ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:05 am |
|
เมตตาเป็นยารักษาใจ
โดย พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน
แสงสุริยันจันทรา ยามสาดแสงมาสัมผัสผิวโลก
เขาจะแจกจ่ายแสงสว่างให้ทัดเทียมกันทุกหลังคาบ้าน
ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ไม่ได้ลำเอียง
จ่ายแสงสว่างให้ปราสาทของมหาราชา คฤหาสน์ของเศรษฐี
มากไปกว่ากระท่อมของยาจกก็หามิได้
ข้อสำคัญอยู่ที่เจ้าบ้านเรือนต่างหาก
จะต้อนรับแสงอาทิตย์แสงจันทร์มากแค่ไหน
บ้านไหนปิดประตู ปิดหน้าต่างก็ได้รับน้อย
ส่วนบ้านไหนที่เปิดประตู เปิดหน้าต่าง
แถมยังลงมาอาบแสงจันทร์อาบแดดเสียด้วย
ก็ย่อมจะได้รับมากกว่าเป็นธรรมดา
แสงธรรมก็ฉันนั้น
สำคัญอยู่ที่ท่านสาธุชนจะเปิดประตูหัวใจ
ต้อนรับมากน้อยแค่ไหนในความรู้สึกของตน
ใครที่กำลังมีความทุกข์ มีโรคตรงกับสิ่งที่กำลังรับฟัง
เขาจะได้รับมากกว่าเพื่อน
เข้าตำราที่ว่า ให้อาหารแก่คนที่กำลังหิว
ให้ยาแก่คนที่กำลังเจ็บไข้
ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ให้และผู้รับ
ถ้าจะมีผู้ค้นพบยาขึ้นมาสักขนานหนึ่ง
มีสรรพคุณศักดิ์สิทธิ์ถึง 3 ประการด้วยกัน คือ
1. บำรุงสุขภาพกายสุขภาพจิต
2. เสริมสร้างเสน่ห์และความงาม
3. เพิ่มสมรรถภาพ
และถ้าวิเศษจริงดังสรรพคุณที่อวดอ้าง
มหาชนจะให้การต้อนรับอย่างท้วมท้นแน่นอน
และขอบอกว่า เมตตา เป็นธรรมโอสถ
เป็นยาขนานวิเศษที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ
รับรองในสรรพคุณ และนำมาเสนอแก่มหาชน
(มีต่อ 1) |
|
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 31 ส.ค. 2006, 12:49 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:07 am |
|
สรรพคุณของยาใจ
จะขอพูดเรื่องสรรพคุณของยาใจให้ตื่นตาตื่นใจ
เรียกร้องความศรัทธาก่อน
แล้วจึงจะพูดถึงการปรุงยาและดื่มยา
ขอย้ำสรรพคุณของยาเมตตาเพื่อจำง่าย
ขอใช้คำว่า 3 ส.
ส. ที่ 1 คือ สุขภาพ
ส. ที่ 2 คือ เสน่ห์-ความงาม
ส. ที่ 3 คือ สมรรถภาพ
(มีต่อ 2) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:14 am |
|
ส. ที่ 1 เสริมสุขภาพ
ส. ที่ 1 บำรุงสุขภาพกาย สุขภาพจิต
ท่านเน้นไว้ในตำรา เฉพาะที่เห็นได้ง่ายๆ 3 ประเด็นคือ
1. หลับเป็นสุข (สุขํ สุปฺปติ)
หมายความว่าหลับง่าย หลับสบาย
หลับสนิท ได้พักผ่อนจริงๆ
2. ตื่นก็เป็นสุข (สุขํ ปฏิพุชฺฌติ)
คือ ตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น แจ่มใส
มีความสุขตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
3. ฝันก็ฝันดี (น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ)
ได้แก่ ไม่ฝันลามก ตระหนกตกใจ
