบื้องต่ำเข้าสู่ โลกุตรภูมิได้เท่านั้น......จึงอาจจะกล่าวได้ว่า โลกียสัมมาทิฏฐิจึงเป็นบุพภาคของโลกุตรสัมมาทิฏฐิ.
2.สัสตทิฏฐิ นั้นยังมีความรู้สึกที่เป็นอัตตาตัวตนเต็มที่อยู่เช่นเดียวกัน แต่ ปฏิเสธขาดในหลักธรรมระดับอนัตตา เช่น สาติภิกษุ......จึงอาจกล่าวได้ว่า สัสตทิฏฐิปิดกั้นมรรค ผล นิพพาน.... |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2006, 9:53 pm |
  |
คุณ becham ท่านได้เมตตาไปค้นมา
ผมขออนุญาตนำมาลงเผยแผ่ในที่นี้
=============================================
ประเด็น
บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ
ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบด้วยความเห็นทั้งดีงามทั้งประเสริฐ.
ก็เมื่อใด ศัพท์ว่า สัมมาทิฏฐินี้ใช้ในธรรมะเท่านั้น
เมื่อนั้น พึงทราบเนื้อความของศัพท์นั้นอย่างนี้ว่า
ทิฏฐิทั้งดีงามทั้งประเสริฐ ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ.
และสัมมาทิฏฐินี้นั้น มี ๒ อย่าง คือ
โลกิยสัมมาทิฏฐิ ๑
โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ ๑.
ในจำนวนสัมมาทิฏฐิ ๒ อย่างนั้น
กัมมัสสกตาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ว่า สัตว์มีกรรม เป็นของตน)
และ สัจจานุโลมิกญาณ (ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจ)
ชื่อว่า โลกิยสัมมาทิฏฐิ.
ส่วนปัญญาที่สัมปยุตด้วยอริยมรรค อริยผล ชื่อว่า โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ.
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 542
พระไตรปิฎกและอรรถกถา - ฉบับมหามงกุฏ)
กัมมัสสกตาญาณ เป็นไฉน
สัจจานุโลมิกญาณ เป็นไฉน
ปัญญาในมรรค ๔
ปัญญาในผล ๔
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=35&A=11148&w=กัมมัสสกตา
====================================
ความเห็น
ในยุคปัจจุบัน จะมีบางท่าน ปฏิเสธขาด ในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ รวมทั้งการที่กรรมสามารถให้ผลข้ามภพชาติได้
ท่านเหล่านี้จะตกอยู่ในนัตถิกทิฏฐิทันที และหลงเข้าใจนัตถิตาที่ตนเห็น ไปว่าเป็นอนัตตาในโลกุตรสัมมาทิฏฐิ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2006, 2:32 pm |
  |
เกี่ยวกับ เรื่อง การระลึกชาติ
ได้อ่านพบบทความของท่าน Ajahn Brahmavamso ...... ท่านเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์คนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์
จาก http://www.bswa.org/modules/icontent/index.php?page=51
อ่านตามลิ้งค์แล้วกัน....... มันยาว
ผมขอคัดมาลง 2 พารากราฟที่น่าสนใจมาก
พารากราฟแรกกล่าวถึงเรื่องที่เขาพูดถึง"การเกิดใหม่" ที่เขาถือว่า ในขณะนี้เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปแล้ว
Some misguided scientists maintain the theory that there is no rebirth, that this stream of consciousness is incapable of returning to a successive human existence. All one needs to disprove this theory, according to science, is to find one instance of rebirth, just one! Professor Ian Stevenson, as some of you would know, has already demonstrated many instances of rebirth.
The theory of no rebirth has been disproved.
Rebirth is now a scientific fact!
ส่วนพารากราฟที่สอง เขากล่าวน่าฟังว่า
Buddhism is more scientific than modern science.
Like science, Buddhism is based on verifiable cause-and-effect relationships.
But unlike science, Buddhism challenges with thoroughness every belief. The famous Kalama Sutta (กาลามสูตร หรือ เกสปุตตสูตร)of Buddhism states that one cannot believe fully in "what one is taught, tradition, hearsay, scripture, logic, inference, appearance, agreement with established opinion, the seeming competence of a teacher, or even in one's own teacher".
How many scientists are as rigorous in their thinking as this?
Buddhism challenges everything, including logic. |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2006, 2:34 pm |
  |
เผื่อใครยังไม่เคยอ่าน
Children's Past Lives Research Center
http://www.childpastlives.org/
เว็บไซด์ของ ท่าน Professor Ian Stevenson
ที่ท่านอ.Brahmavamso กล่าวถึง......
มีการกล่าวถึงเคสตัวอย่างในเรื่อง การระลึกชาติ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.ย. 2006, 4:55 am |
  |
ขออนุญาต ขอโอกาส เพิ่มประเด็น
ยังคงเป็นบทธรรม ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ
เป็นการนำบทความที่ท่านกล่าวเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกรรมต่างวาระ มาลงเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดเจน
=============================
###จากหนังสือ เรื่องกรรมในมุมมองท่านพุทธทาส สำนักพิมพ์เพชรประกาย หน้า131 บรรทัด9
นี่ไปสังเกตุดูให้ดี ว่ามันมีผัสสะ แล้วมันมีเวทนา. เวทนาจะเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม, พอมีเวทนาแล้ว มันจะเกิดความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าตัณหา
นี่เกิดโดยไม่ต้องมีคน ไม่ต้องเป็นคน ไม่ต้องเรียกว่าคน
เพราะตามสมมติอย่างโลกๆ เขาถือว่า คนคลอดออกมาจากท้องแม่แล้ว มีคนอยู่แล้วตลอดเวลา
แต่ธรรมะนี่ไม่ถือว่านี้เป็นคน ต่อเมื่อเกิดตัณหาจึงจะมีคน คือความคิดที่มันอยากนั้นอยากนี้ลงไป, ความอยากมันก็ต้องมีสิ่งที่ถูกอยากแหละ ดังนั้นความอยากนั้นคือเป็นตัวผู้ฝ่ายกัตตาผู้กระทำ คือเป็นตัวฉันนั้นแหละ,แล้วสิ่งที่มันถูกอยากเป็นสิ่งที่ถูกกระทำคือเป็นของฉัน.จะในทางดี ทางร้าย ทางไหนก็ตามเถอะ .มันจะมีความรู้สึกที่จะรู้สึกว่าฉันต้องการหรือฉันจะทำอย่างนี้ ก็มีความรู้สึกที่ยึดมั่นในตัวฉัน ในเรื่องที่เกี่ยวกับฉันขึ้นมา ก็เรียกว่า อุปาทาน แล้วทีนี้:
จึงว่า ตัณหาให้เกิดอุปาทาน
ตอนนี้แหละ เป็นการเกิดใหม่เต็มรูป; มันตั้งปฏิสนธิมาตั้งแต่วิญญาณทางตาเกิดขึ้น แล้วมันเจริญงอกงามมาเป็นผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทานนี้
พอถึงอุปาทาน มันก็เหมือนกับเต็มตัว มันใหญ่เต็มตัว
###เปรียบเทียบกับอีกความเห็นหนึ่ง ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ จากหนังสือธรรมะน้ำ ล้างธรรมะโคลน พิมพ์โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ หน้า262 บรรทัดที่20...... เป็นการปุจฉาโดยลูกศิษย์ของท่าน และวิสัชนาโดยท่านเอง
ถาม...... เขากล่าวหาว่า ท่านอาจารย์สอนว่า อุปาทานคือชาติ.นี้จะว่าอย่างไรครับ?