คนที่หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข และฝันดี
จัดว่าเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยสุขภาพกาย สุขภาพจิตแล้ว
เด็กที่อยู่ในวัยกำลังกิน กำลังนอน กำลังเติบโต
เราก็พูดได้ว่า เธอกำลังมีความสุขใช่ไหม
กินได้คู่กับนอนหลับ
และถ้านอนไม่หลับ ก็มักจะกินไม่ได้
เพราะฉะนั้น การนอนไม่หลับจึงทำลาย
สุขภาพกายสุขภาพจิตอย่างแน่นอน
คนที่นอนไม่หลับจะรู้สึกสังเวชตัวเองว่า
เคราะห์ร้ายที่สุดในโลก
ท่ามกลางราตรีที่คนอื่นเขาเสวยความสุขจากนิทรารมย์
ตัวเราแสนจะทุกข์ทรมานกระสับกระส่าย
พลิกซ้ายพลิกขวา ตาแข็งเป็นแขกยาม
คอยเฝ้าแต่นับเสียงนาฬิกา
ธรรมโอสถ-การเจริญเมตตา
จะมีอานิสงส์เป็นยาทิพย์ชะโลมใจ
ทำให้หลับง่าย หลับสบาย หลับเป็นสุขนั้นจริงหรือ
มีลู่ทางที่พอจะมองให้เห็นเป็นเงาๆ ได้อย่างไร
ขอให้หวนรำลึกนึกไปถึงตอนเป็นเด็กเล็กๆ
ที่นอนที่อบอุ่น ที่สุด สบายที่สุด ปลอดภัยที่สุด
คือ ตักแม่และอ้อมแขนของแม่ใช่ไหม
บางคราวเราอาละวาด ไม่ยอมนอนนั้น
แม่ใช้มนต์บทไหนสะกดให้เราหลับ
เสียงกล่อมที่นุ่มนวลเยือกเย็น
เปี่ยมไปด้วยกระแสแห่งความรักใช่ไหม
เสียงเพลงเห่กล่อมของแม่นั่นแหละ
คือ น้ำเสียงแห่งความเมตตา ความรัก ความหวังดี
ตกลงว่าเราหลับง่าย หลับสบาย หลับเป็นสุข
เพราะความเมตตาที่มาลูบไล้อยู่รอบๆ ตัวเรานั่นเอง
ส่วนอานิสงส์เป็นสุขนั้น
ขอสารภาพว่าแต่ก่อนผมเข้าใจเพียงว่า
ตื่นขึ้นมาแบบนอนอิ่ม สดชื่น กระปรี้กระเปร่า Refresh
คือ ได้รับการพักผ่อนเต็มที่
พร้อมจะทำงานในวันใหม่เท่านั้น
ตอนหลังจึงรู้สึกว่าแคบไป
เคยไปนมัการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่สกลนคร
ท่านมักจะสอนกับทุกคนไว้ว่า
ให้ทำหัวใจให้มีพุทโธ หายใจเข้า พุท
หายใจออก โธ เมื่อหัวใจมีพุทโธอยู่ประจำแล้ว
จะคิด จะพูด จะทำอะไรดีหมด
จะทำการทำงานทำมาค้าขายก็ดีหมด สุขสบาย
ส่วนฝันดีเข้าใจง่ายอยู่แล้ว จึงขอผ่านไป
(มีต่อ 3) |
|
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 31 ส.ค. 2006, 12:17 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:15 am |
|
ส. ที่ 2 สร้างเสน่ห์
คราวนี้เข้าถึงอานิสงส์ธรรมโอสถเมตตาสาขาที่ 2
คือ ช่วยเสริมสร้างเสน่ห์และความงาม
โดยท่านแยกแยะให้เห็นชัดถึง 3 ประเด็นด้วยกันคือ
1. เป็นที่รักของมนุษย์ (มนุสฺสานํ ปิโย โหติ)
2. เป็นที่รักของอมนุษย์ (อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ)
3. ผิวพรรณใบหน้าผุดผ่อง (มุขวณฺโณ วิปสีทติ)
ความสุขคนเราที่สุขใจเย็นใจจริงๆ นั้น
คือ การที่เราได้อยู่ในแวดวงของคนที่เรารัก
และเขาก็นิยมชมชื่นเรา
เพราะฉะนั้นการที่มีมิตรสหาย ผู้น้อย ผู้ใหญ่