ตอบ.....นี้ทำไมไม่อ้างว่า สอนไว้ที่ไหน พูดไว้ในหนังสือเล่มไหน. เราว่าอุปาทานเกิดขึ้นในลักษณะเป็น อัตตวาทุปาทาน ก็คือเกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวกู-ของกู
อุปาทานนี้ จะให้เกิดภพ คือชาติที่สมบูรณ์เป็นความมีแห่งตัวตน
ภพก็ให้เกิดชาติชนิดที่มีตัวตนอย่างสมบูรณ์
ถ้าจะพูดอย่างคลุมๆ ก็พูดได้เหมือนกันว่าอุปาทาน
โดยเฉพาะอัตตวาทุปาทานนั้น คือชาติที่เป็นความเกิดแห่งตัวตน
แต่ถ้าพูดแยกรายละเอียดชัดเจนลงไปแล้ว ก็ต้องว่าอัตตวาทุปาทานนั้นให้เกิดภพ แล้วภพให้เกิดชาติ
มันตัวตนสมบูรณ์ตรงคำว่า"ชาติ"
========================
ขออนุญาต เปรียบเทียบให้ชัดขึ้น
ประเด็น
###จากหนังสือ เรื่องกรรมในมุมมองท่านพุทธทาส
จึงว่า ตัณหาให้เกิดอุปาทาน
ตอนนี้แหละ เป็นการเกิดใหม่เต็มรูป; มันตั้งปฏิสนธิมาตั้งแต่วิญญาณทางตาเกิดขึ้น แล้วมันเจริญงอกงามมาเป็นผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทานนี้
พอถึงอุปาทาน มันก็เหมือนกับเต็มตัว มันใหญ่เต็มตัว
ความเห็น......จากบทความนี้ บ่งชี้ว่า อุปาทานเป็น"การเกิดใหม่เต็มรูป"(เต็มตัว)
เปรียบเทียบกับ
ประเด็น
###เปรียบเทียบกับอีกความเห็นหนึ่ง ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ จากหนังสือธรรมะน้ำ ล้างธรรมะโคลน
แต่ถ้าพูดแยกรายละเอียดชัดเจนลงไปแล้ว ก็ต้องว่าอัตตวาทุปาทานนั้นให้เกิดภพ แล้วภพให้เกิดชาติ
มันตัวตนสมบูรณ์ตรงคำว่า"ชาติ"
ความเห็น.......จากบทความนี้ บ่งชี้ว่า "ตัวตนสมบูรณ์"ตรงคำว่า ชาติ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ย. 2006, 11:15 pm |
  |
ผมขออนุญาตเสนอการพิจารณา บทความของท่าน พุทธทาส ในคห.ข้างบนอีกสักครั้งหนึ่ง โดยโยนิโสมนสิการอย่างถี่ถ้วน
จาก ธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสที่บ่งชี้ไปว่า
1.อุปาทานเป็น"การเกิดใหม่เต็มรูป"....... (จาก ตัณหาให้เกิดอุปาทาน ตอนนี้แหละ เป็นการเกิดใหม่เต็มรูป)
และ
2."ตัวตนสมบูรณ์"ตรงคำว่า ชาติ.......(จาก อัตตวาทุปาทานนั้นให้เกิดภพ แล้วภพให้เกิดชาติ มันตัวตนสมบูรณ์ตรงคำว่า"ชาติ")
ผมขออนุญาตมองว่า จาก 1. และ 2. นี้ ไม่ไปในทิศทางเดียวกันน่ะครับ
เพราะอะไร ผมถึงมองเช่นนั้น.....
ถ้า อุปาทานเป็นการเกิดใหม่ที่"เต็มรูป" จริง(คำว่าเกิดใหม่เต็มรูปนี้คือ กระบวนการเกิดใหม่นั้นไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรที่ต้องต่อไปจากนี้อีกแล้ว จบสิ้นในขั้นตอนนี้)อย่างเช่นใน กรณีที่1 ...... ขั้นตอนการเกิดใหม่ย่อมจบลงอย่างเต็มขั้นตรงนี้เลย. ไม่มีความจำเป็นอะไรที่การเกิดขึ้นของความรู้สึกว่าเป็นตัวกู-ของกูจะต้องผ่านมายังขั้นตอนของภพ แล้วจึงจะมาสมบูรณ์ตรงชาติ อย่างเช่นที่กล่าวในกรณีที่2.....ใช่ไหมครับ
ในทางกลับกัน ถ้าขั้นตอนการเกิดใหม่หรือ การเกิดขึ้นของตัวกู-ของกู จะต้อง เริ่มจาก อุปาทานมายังภพ แล้วเลยไปจบที่ชาติ อย่างเช่นกรณีที่2...... ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า อุปาทานนั้นเป็นการเกิดใหม่"เต็มรูป"(ถ้าเต็มรูปที่อุปาทานแล้ว จะต้องผ่านมายังภพ แล้วมาจบที่ชาติ ทำไมกัน).......จริงไหม |
|
|
|
  |
 |
qwer
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ย. 2006, 12:18 pm |
  |
เคยอ่านในเรื่องปรมัตธรรม ของท่านพุทธทาส
การอ่านหนังสือธรรมะ ตีความจากตัวอักษร หาสาระอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่ปฏิบัติ