ชื่นชมรักใคร่ห้อมล้อมด้วยใจจริง
จึงเป็นความสุขที่มีค่ายิ่งของชีวิต
ท่านผู้ใดต้องการ โปรดทราบว่ามีทางเดียว
คือ ทำ พูด คิด กับทุกคนด้วยจิตใจที่เอิบอาบชุ่มเย็น
ด้วยเมตตารักใคร่ หวังดี
แล้วท่านจะประสบอานิสงส์ข้อว่า
เป็นที่รักของมนุษย์ อย่างไม่ต้องสงสัย
ประเด็นต่อไปก็คือ เป็นที่รักของอมนุษย์
อมนุษย์สัมผัสได้ง่ายๆ ก็คือ สัตว์
ผู้มีเมตตาจะเป็นที่รักของสิงสาราสัตว์
แม้สุนัขดุๆ ก็จะเป็นมิตรกับคนมีเมตตา
เคยอ่านพบข่าวคนที่ทดลองไปนอนกับฝูงงูได้หลายวัน
แล้วปลอดภัย เพราะเขาทำใจให้เป็นมิตรกับงูนั่นเอง
บัดนี้ มาถึงประเด็นธรรมโอสถช่วยส่งเสริมความงาม
น่าจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เปลาะแรกที่น่าพิจารณา ก็คือ
ความสงบราบรื่นของจิตใจมีผลมาถึงเรือนร่าง
ทำให้ผิวพรรณผุดผ่องได้จริงหรือ
ขอกล่าวอ้างถึงท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร อีกครั้ง
ถึงท่านจะอยู่ในวัย 70 แล้วแต่ผิวพรรณในหน้าของท่าน
ผุดผ่องเป็นที่สะดุดตา
ผมต่อให้สุภาพบุรุษที่อยู่ในชุดประดับเหรียญตรา
สุภาพสตรีประทินผิวแล้วผิวพรรณความงาม
ก็ยังต้องอายท่าน
ท่านผู้รักความงามโปรดทราบ
ถึงแม้ผิวพรรณท่านจะงามเฉิดฉายเป็นยองใยอยู่แล้ว
แต่ยามที่ความโกรธมาเยือนท่านนั้น
ความโกรธได้ขับไล่ความงามดุจจันทร์วันเพ็ญของท่าน
ให้ปลาสนาการไปอย่างน่าเสียดาย
กลายเป็นจันทร์ข้างแรมไร้เสน่ห์ไปเสียแล้ว
อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้เมื่อยามที่ไฟ คือ ความโกรธจากไปแล้ว
มันก็ยังฝากขี้เถ้า ไว้เป็นอนุสรณ์บนใบหน้าของท่านด้วย
นั่นคือ ความย่นยู่ ริ้วรอย
ซึ่งทำให้ใบหน้าของท่านแก่เกินวัย
สำหรับท่านที่เป็นโรคหัวใจ ความโกรธอย่างรุนแรง
ยังสามารถจะฉุดกระชากชีวิตของท่าน
ให้ดับไปอย่างฉับพลันได้
เพราะฉะนั้น คำสอนของพระท่านจึงทันสมัยอยู่เสมอ
ที่สอนว่า ฆ่าความโกรธได้ จะอยู่เย็นเป็นสุข
(โกธํ ฆตฺวา สุขํเสติ) เท่ากับบอกว่า
จงฆ่าความโกรธเสีย ก่อนที่ความโกรธจะฆ่าท่าน
เข้ากันได้กับคำคมที่ว่า ถ้าท่านหัวเสีย ท่านจะเสียหัว
ผู้เจริญเมตตาจนเป็นปกตินิสัย
เท่ากับสวมเกราะนิรภัยป้องกันความโกรธอยู่ตลอดเวลา
เขาจึงมีใบหน้าและผิวพรรณสดใสเป็นอานิสงส์
(มีต่อ 4) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:19 am |
|
ส. ที่ 3 เพิ่มสมรรถภาพ
อานิสงส์เมตตาสาขาสุดท้าย
เพิ่มเติมสารรถภาพทั้งในการศึกษาและการปฏิบัติงาน
ตำราว่าไว้ว่า ตุวฎํ จิตตํ สมาธิยติ
จิตของผู้บำเพ็ญเมตตาเป็นสมาธิตั้งมั่นได้เร็ว
ผู้ที่ทำงานได้มาก มีประสิทธิภาพสูง
ล้วนเป็นผู้ที่สามารถนำเอาสมาธิจิต
มาช่วยในการปฏิบัติงานทั้งสิ้น
คนส่วนมากจะสูญเสียเวลาไปเปล่าๆ