ท่านพุทธทาส ย้ำไว้เสมอ ให้ระวังที่ผัสสะ มีสติไว้ จะได้ไม่ทุกข์ ส่วนตัวกระผมเองมิได้มีความรู้ในเรื่องปฏิจจสมุปบาททั้งหมดอะไรมาก เพียงแต่เห็นว่า ถ้าเราไม่มีสติระวัง ก็เกิดทุกข์ เกิดตัวกูของกู ได้เสมอๆในแต่ละวัน |
|
|
|
|
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ย. 2006, 1:43 pm |
  |
qwer พิมพ์ว่า: |
การอ่านหนังสือธรรมะ ตีความจากตัวอักษร หาสาระอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่ปฏิบัติ
|
ขอบคุณครับ
ที่คุณพูดก็ถูกครับ ผมเห็นด้วย100%
แต่เรื่องการปฏิบัตินี้ มันเป็นเรื่องภายในของแต่ล่ะคน เป็นเรื่องของจิตใจที่จะพ้นไปจากทุกข์ซึ่งเป็นสันทิฐิโก ......
ผม หรือ ใครๆ ก็ต้องดำเนินเอง และถ้าจะไปเที่ยวประกาศว่าข้าปฏิบัติได้มาก(เธอปฏิบัติได้น้อย) ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก
ประเด็นของกระทู้นี้ คือว่า ณ เวลาปัจจุบัน มีผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง ที่ถึงขั้นพยายามจะเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า!!!..... ต้องแยกให้ออกน่ะครับ ระหว่าง การตีความพระพุทธวจนะตามความเข้าใจส่วนตน กับ การพยายามจะเปลี่ยนแปลงพระพุทธวจนะนั้นแตกต่างกันอย่างไร
ยกตัวอย่าง จากกระทู้นี้ คือเรื่องที่มีผู้กล่าวว่าโลกีย(สาสวะ)สัมมาทิฏฐิที่ต้องถูกจัดเป็นสัสตทิฏฐิชนิดหนึ่ง!!!....... ตรงนี้ไม่ใช่การตีความพระไตรปิฎกตามความเข้าใจของตนแล้วน่ะครับ...... เพราะไม่มีพระพุทธวจนะตรงไหนเลยที่ตรัสไว้อย่างนี้...... ถ้าจะมีใครสักคนกล่าวเช่นนั้น ก็คงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท จะต้องเข้าไปทักท้วงห้ามปรามว่า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น
ผมมีบทความของ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านอธิบายไว้ได้น่าสนใจ ผมคัดลอกมาลง เป็นเฉพาะประเด็นๆน่ะครับ
เสรีภาพแห่งความคิดเห็นของบุคคลต้องไม่สับสนกับความซื่อตรงต่อพระศาสดา
อนึ่ง ขอให้แง่คิดไว้นิดหนึ่งว่า การทำเช่นนี้ไม่ใช่หมายความว่าเราติดตำรา หรือติดพระไตรปิฎก อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน แต่เป็นการที่เรารู้ว่าอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน หรือเป็นมาตรฐานคำสอนในพระพุทธศาสนา
ให้ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร และสอนว่าอย่างไร ส่วนเราจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเรา เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แม้แต่ว่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ต้องแยกให้ถูก
เวลานี้ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ความสับสนของคนในยุคที่เรียกกันว่ามีการศึกษา แต่การศึกษานี้กำลังพร่ามัวลงไปมาก จนแยกไม่ถูกแม้แต่ระหว่างตัวหลักการ กับความคิดเห็นส่วนบุคคล เพียงแค่นี้ก็แยกไม่ถูก จึงแน่นอนว่าความสับสนจะต้องเกิดขึ้น แล้วก็นำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย
ถ้าเราถามว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร หรือสอนเรื่องอะไรว่าอย่างไร เราจะดูที่ไหน เราก็ต้องไปดูพระไตรปิฎก เพราะเราไม่มีแหล่งอื่นที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราจะว่าเอาเอง หรือไปตอบแทนพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ว่าพระองค์สอนอย่างนั้นอย่างนี้