เพราะจิตไม่ยอมสงบ จะอ่านหนังสือจิตก็ฟุ้งซ่าน
อ่านได้ไม่มาก ความจำก็เลอะเลือน
แต่ผู้มีจิตเป็นสมาธิ จิตจะสงบอยู่ที่หนังสือ
อ่านได้รวดเร็วเข้าใจดี จำได้แม่น
เพราะฉะนั้น สมาธิจิตจึงเป็นประโยชน์
ทั้งในด้านเป็นที่พักใจให้มีความสุข
ทั้งในด้านเพิ่มสมรรถภาพในการปฏิบัติงาน
และการศึกษาให้ได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้นอีกด้วย
(มีต่อ 5) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:22 am |
|
ดื่มยาใจ
ท่านได้ผ่านด่านสรรพคุณของยาใจ
ที่มีชื่อว่าเมตตามาครบถ้วนแล้ว
ท่านที่ลังเลสงสัยคงจะเกิดความมั่นใจ
และสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
จึงขอนำเข้าสู่วิธีการปรุงยาและดื่มยาต่อไป
ยาวิเศษขนานนี้ไม่มีที่ซื้อไม่มีที่ขาย
มีแต่ผู้เสนอและบอกตำรายาให้ไปปรุงรับประทานเอง
ก็เป็นการยุติธรรมไม่ใช่หรือ
ที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา
จะนำมาใช้กักตุนยาธรรมโอสถไม่ได้
ไม่มีช่องว่างให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ
ขอลำดับการดื่มยาใจ-เมตตาไว้เป็น 3 ขั้น
ขั้นที่ 1 ล้างใจ
ขั้นที่ 2 ให้อภัย
ขั้นที่ 3 ส.ค.ส. (ส่งความสุข)
(มีต่อ 6) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:24 am |
|
ขั้นที่ 1 ล้างใจ
เสื้อผ้าเราใช้แล้วก็ต้องซักให้สะอาดเป็นประจำ
มิฉะนั้นจะสกปรก เป็นที่หมักหมมเชื้อโรค
ขืนนำไปใช้ก็เป็นอันตราย
ถ้วยชามใส่อาหารใช้แล้วก็ต้องล้างให้สะอาดใช่ไหม
ถ้าเปรอะเปื้อนไม่ล้างนำมาใช้อีก
อหิวาต์ก็ถามหา เนื้อตัวเรามีเหงื่อไคลเลอะเทอะ
เราอาบน้ำชำระร่างกายทั้งเช้าทั้งเย็นใช่ไหม
แล้วจิตใจซึ่งเป็นผู้บัญชาการรับผิดชอบร่างกายนี้ล่ะ
ท่านเคยชำระล้างบ้างหรือเปล่า
เคยได้ยินไหม คนเรานี้ถ้าร้ายก็ยิ่งกว่าอสรพิษทั้งหลาย
งูพิษ จระเข้ และเสือถึงมันจะร้ายก็ร้ายกับคนอื่น
แต่กับลูกเมียมัน มันยกเว้นไม่ฆ่า
ส่วนคนที่ไม่เคยล้างใจ หมักหมมความโสมมไว้ในจิต
ในที่สุดก็จะออกมาเหี้ยมโหดว่าสัตว์ร้าย
ฆ่าลูกในไส้ได้ ฆ่าผู้มีพระคุณได้ และฆ่าคู่ชีวิตได้
เพราะฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยในครอบครัวของท่าน
เพื่อความสุขเย็นในชีวิตของท่าน
โปรดให้ความสำคัญแก่งานล้างใจของท่านได้แล้ว
เวลาล้างใจที่ดีที่สุดนิยมให้ทำ
ก่อนที่จะปิดรายการชีวิตประจำวันครั้งหนึ่ง
และก่อนที่จะเริ่มชีวิตในวันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
วิธีล้างใจให้สะอาด
เริ่มด้วยสำรวมใจ สำรวมชีวิตในรอบวันเสียก่อน
สิ่งใดเป็นข้อบกพร่อง ชาวบ้านเขาเกลียด
ท่านผู้รู้ตำหนิ ยอมรับรู้และปฏิญาณว่า
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