ต่อจากนั้น เมื่อรู้ว่า หรือได้หลักฐานเท่าที่มีว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไรแล้ว เราจะเชื่อคำสอนนั้นหรือไม่ หรือเรามีความเห็นต่อคำสอนนั้นว่าอย่างไร อันนั้นก็เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของบุคคลนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องหลักการ แต่เป็นเรื่องของความคิดเห็น
ฉะนั้นจะต้องแยกส่วนนี้ให้ได้ เวลาจะพูดกันก็ต้องแยกให้ถูกว่าเรากำลังพูดกันเรื่องว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนในเรื่องนี้ว่าอย่างไร หรือว่าเรากำลังพูดเรื่องว่า เรามีทัศนะความคิดเห็นในเรื่องนั้นว่าอย่างไร ต้องแยกให้ถูก แล้วก็พูดให้เป็นขั้นตอน เป็นลำดับ ก็จะไม่เป็นปัญหา
เวลานี้ก็เท่ากับว่าได้เกิดปัญหาทั่วไปหมด ตั้งแต่ไม่รู้จักพระไตรปิฎก ไม่รู้จักความสำคัญของพระไตรปิฎก ไม่รู้ว่าการรักษาสืบทอดพระไตรปิฎกเป็นมาอย่างไร แล้วก็มี ความสับสนระหว่างคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์สอนอย่างไร กับความคิดเห็นของบุคคลหรือเราแต่ละคนต่อคำสอนนั้นว่าเราคิดอย่างไร ทั้งหมดนี้มองกันไม่ชัดเจน คลุมเครือ และว่ากันเลอะเทอะสับสนไปหมด เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่าจะต้องเกิดปัญหา
ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะยากอะไรเลย ก็เพียงแต่แยกให้ถูก ถ้าใครมาถามว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร เราจะว่าเอาเองก็ไม่ได้ ก็ต้องว่าไปตามที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ไปเอาหลักฐานมาแสดงให้ดู แต่ถ้าเขาถามว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างนี้แล้ว หรือธรรมะข้อนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างนี้ คุณจะว่าอย่างไร อันนี้ก็เป็นเรื่องของเราจะว่าเอา เราคิดอย่างไรก็เป็นสิทธิของเรา เป็นเสรีภาพของเราที่จะพูด ว่าธรรมะข้อนั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้นแล้ว เราจะว่าอย่างไร เราก็ว่าตามความเข้าใจของเราได้ |
|
|
|
  |
 |
qwer
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ย. 2006, 10:11 pm |
  |
แม้ในการตีความจากพระไตรปิฏก บางอย่างยังมีข้อถกเถียงกันอยู่มากมาย หลายเรื่อง
คุณตรงประเด็น เท่าที่อ่านคงได้ศึกษางาน ท่านพุทธทาส
ก็ยังมีข้อถกเถียง(ในหนังสือ ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน) เรื่องนรกสวรรค์
ท่านพุทธทาส ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ท่านไม่ตอบ เพราะไม่ใช่ทางดับทุกข์ แต่พ่อหลายท่าน ก็พูดถึงการทำดี ไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก แม้แต่พระเอง ในการศึกษา เข้าใจก็ยังมีมุมมองที่ต่างกัน
ทั้งเรื่องพระอภิธรรม ที่ท่านพุทธทาส ก็ปฏิเสธ ในบางเรื่องที่เฟ้อไป (ที่ไม่ได้เป็นไปในทางดับทุกข์ ) ท่านยังเขียนไว้ว่าอภิธรรมเกิดทีหลังเสียด้วย ซึ่งผู้ปฏิบัติบางกลุ่มก็แย้งกับที่ท่านกล่าวมากเช่นกัน
ผมก็เห็นว่า ถ้าไปไล่เรียงกันไป คงไม่จบไม่สิ้น เพราะสติปัญญา ยังไม่ไปถึงระดับโลกุตตระธรรมที่จะเข้าใจในปรมัตธรรมได้จริงๆ ได้แต่ตีความกันไปตามความเข้าใจของกันและกัน
แม้ในการปฏิบัติเอง ก็ยังมีข้อถกเถียงกันมาก
ผมเห็นด้วยที่จะนำเรื่องธรรมะ มาคุ้ยเขี่ยกัน แต่การตีความหรือสรุป ไปในทางใดทางหนึ่ง
เห็นจะไม่ดี อย่างที่ผมกล่าวไว้ตอนต้น
แต่ส่วนตัวด้วยปัญญาน้อยๆ ยังเห็นตามท่านพุทธทาสว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์
เจริญในธรรมครับ |
|
|
|
|
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ย. 2006, 8:21 am |
  |
qwer พิมพ์ว่า: |
1.ผมเห็นด้วยที่จะนำเรื่องธรรมะ มาคุ้ยเขี่ยกัน
2.แต่การตีความหรือสรุป ไปในทางใดทางหนึ่ง
เห็นจะไม่ดี
อย่างที่ผมกล่าวไว้ตอนต้น
แต่ส่วนตัวด้วยปัญญาน้อยๆ ยัง
3.เห็นตามท่านพุทธทาสว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์
เจริญในธรรมครับ |
เรียนคุณ qwerที่นับถือ
ขอแยกเป็นประเด็นน่ะครับ
1.ผมเห็นด้วยที่จะนำเรื่องธรรมะ มาคุ้ยเขี่ยกัน
ไม่เห็นด้วยกับ การเรียกการยกประเด็นคำสอนที่เป็นปัญหามาพูดคุยเพื่อเข้าใจให้ตรงกัน ในขอบเขตพุทธบริษัทจะถูกจัดว่าเป็นการคุ้ยเขี่ยน่ะครับ
2.แต่การตีความหรือสรุป ไปในทางใดทางหนึ่ง
เห็นจะไม่ดี
การตีความ หรือ สรุปความพระไตรปิฎกตามความเข้าใจของตนเอง ไม่ใช่ปัญหา อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวไว้ชอบแล้ว
ปัญหาคือ การไปออกความเห็นที่ขัดกับพระพุทธวจนะเข้าชนิดสวนทาง เช่น จาก ในมหาจัตตารีสกสูตร กล่าวไว้ว่า โลกีย(สาสวะ)สัมมาทิฏฐิ เป็นหนึ่งในสองของสัมมาทิฏฐิสองระดับ แต่ มีผู้พยายามจะลากโลกีย(สาสวะ)สัมมาทิฏฐิให้กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ(ประเภทสัสตทิฏฐิ)เสียเฉยๆอย่างนั้นล่ะ
กระทู้นี้จึงเกิดขึ้น
3.เห็นตามท่านพุทธทาสว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์
เป็นความจริงเช่นนั้นครับ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์
แต่ก็ยังมีประเด็นที่ยังเห็นไม่ตรงกันตรงนี้อีก
ชาวพุทธส่วนใหญ่ เชื่อว่าทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดับนั้นครอบคลุมทั้งทุกข์ทางใจในปัจจุบันและทุกข์ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์)
แต่ก็มีส่วนหนึ่ง ที่เชื่อว่า ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดับนั้นเป็นเฉพาะทุกข์ทางใจในปัจจุบัน แต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับทุกข์ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์) และ กล่าวไว้ว่า ผู้ที่เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์)ทั้งหมดนั้น จะต้องถูกจัดเป็นพราหมณ์สัสตทิฏฐิ(มิจฉาทิฏฐิ) หรือ [b]คนโง่ทั้งหมด(ลองย้อนกลับไปอ่านความเห็นข้างบน)[/b]
ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆคุยกัน กระทู้นี้คงจะยาวหน่อย
จะเห็นแตกต่างกันสุดฟากฟ้าอย่างไร ก็ขอขอบคุณทุกๆความเห็นที่เพิ่มเติมน่ะครับ
ผมอาจจะตอบกระทู้ช้าน่ะครับ เพราะงานภาระมีมาก แม้นแต่วันหยุดราชการ
ขอให้เจริญในธรรมครับ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ย. 2006, 8:28 am |
  |
ผมไปอ่านพบความเห็นของ คุณดังตฤณ
ที่ท่านเคยวิสัชนาประเด็นคล้ายๆ กันนี้ไว้..... เห็นว่าท่านตอบได้ชัดเจนและมีหลักฐานอ้างอิงจากพระสูตร เลยขออนุญาตท่านเจ้าของบทความในกระทู้นี้เลยน่ะครับ ขออนุญาตนำบทความของท่านมาลงไว้ในกระทู้นี้น่ะครับ เผื่อประโยชน์จะเกิดต่อผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน
จากกระทู้ สัมมาทิฏฐิ ที่ชวนสงสัย
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008068.htm
..............................................................................