แล้วก็พยายาม ลด และละ
อันใดเป็นความดีเป็นที่พึงพอใจของญาติมิตร
ปราชญ์สรรเสริญเจริญพรตั้งใจว่าจะสั่งสมพอกพูนขึ้น
สำนวนพระใช้ว่า สร้างบารมี
สำรวจชีวิตเสร็จแล้วก็เริ่มงานล้างใจได้
คือ ปล่อยวางทำให้ใจว่างจากงานประจำวัน
จากอารมณ์ที่ได้รับมาเมื่อตอนกลางวัน
การปล่อยวางนี้พูดง่ายแต่ทำยาก
เพราะใจมันดื้อไม่ยอมวาง จะยึดจะเกาะอยู่ตลอดเวลา
จึงต้องใช้วิธีบริหารจิตขั้นต้น
คือ ให้จิตยึดอยู่ที่ลมหายใจของเรา
เลิกคิดถึงเรื่องอื่น หายใจเข้าให้รู้ว่ากำลังหายใจเข้า
ให้รู้ตั้งแต่ลมมากระทบที่ปลายจมูกจนลึกเข้าไปถึงสะดือ
หายใจออกก็ให้รู้ว่า
ลมกำลังเดินทางจากสะดือมาสุดสิ้นที่ปลายจมูก
เพื่อให้ได้ผล คือ บังคับจิตให้อยู่กับลมหายใจได้จริงๆ
ตามแบบฝึกหัด ท่านให้นับกำกับไปด้วยเป็นคู่ๆ
คือหายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 1
ตามลำดับเมื่อถึง 1-10 แล้วถือว่าจบรอบที่หนึ่ง
กลับไปเริ่มรอบที่ 2 อีกก็ได้
การที่ท่านได้กลับไปเริ่มต้น 1-1 ใหม่อยู่เสมอ
นั่นเป็นเทคนิคในการบังคับควบคุมจิต
ตอนนี้ใจจะว่าง ถอนจากการยึดเกาะ
สิ่งสกปรกประจำวันได้พอสมควร
ถือว่าได้ซักล้างจิตใจแล้ว
(มีต่อ 7) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:30 am |
|
ขั้นที่ 2 ให้อภัย
งานล้างใจขั้นแรก สำหรับสิ่งสกปรกธรรมดา
ซึ่งจะหลุดออกได้ง่ายๆ แต่ยังมีสิ่งสกปรกชนิดพิเศษ
ซึ่งติดแล้วซึมลึกเกาะแน่น
ใช้ผงซักฟอกธรรมดาล้างไม่ออก
เพราะมันเข้าไป ขัด อยู่ในหัวใจ
ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่าขัดใจ
ถูกต้องดี คือคำพูดที่เขาว่าเราใส่ร้ายเรา
กระทบกระเทือนเรา เราได้ยินแล้วมันจะตรงเข้ามา
กระทบกระแทกที่ใจอย่างแรงแล้วก็จะขัดอยู่ที่ใจ
ใจจะเกาะเหนี่ยวไว้ไม่ยอมปล่อย
ใจจะวกจนเอามานึกเอามาคิด
ขัดใจอยู่แล้วๆ เล่าๆ ถึง 3 วัน 7 วัน
แม้กิริยาอาการที่เขาดูถูกดูหมิ่นก็เหมือนกันมันขัดใจ
ล้างไม่ยอมออก
ข้อนี้จึงต้องเพิ่มตัวยา ให้อภัย ใส่เข้าไปด้วย
พยายามนึกเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้อภัยไม่ถือสา
ถ้าเป็นแม่บ้านเราก็นึกเห็นใจเขาเป็นผู้หญิง
ยุ่งอยู่กับลูก ขลุกอยู่กับงานบ้าน ขุ่นมัวอยู่ตลอดวัน
ถ้าเราเป็นเขา เราอาจจะพลั้งพลาดมากกว่านี้ก็ได้
ให้อภัยจะดีกว่า เมื่อคิดให้อภัยแก่คนอื่นใจมันยังดื้อ
ไม่ยอมให้ก็ต้องย้อนเข้ามองให้ซึ้ง
จนเห็นว่า การให้อภัยแก่เขานั้น
คือ การให้อภัยแก่ตัวเราเอง ซึ่งเรารักมากที่สุด
ทะนุถนอมมากที่สุด
สิ่งที่ขัดใจเรานั้นเปรียบให้เห็นว่าเป็นสุนัขเน่า
ที่มีคนเขาโยนเข้ามาในบ้านเรา
เพื่อกลั่นแกล้งเราถ้าเรายังครุ่นคิดขัดใจอยู่ตลอดเวลา