".....สัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นชอบ
ตั้งมุมมองไว้ถูกกับธรรมชาตินั้นมีสองระดับครับ
ระดับแรกสำหรับคนที่ยังต้องติดวนอยู่ในภพ จำเป็นต้องเห็นให้จริง
ว่าเรื่องบุญบาปนั้นมี (อยู่ที่เจตนาและสภาวจิตในปัจจุบัน)
วิบากที่เกิดจากบุญบาปนั้นมี (อยู่ที่สภาวจิตหรือสภาวกายหลังจากทำ)
และถ้าไม่เห็นว่าบิดามารดามี ก็คงไม่ต้องประพฤติเพื่อความกตัญญู
อันนั้นจัดเป็นคนบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิในทางโลก
มีอุปาทานครอบงำหนาแน่นเกินกว่าจะได้ดีมีสุข
ระดับที่สองเป็นสัมมาทิฏฐิของผู้ปรารถนาจะหลุดพ้นจากโลก
ต้องมองว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มีแต่จิตที่ถูกครอบงำด้วยอุปาทาน
และเป็นผู้ที่ได้ทำอุปาทานให้เบาบางลงจากระดับของบาปแล้ว
จิตเป็นกุศล มีความสะอาด สว่างสงบ พร้อมพอจะรู้เรื่องอุปาทานระดับตัวตนแล้ว
ขอให้พิจารณาที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนดังนี้ครับ
พระสูตรที่ยกนี้ให้ความกระจ่างทั้งแง่มุมสองระดับของสัมมาทิฏฐิ
ตลอดไปจนกระทั่งสัมมาสมาธิและสัมมาวิมุตติ
หากเข้าใจสูตรนี้เป็นอย่างดีก็จะไม่มีทางหลงผิดไปทางอื่นได้เลย
มหาจัตตารีสกสูตร พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๖
[๒๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้........ "
........................................................................................
".....คุณxxx มองอย่างนี้ก็ได้ครับว่า
โลกุตตรสัมมาทิฏฐินั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้
หากไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบันไดขั้นแรกคิดง่ายๆ ถ้ากำลังคิดอยากปล้นฆ่าใคร
หรือแสดงความอกตัญญู ทุบตีพ่อแม่
ความมีจิตที่มืดบอดแบบนั้นย่อมไม่เกื้อ
ให้เห็นธรรมะได้ตามจริงแน่นอน
ว่าอะไรๆล้วนอนิจจัง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เล็งแค่ที่ความพร้อมรู้ของจิต ก็จะเห็นว่ากลมกลืนกันได้สนิทครับ
สรุปคือถ้าจะยังต้องเห็นใครๆเป็นสัตว์บุคคล
ก็ต้องเห็นแบบที่จิตจะเป็นกุศล
เพียงพอที่จะพัฒนาเป็นทิฏฐิที่บริสุทธิ์อีกระดับหนึ่งได้
.....................................................................................
คำถามของคุณxxx
......แต่ประเด็นที่ผมสงสัยหรือถามนั้น อยู่ตรงที่ว่า
โลกียสัมมาทิฏฐิตามที่ทรงแสดงนั้น ที่จริงก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ใช่ไหมครับ ??
เราจะแก้คำถามนี้ให้ลุล่วงด้วยดีได้อย่างไร ??
คำตอบของคุณดังตฤณ
"......ไม่จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิครับคุณxxx
พระพุทธองค์บัญญัติไว้ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ
และเป็นโลกียสัมมาทิฏฐิ
ไม่ควรที่เราจะคิดสับสนให้เป็นอื่นเหมือนเราเรียกบันไดขั้นแรกว่าเป็นบันได
จะบอกว่าไม่ใช่บันไดนั้นไม่ควร
แต่ก็ต้องทราบเท่านั้นว่าบันไดมีหลายขั้น
จึงจะพาไปถึงที่หมายสุดท้ายที่ต้องการได้....." |
|
|
|
  |
 |
|