ก็เท่ากับเรารับเอาสุนัขเน่านั้นไว้
ทั้งๆ ที่เกลียดไม่ต้องการแต่เราไม่ยอมทิ้งมัน
แล้วจะโทษใครที่ต้องเหม็นอยู่ตลอดวันตลอดคืน
ทางที่ดีเอาสุนัขเน่าไปฝังเสียก็หมดเรื่อง
หายเหม็นทันที
โปรดจำง่ายๆ คนที่ไม่ยอมให้อภัยนั้น
คือ คนที่กอดสุนัขเน่าไว้แล้วก็คร่ำครวญว่า
เหม็นเหลือเกินๆ น่าสมเพชน่าน้ำหน้า
เพราะฉะนั้น การให้อภัยจึงเป็นวิธีล้างใจขั้นสูง
ที่น่าปฏิบัติอย่างยิ่ง
(มีต่อ 8) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:33 am |
|
ขั้นที่ 3 ส.ค.ส. (ส่งความสุข)
งาน ส.ค.ส. นี้ท่านจัดเป้าหมาย
ที่เราจะส่งออกไปให้เป็น 4 เป้าหมายด้วยกัน
เป้าหมายที่ 1 ส.ค.ส.ให้ตัวเราเอง
เริ่มต้นท่านให้แผ่เมตตาความดี ความงาม ความสุข
ให้แก่ตัวเราเองก่อน ด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรก เรารักตัวเรา
เราอยากให้ตัวเรามีความสุข ความเจริญ
ไม่มีภัย ไม่มีเวรอย่างไร
ก็จะได้เป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นถ่องแท้ว่า
ผู้อื่นเขาก็รักสุขปฏิเสธทุกข์เหมือนกับตัวเรา
ทำให้เห็นอกเขาอกเราชัดขึ้น
เป็นเสมือนหนึ่งขุดคลองส่งน้ำ
คือ กระแสน้ำเมตตาให้ไปถึงผู้อื่นได้ตามความประสงค์
ประการที่สอง ในทางจิตวิทยา
เขาเชื่อว่าการตั้งใจเสนอแนะอย่างไรให้แก่ตัวเองนั้น
จะสำเร็จผลได้จริง ใครที่นึกด้วยความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า
เราเป็นคนแข็งแรง ไม่มีโรค มีความสุข
ผู้นั้นก็จะได้รับสมที่ตั้งใจ
ตรงกันข้ามคนที่อ่อนแอนึกว่าว่า
เราเป็นคนมีเคราะห์มีกรรมมีโรคมีภัย
เขาผู้นั้นก็จะได้รับผลร้ายตามที่ตนคิดเหมือนกัน
การส.ค.ส.แก่ตัวเอง จึงเท่ากับ
เสกตัวเองให้มีความสุขได้จริงตามหลักจิตวิทยาด้วย
(มีต่อ 9) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:35 am |
|
เป้าหมายที่ 2 แผ่เมตตาแก่ผู้ใกล้ชิด
เป้านี้ท่านก็จะให้เริ่มที่คนใกล้ตัวก่อน
แล้วจึงขยายกว้างออกไป
นอกจากจะเป็นการส่งพลังจิต
ที่เปี่ยมด้วยความหวังดีให้เขาพรั่งพร้อม
ด้วยความสุขความเจริญแล้ว
ยังมีผลเป็นการกระชับมิตรผูกจิตผูกใจ
ให้เขาเหล่านั้นเป็นมิตรรักใคร่
นิยมชมชื่นในตัวเราทวีขึ้นอีกด้วย
ถ้าเป็นหมู่คณะก็ทำให้อยู่ด้วยกัน
ในบรรยากาศที่ตลบอบอวลไปด้วยความระลึกถึง
ความรักความสามัคคี ลดความขัดแย้ง
มีลักษณะเป็นเอกภาพดุจโลหะ
ที่หล่อหลอมออกมาจากเบ้าเดียวกัน
ยากที่จะแตกแยกออกจากกันได้
(มีต่อ 10) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:39 am |
|
เป้าหมายที่ 3 แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์
ได้แก่ ทั้งคนทั้งสัตว์ที่ห่างตัวออกไป
จนถึงเพื่อนร่วมชาติและร่วมโลก
ท่านนิยมส่งกระแสจิตปรารถนาดี
โดยนึกตามข้อความต่อไปนี้ อย่างช้าๆ
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่
เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
จงมีความสุขกายสุขใจ
รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด
มองเห็นมโนภาพเช่นนี้ จิตใจจะนุ่มนวลอ่อนโยน
เห็นทุกชีวิตเป็นเพื่อนทุกข์เสมอกัน
ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องกีดขวางกางกั้น
กระแสเมตตาจะหลั่งออกมา
แล้วก็ไหลซึมซาบแผ่วงกว้าง
ครอบคลุมทั้งคนและสัตว์ได้หมด
(มีต่อ 11) |
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2006, 12:41 am |
|
เป้าหมายสุดท้าย แผ่เมตตาแก่ศัตรู
คำว่าศัตรู รวมเอาปรปักษ์
ซึ่งเป็นฝ่ายอยู่ตรงกันข้ามกับเราไว้ด้วย
ผู้ที่มีกระแสจิตเมตตาอย่างสูงเท่านั้น
จึงจะสามารถส่งกระแสความรัก
ผ่านทำนบแห่งความเป็นศัตรูขึ้นไปได้
การแผ่เมตตาให้ศัตรูนั้น จะมีผลทำให้ผู้ได้รับ
เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจอย่างประหลาด
แล้วจะลดความเป็นศัตรูลง หยุดการคิดร้ายลง
มีลักษณะประนีประนอมมากขึ้น
และถ้าเราส่งกระแสเมตตาให้สูงขึ้นบ่อยๆ
เมตตาจะเปลี่ยนศัตรูให้กลับมาเป็นมิตร
รักเรา ช่วยเหลือเราได้
อาวุธอย่างอื่นที่ได้ผลสูงสุด คือ ฆ่าศัตรูให้ตายได้
แต่เมตตาเป็นอาวุธที่วิเศษยิ่งกว่านั้น
คือ ฆ่าความเป็นศัตรูในหัวใจของเขาให้ตายได้
แล้วปลุกเสกให้เขากลับฟื้นขึ้นมาเป็นมิตร
ช่วยเหลือเราต่อไปได้อีกด้วย
ท่านผู้ใคร่ธรรมที่เคารพ
ธรรมโอสถเมตตานี้เป็นยาใจประเภทเพิ่มสุข
บำรุงสุขภาพกาย สุขภาพจิต กินได้นอนหลับ
จิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน คลายความทุกข์กังวลได้จริง
เสริมเสน่ห์ให้คนนิยมชมชื่นไว้วางใจได้จริง
รักษาความงาม เสริมสร้างความผุดผาดของผิวพรรณ
ใบหน้าได้จริง เพิ่มเติมสมรรถภาพในหน้าที่การงาน
ให้สูงขึ้นได้จริง และยังมีอานุภาพบันดาล
แม้แต่ศัตรูให้มาเป็นมิตรผู้หวังดีได้จริงอีกด้วย
ถ้าท่านต้องการธรรมโอสถที่มีสรรพคุณวิเศษขนานนี้
ไว้ใช้ประจำบ้าน ท่านจะต้องเป็นนายแพทย์เอง
เป็นเภสัชกรปรุงยาเอง และข้อสำคัญต้องเป็นคนไข้ที่ว่าง่าย
คือ กิน หรือดื่มยานั้นเอง
แล้วท่านจะประสบความสำเร็จความสุขในชีวิตของท่านเอง
คัดลอกจาก...
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara87.htm
|
|
|
|
|
|
กัลยรัตน์ กุศลปฏิการ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 26 มี.ค. 2007
ตอบ: 22
ที่อยู่ (จังหวัด): นครราชสีมา
|
ตอบเมื่อ:
12 เม.ย.2007, 8:14 pm |
|
ขอบพระคุณท่านมากค่ะ ได้ความรู้ขึ้นเยอะเลยค่ะ |
|
_________________ ทุกคนเกิดมาย่อมมีกรรมเป็นของตัวเอง |
|
|
|
|